บทที่ 2
เมื่อออกมาก็พบว่าเพื่อนยืนคุยอยู่กับเพอร์เซอร์ หรือหัวหน้าพนักงานต้อนรับบนเที่ยวบินนั้น
“สวัสดีค่ะคุณอธิคม การเดินทางได้รับความสะดวกสบาย เรียบร้อยดีไหมคะ”
“สบายครับ สบายมากเลยละครับ” ชายหนุ่มกัดฟันตอบกลับ น้ำเสียงฟังดูไม่รื่นหูสักเท่าไร ด้วยอารมณ์ที่คุกรุ่นเมื่อครู่ยังคงค้างคาในหัวใจ
“คุณนิศาชล...ผมมีเรื่องบางอย่างให้คุณช่วย”
“เรื่องอะไรคะ”
“ผมอยากจะได้ประวัติการทำงานของพนักงานที่ชื่อธิชากร พรุ่งนี้คุณช่วยเอาเข้าไปให้ผมที่ออฟฟิศด้วยนะครับ” ชายหนุ่มสั่งเสร็จก็เดินจากไปโดยไม่บอกเหตุผล
นิศาชลมองตามหลังกว้าง แปลกใจว่าทำไมเจ้านายถึงต้องการดู ประวัติการทำงานของแอร์โฮสเตสสาวคนนี้ และนี่ก็ไม่ใช่หน้าที่ของเธอสักนิด ถ้าเขาอยากได้ประวัติของพนักงานคนไหนละก็ เพียงแค่เขายกหูโทรศัพท์แจ้งไปที่ฝ่ายบุคคล ทุกอย่างก็จะเป็นไปตามความประสงค์ของเขา ไม่เห็นจะต้องทำให้ยุ่งยากเลย หรือว่ามีอะไรพิเศษมากไปกว่านี้ ถ้ามีจริงก็แสดงว่าเรื่องนี้คงไม่ธรรมดาเสียแล้ว
ทางด้านแอร์โฮสเตสสาว หลังจากตรวจความเรียบร้อยทุกอย่างบนเครื่องเสร็จ พนักงานทุกคนต่างก็พากันแยกย้าย จะมีก็แต่นิศาชลกับธิชากรเพียงสองคนเท่านั้น ที่ยังคงพูดคุยกัน
“เฟิร์นจะมีตารางการบินอีกทีเมื่อไร”
“วันมะรืนค่ะ เที่ยวบินตอนบ่ายโมงครึ่ง บินไปที่สนามบินนาริตะ มีอะไรหรือเปล่าคะพี่นิ”
“ไม่มีอะไรหรอก พี่แค่ถามเฟิร์นดูเท่านั้น ตั้งใจทำงานนะจ๊ะ”
“ค่ะ...เฟิร์นจะพยายามปฏิบัติหน้าที่อย่างดีที่สุดเลยค่ะ เฟิร์นไปก่อนนะคะ”
นิศาชลถอนหายใจยาว ใครๆ ก็ล้วนแล้วแต่คิดว่า ธิชากรเข้ามาทำงานในตำแหน่งนี้ได้ เพราะบารมีและเส้นสายของบิดาตนเอง แต่เธอจะเข้ามาโดยใช้เส้นสายหรือไม่นั้น ไม่ใช่สิ่งสำคัญ เพราะสิ่งที่นิศาชลสัมผัสได้คือเธอเป็นคนฉลาด กล้าคิดกล้าพูดโดยไม่เกรงกลัวใคร ที่สำคัญมีความตั้งใจสูงและมีความสวยโดดเด่น ที่จะปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาอย่างดีที่สุด
เป็นที่รู้กันว่าปัจจุบันอธิคมเป็นผู้บริหารสูงสุดของเรนโบว์แอร์ โดยมีคุณวีรยุทธ นภัสกร เป็นผู้อำนวยการที่ปรึกษาอาวุโส แต่เขาก็มีอำนาจสิทธิขาดทุกอย่างในการบริหารสายการบินนี้
แปลกจริง!! ทำไมจู่ๆ เขาถึงอยากได้ประวัติของธิชากร
เจ้านายจะเอาไปทำอะไร...ใครจะให้คำตอบนี้ได้บ้าง
