ตอน 3
“บัดซบทำงานพลาดได้ยังไง โอกาสแบบนี้มีไม่บ่อย ยังกล้าทำพลาดอีก คราวนี้มันก็ระวังตัวแจนะสิ” ฉือเจ้ารองหัวหน้าแก๊งพยัคฆ์ดำ ตวาดลูกน้องที่ทำงานใหญ่พลาด พวกมันโดนตบกันเรียงตัว รู้อยู่ว่าอะไรที่ฉือเจ้าสั่งต้องทำให้สำเร็จ ถ้าไม่สำเร็จอย่าคิดกลับมาให้เจอหน้าเด็ดขาด
“คราวหน้าผมจะไม่ให้พลาดพี่เจ้า”
“มันจะมีคราวหน้าอีกอย่างนั้นหรือ ตอนนี้มันคงระวังตัวแจ”
“ก็ให้มันฟาดฟันกับแดเนียลเองสิครับ”
“หึ...ฉันหวังอย่างนั้น พวกเราทำในฐานะแก๊งพยัคฆ์ดำ ไม่ได้ทำส่วนตัวซะหน่อย” ฉือเจ้ากระหยิ่ม
พลาดถือว่าดีดี ไม่พลาดเลยดีกว่าฉือเจ้าเชื่อว่าสิ่งที่ตนลงทุนทำในครั้งนี้มีผลดีไม่ได้เสีย
“ตอนวิ่งหนีดูเหมือนได้ไรอันมันลากผู้หญิงคนหนึ่งไปด้วยพี่เจ้า” ลูกน้องคนสนิทรายงานแกลูกพี่เพื่อเอาหน้า
“ใครวะ” ฉือเจ้าหันไปทางลูกน้อง ปกติคนอย่างไรอัน ไม่เคยเห็นผู้หญิงสำคัญไปกว่าผลประโยชน์ ขึ้นชื่อว่าเป็นผู้ชายเจ้าสำราญใช้ผู้หญิงเปลืองอันดับต้นๆ ไรอันได้รับความนิยมในความหล่อเจ้าเสน่ห์ ผู้หญิงทั่วเกาะถวิลหา ดังนั้นด้วยคุณสมบัติเพียบพร้อมทุกอย่าง ไรอันจึงไม่ง้อผู้หญิงคนไหนให้เสียเวลา ชอบความโสดความสำราญมากกว่าเอาห่วงมาผูกคอ
“เชื่อว่าคงเป็นเป็นผู้หญิงของมัน” ลูกน้องตั้งข้อสันนิษฐานไปตามเหตุการณ์ การไล่ล่าตามไปติดๆ ทั้งที่ควรเด็ดหัวไรอันได้แท้ กลับหายไปต่อหน้าราวกับผีลักพาตัวไปซ่อน ลูกน้องแก๊งพยัคฆ์ดำ ต่างงงเป็นเสื้อตาบอด ในทางหนึ่งนึกเข้าใจเรื่องชื่อเสียงฝีไม้ลายมือด้านการต่อสู้ของหัวหน้าแก๊งเขี้ยวมังกร ไม่เป็นสองรองใคร คนทั่วทั้งวงการมาเฟียต่างรู้จักกันดี
“ไปสืบมาให้ได้ ผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร ถ้าใช่ผู้หญิงของมัน เชื่อว่าผู้หญิงคนนั้นคือช่องโหว่ ที่จะทำให้เราโค่นไรอันได้ไม่ยาก ผู้หญิงมักเป็นตัวถ่วงความเจริญของผู้ชาย” อีกไม่กี่วันแก๊งพยัคฆ์ดำจะมีนายใหญ่คนใหม่ ส่งตรงมาจากอเมริกาทายาทหัวหน้าแก๊งคนปัจจุบัน หวัง ไท้จื่อต้องการสละตำแหน่งหัวหน้าใหญ่เพื่อส่งต่อให้กับทายาทเขาเจ็บออดๆ แอดๆ จึงไม่สามารถบริหาร ดูแลแก๊งได้ จึงต้องการเรียกลูกกลับมารับตำแหน่งแทนตน
