บทที่ 1
ณ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ...เครื่องบินโบอิ้ง 747 ของ “เรนโบว์แอร์” ซึ่งเป็นสายการบินชื่อดัง และเป็นสายการบินที่ร่วมทุนระหว่างสองตระกูล ที่ติดอันดับมหาเศรษฐีในอันดับต้นๆ ของเมืองไทย ได้ร่อนลงมาจอดที่ท่าอากาศยานจนเป็นที่เรียบร้อย ผู้โดยสารที่เดินทางมาจากนครลอสแองเจอลิส ต่างก็ทยอยออกจากเครื่อง โดยมีแอร์โฮสเตสสาวสวยปฏิบัติหน้าที่ดูแล และคอยให้ความสะดวกแก่ผู้โดยสาร
หนึ่งในนั้นคือเฟิร์น หรือ ธิชากร ธีรสุทธิ์ ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนของภูรี และธิติมา ธีรสุทธิ์ ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมและรีสอร์ทชื่อดังมากมายทั้งในประเทศและต่างประเทศ
ในขณะที่เธอกำลังปฏิบัติหน้าที่อยู่นั้น ก็รู้สึกว่ามีคนมาลูบสะโพกช่วงบนของเธอ ธิชากรรีบหันกลับไปมอง ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่อธิคมเดินมาถึงด้านหลังพอดี เธอจึงเข้าใจว่าเขาเป็นผู้ลวนลาม
“เป็นฝีมือของนายใช่ไหม...ที่มาลูบไล้บั้นท้ายของฉัน...ไอ้พวกโรคจิต”
“อะไรของคุณ ผมยังไม่ได้ทำอะไรคุณเลยนะ อย่ามากล่าวหากันลอยๆ แบบนี้สิ”
“นายเป็นลูกผู้ชายหรือเปล่า ทำแล้วยังไม่ยอมรับผิดอีก” หญิงสาวต่อว่าอย่างไม่เกรงใจ เพราะโมโหที่เขาไม่ยอมรับการกระทำของตนเอง
“แล้วคุณมีหลักฐานอะไร ที่จะมากล่าวหาว่าผมเป็นคนจับก้นของคุณ”
“ก็พอฉันหันมา เจอหน้านายพอดีนะสิ ถ้าไม่ใช่นายแล้วจะเป็นใคร”
“คุณไม่มีหลักฐานอะไร แล้วยังจะกล้ามาปรักปรำผมอีก ทำแบบนี้ได้ยังไง คุณทำงานมานานเท่าไรแล้ว บริษัทของคุณเขาฝึกคุณมาแบบไหนกัน คุณถึงมาพูดกับลูกค้าแบบนี้ ถ้าผมจะเอาเรื่องคุณขึ้นมาจริงๆ ละก็ผมสามารถฟ้องเจ้านายของคุณได้นะ”
“ทำผิดแล้วยังจะมาพูดกลบเกลื่อนอีก แบบนี้ใช้ได้ที่ไหน...หน้าตาก็ดีไม่น่าจะเป็นพวกโรคจิตเลย”
“นี่คุณ ...” อธิคมเริ่มรู้สึกหงุดหงิดที่ถูกกล่าวหา ว่าเป็นพวกโรคจิต ทั้งที่ความจริงไม่ใช่เลย แต่ก่อนที่เรื่องราวจะบานปลายใหญ่โตไปกว่านี้ กานต์ชนกก็เข้ามาห้ามปรามเพื่อนรักเสียก่อน
“ไม่เอาน่าทีเจ ค่อยพูดค่อยจากันดีกว่า” แล้วชายหนุ่มก็หันมาทางหญิงสาวคู่กรณี
“สวัสดีครับ...ผมกานต์ชนก และนี่นามบัตรของผม” เขายื่นนามบัตรให้เธอ
“เพื่อนของผมไม่ได้เป็นคนทำจริงๆ นะครับ เรื่องนี้ผมยืนยันได้ครับ”