ขณะเดียวกันอธิคมเดินไปที่ลานจอดรถของสนามบิน โดยมีกานต์ชนกเดินตามหลัง แววตาของเขาเต็มไปด้วยความสงสัยในตัวเพื่อนรัก ไม่เข้าใจว่าทำไมเพื่อนของเขา ถึงอยากได้ประวัติการทำงานของผู้หญิงคนนั้น อธิคมวางแผนจะทำอะไร เพราะความสงสัยทำให้กานต์ชนกต้องหาคำตอบโดยเร็ว เขาเร่งฝีเท้าเดินให้ทันเพื่อน
“ทีเจ...ทำไมนายถึงต้องการประวัติการทำงานของผู้หญิงคนนั้น”
“ฉันก็แค่อยากจะรู้ประวัติของเธอ”
“อย่าบอกนะว่า นายจะเล่นงานเธอ เรื่องที่เธอเข้าใจผิดและต่อว่านาย”
“ก็มันน่าเจ็บใจ...บอกว่าไม่ได้ทำ...ไม่ได้ทำ...ก็ไม่เชื่อ...อย่างฉันเนี่ยนะ ที่จะเป็นพวกโรคจิต ฉันนายอธิคม จิระกุลเชียวนะ มีใครบ้างที่จะไม่รู้จัก”
“ก็เธอไง เธออาจจะไม่รู้จักนายจริงๆ ก็ได้ว่านายเป็นใคร และมีความสำคัญอย่างไรกับสายการบินนี้ หรือเธออาจจะจำนายไม่ได้ ปกตินายก็ชอบทำตัวเป็นนินจา ไปมาไร้ร่องรอยอยู่แล้วนี่ แถมไม่ค่อยจะชอบปรากฏตัวในงานสังคมอีกด้วย ยกเว้นงานที่จำเป็นเท่านั้น ถ้าเธอจะจำนายไม่ได้ ก็ไม่ถือว่าเป็นความผิดของเธอนะ อีกอย่างฉันว่าเรื่องที่เกิดขึ้นมันเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน นายอย่าไปถือสาหาความกับเธอเลยนะ”
อธิคมไม่เห็นด้วยกับความคิดของเพื่อน อย่างไรเสียเธอต้องถูกตักเตือนเรื่องมารยาทอยู่แล้ว ที่สำคัญไปกว่านั้นท่าทางของเธอดูแข็งกระด้าง ไม่เหมาะสำหรับการทำหน้าที่นี้ ถึงแม้คนที่ถูกต่อว่าเป็นคนไม่ดี แต่ก็ควรจะพูดให้อ่อนน้อมกว่าที่เธอทำอยู่
“ยิ่งเป็นพนักงานในบริษัทของฉัน...ฉันก็ยิ่งต้องเข้มงวด ถ้าฉันปล่อยปะละเลยแล้วเกิดแม่เจ้าประคุณ ไปทำแบบนี้กับลูกค้าคนอื่นเหมือนที่ทำกับฉัน มันอาจจะกระเทือนมาถึงภาพพจน์ และชื่อเสียงของสายการบินได้ คงต้องเรียกมาตักเตือนกันหน่อย”
“ฉันชักจะสงสัยแล้วสิ ที่นายตอแยเธอแบบนี้ เป็นเพราะโกรธที่เธอกล่าวหาว่านายเป็นพวกโรคจิต หรือเป็นเพราะว่านายสนใจเธอกันแน่”
อธิคมไม่สนใจคำพูดของเพื่อน เปลี่ยนเรื่องพูดไปเสียอย่างนั้น
“นายจะกลับบ้านเลยหรือไหม ฉันจะได้ขับรถไปส่งนายที่บ้านก่อน”
“อืม...ก็ดีเหมือนกัน มาถึงเหนื่อยๆ ฉันว่าจะกลับไปนอนพักซะหน่อย”
“ถ้าอย่างนั้นก็ขึ้นรถเลย เดี๋ยวฉันจะขับไปส่งนายเอง”
อธิคมเอ่ยและโค้งคำนับพร้อมกับหลิ่วตาล้อเลียนใส่เพื่อน กานต์ชนกยิ้มน้อยๆ เขาและเพื่อนคนนี้คบหากันมานาน เรียกได้ว่าเป็นเพื่อนรัก ซึ่งสนิทสนมกันมากกว่าเพื่อนคนอื่นๆ พวกเขาสองคนรู้ใจกันเสมือนดั่งพี่น้องที่คลานตามกันมา