ฉือเจ้าคาดหวังในตำแหน่งนี้มานาน ดังนั้นเขาจึงประโคมข่าวการรับตำแหน่งของทายาทเพียงคนเดียวของ หวัง ไท้จื่อ ซ้ำยังทำตราประจำตัวหัวหน้าแก๊งปลอมขึ้นมา จงใจให้ไรอันเป็นศัตรูกับแดเนียล ตั้งแต่ยังไม่ขึ้นรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการซะด้วยซ้ำ
ชายผู้หนึ่งเดินหลบผู้คนเข้ามาในตรอกเล็กๆ ย่านเศรษฐกิจของเกาะฮ่องกง เขาไม่ชอบเป็นเป้าสายตาใครต่อใคร จึงเดินลัดเลาะตามตรอกซอกซอยไม่รีบร้อนในการกลับบ้าน ระหว่างนั้นเท้าจึงสะดุดกับบางสิ่ง ใบหน้าหล่อคมสันเต็มเปี่ยมไปด้วยขุมพลังความเป็นหนุ่มเจ้าเสน่ห์ หยุดก้าวแล้วก้มลงมองปลายเท้าของตัวเอง กระเป๋าเงินสีชมพูสี่เหลี่ยมผืนผ้า แบบที่ผู้หญิงใช้ เขาย่อมกายเก็บมันขึ้นมา ไม่เพียงแต่กระเป๋าเงินยังมีพาสปอร์ตอีกหนึ่งเล่ม โทรศัพท์มือถือเครื่องทันสมัย
เขาเปิดดูด้านในกระเป๋า ในนั้นมีเงินเหรียญฮ่องกงจำนวนหนึ่ง เงินไทยจำนวนหนึ่ง เอกสาร บัตรต่างๆ อยู่ตามช่องเก็บบัตร
“กระเป๋าเงินนักท่องเที่ยวแน่” เสียงชายหนุ่มรำพันกับตัวเอง พลิกดูพาสสปอร์ต ระบุหน้าเล่มสีน้ำตาล Thailand Passaport ชัดเจนนักท่องเที่ยวคนนี้เป็นคนไทย เขาพลิกเข้าไปดูด้านในก็พบว่าเป็นของผู้หญิง Miss Wanida Lertsakulwong ชายหนุ่มหน้าตาดี สวมสูทหรูสะกดชื่อผู้หญิงไทยที่ปรากฏบนหน้าพาสสปอร์ตไม่ค่อยถนัด เพราะเป็นชื่อเฉพาะค่อนข้างอ่านยาก
โดยเฉพาะชื่อคนไทยกับนามสกุลยาวเฟื้อย ชายหนุ่มเก็บเอกสารลงในกระเป๋ากางเกง ไม่สนใจในการนำไปมอบแก่ตำรวจท่องเที่ยว นั่นไม่ใช่สาระอะไรที่เขาต้องทำ เพราะไม่ใช่พลเมืองดีมากมายนัก เขานี่แหละนายน้อยแห่งแก๊งมาเฟียชื่อดังพยัคฆ์ดำ เพิ่งเดินทางกลับจากอเมริกา เพื่อมารับตำแหน่งที่พ่อยกให้ ไม่เคยรู้สึกอยากรับตำแหน่งที่ต้องเดิมพันด้วยชีวิตสักเท่าไหร่ ทำงานที่อเมริกาในสิ่งที่ตัวเองรักและชื่นชอบนั่นคือความสุขของเขา ทางของเขาแต่นี้คือความกตัญญูที่เขาถูกวางภาระใหญ่โตลงบนบ่า วาระแห่งการบังคับการเป็นเป็นทายาทเพียงคนเดียวของพ่อ ในการสืบทอดแก๊งมาเฟียยิ่งใหญ่ เขามีแค่พี่สาวต่างแม่แต่งออกไปทุกคน ดังนั้นภาระที่ไม่อยากรับจึงมาตกอยู่ที่เขาโดยไม่อาจหลีกเลี่ยง