ธิชากรมองคนพูด เท่าที่ดูจากหน้าตาและการพูดจา ผู้ชายคนนี้น่าจะเป็นคนที่เชื่อถือได้ และดูเป็นคนดีคงไม่ใช่คนลามกหรือคิดหาเศษหาเลยกับผู้หญิง แต่ถ้าเขามาด้วยกันจะเข้าข้างกันก็ไม่ใช่เรื่องแปลก
“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าเขาไม่ได้เป็นคนทำ คุณสองคนเป็นเพื่อนกันก็ต้องพูดจาเข้าข้างกันสิ สิ่งที่คุณพูดอาจจะไม่เป็นความจริงก็ได้”
“แล้วผมจะทำอย่างนั้นไปเพื่ออะไรละครับ” กานต์ชนกพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลและเป็นมิตร
“ก็เพื่อปกป้องเพื่อนโรคจิตของคุณนะสิ” เธอตวัดสายตามองคนลามก ที่บัดนี้ทำหน้าบอกบุญไม่รับ แต่กานต์ชนกยังใจเย็นพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มทุ้ม
“ขอยืนยันอีกครั้งด้วยเกียรติของผม...ทีเจไม่ได้เป็นคนลวนลามคุณอย่างที่คุณเข้าใจ”
ผิดกับเพื่อนของเขาที่ดูจะไม่พอใจเธออย่างมาก
ใครจะพอใจได้ ในเมื่อเขาถูกใส่ร้ายป้ายสีโดยไม่มีหลักฐาน แล้วหล่อนยังมองเขาด้วยหางตา ซึ่งไม่เคยมีใครทำกับเขาเช่นนี้มาก่อน
“นายอย่ามัวเสียเวลาพูดมากอยู่เลย ไปคุยกับเจ้านายของเธอดีกว่า ฉันขี้เกียจมาเสียเวลาชี้แจงกับคนไม่มีเหตุผลแบบนี้”
“ไม่เอาน่า นายอย่าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่เลยนะ” กานต์ชนกห้ามปรามเพื่อน ก่อนจะเอ่ยปากกับหญิงสาวอีกหน
“ผมขอยืนยันอีกครั้งนะครับว่าเพื่อนของผมไม่ได้ทำอย่างที่คุณกล่าวหา”
“ก็ได้ครั้งนี้ฉันจะยอมเชื่อคำพูดของคุณ แต่อย่าให้มีคราวหน้านะ เพราะว่าฉันจะไม่ปล่อยให้เขาเดินลอยนวลออกไปง่ายๆ แบบนี้แน่”
ที่หญิงสาวยอมเชื่อก็เพราะเธอกลัวว่า พวกเขาจะไปฟ้องต้นสังกัดของเธอ ส่วนอีกเหตุผลก็คือเธอเพิ่งได้ปฏิบัติงานจริงครั้งนี้เป็นครั้งแรก ถ้ามีลูกค้าไม่พอใจ แล้วนำไปฟ้องเจ้านาย ประวัติการทำงานของเธอก็อาจด่างพร้อยได้ สำหรับเหตุผลสุดท้ายคือเธอไม่มีหลักฐานอะไร ที่จะไปกล่าวหาว่าเขาเป็นคนทำ เพราะไม่ได้เห็นกับตา แต่ก็ค่อนข้างมั่นใจว่านายจอมกวนคนนี้ล่ะที่เป็นคนทำ
“ผมไปได้แล้วใช่ไหม” อธิคมพูดด้วยสีหน้าและท่าทางยียวน กวนประสาทอีกฝ่ายอย่างเห็นได้ชัด
“เชิญ...หวังว่าเราคงจะไม่ต้องเจอกันอีกนะคะ”
“แต่ผมกลับไม่คิดเช่นนั้นเราต้องได้เจอกันอีกแน่...ถ้าคุณจะให้ผมไปก็กรุณาหลีกทางให้ผมด้วยสิครับคุณผู้หญิง” ธิชากรหลีกทางให้เขาเดิน
กานต์ชนกกล่าวขอบคุณเบาๆ ในขณะที่หญิงสาวเองก็ส่งยิ้มหวานให้กับเขา ชายหนุ่มจึงยิ้มตอบแล้วเดินตามหลังเพื่อนที่เดินออกไปก่อน