พ่อส่งลูกน้องไปพร่ำสอนความโหด ร่ายบทความเป็นมาเฟียแก่เขาอยู่นานหลายเดือน เมื่อผู้ชายลัลลาอย่างเขาต้องมารับบท เหี้ยมโหด ปกครองนักเลงลูกน้องนับร้อยนับพันของพ่อ ต่อให้ฝึกหนักหน่วงอย่างไร ความเหี้ยมความโหดไม่ได้ซึมเข้าเส้นเลือด แดเนียลเชื่อว่าตัวเองเป็นพวกลูกนอกคอก ไม่อยากสืบทอดกิจการโหดเหี้ยมของพ่อใดๆ เลย ผลัดแล้วผลัดอีกกระทั่งพ่อป่วย เขาจึงไม่อาจทนนิ่งดูดายได้อีกต่อไป การยัดเยียด บีบบังคับให้กลับบ้านจึงเป็นผล พ่อส่งลูกน้องไปรับยังสนามบินเขายังหลบหลีกหนีมา กว่าจะหนีมาพ้นสายตาลูกน้องของพ่อเล่นเอาเหนื่อย
ครู่ต่อมาแดเนียลกลับมาถึงบ้าน ทั้งๆ ที่พ่อป่วยเชื่อว่าป่วนยังส่งเสียงโวยวายกับลูกน้องได้
“ไอ้พวกไม่ได้เรื่อง ให้ไปรับลูกฉัน แล้วไหนแดเนียล ไม่เห็นแม้แต่เส้นผม”
“นายน้อยหลบหนีพวกผมไปไหนก็ไม่รู้ครับ”
“ยกโขยงไปกันเป็นสิบ ปล่อยให้ลูกฉันหนีได้” หวัง ไท้จื่อสาดเสียงอาละวาดกับลูกน้องนับสิบที่ส่งไปตั้งขบวนรับลูกชายสุดรักยังสนามบิน พวกมันกลับมามือเปล่า ไม่เห็นแม้เงาลูกชายผู้เป็นความหวังเดียวของเขา พูดจบหวังไท้จื่อไอโครกๆ ช่วงหลังเขาป่วยโดยไม่ทราบสาเหตุ จึงต้องเร่งทำพิธีมอบตำแหน่งให้ลูกชาย
“พวกแกไม่ได้เรื่องสักคนเลี้ยงเสียข้าวต้ม” หวัง ไท้จื่อตวาดลั่น บันดาลโทสะที่เห็นลูกน้องมากมายไม่ได้เรื่อง เสนอหน้ามา เขารู้อยู่เสมอแดเนียลไม่อยากรับตำแหน่งนายใหญ่ของแก๊ง แต่เขาก็วางใจให้คนอื่นดำรงตำแหน่งแทนไม่ได้อยู่ดี ต่อให้ไว้ใจ คุ้นเคย ทำงานเคียงบ่าเคียงไหล่กันมานานแค่ไหน กลับไม่คิดวางใจยกตำแหน่งใหญ่ให้กับลูกน้องคนสนิทบางคน
“นายน้อยเร็วมากครับ” ลูกน้องก้มหน้าบอกกับนายใหญ่
“ไปๆ จะไปไหนก็ไป ก่อนที่ฉันจะฆ่าพวกแกยกเข่ง” ไท้จื่อปัดมือไล่ลูกน้องไม่ได้เรื่อง ทั้งหมดต่างยืนเรียงราย ทำหน้าเจื่อนไม่กล้าเงยหน้ามองนายใหญ่
“โวยวายอะไรครับพ่อ” เสียงหนึ่งดังขึ้นเพื่อสงบศึกระหว่างนายใหญ่กับลูกน้องในแก๊ง
“แดเนียล !” คนเป็นพ่อเปลี่ยนสีหน้าทันทีที่ได้ยินเสียงลูกชายสีหน้าบึ้งตึงเมื่อกี้ เปลี่ยนเป็นแย้มยิ้มทั้งดวงตา “โอววว ลูกชายพ่อกลับมาแล้วหรือ” อ้าแขนรอโอบกอดลูกชายอย่างไร้เรี่ยวแรง ไม่ง่ายเลยที่เขาจะได้ออกมาจากห้องนอน เขาฝืนอาการป่วยหนักเอาไว้ ภายใต้ใบหน้าแสร้างยิ้มแย้ม แดเนียลย่อตัวคุกเข่าทำความเคารพพ่อ ลุกขึ้นโอบกอดพ่อด้วยความเคารพ แม้ใจไม่อยากรับตำแหน่งหัวหน้าแก๊งต่อจากพ่อเลยก็ตาม เขาไม่กล้าเป็นลูกอกตัญญู สองพ่อลูกสนทนาการหลายเรื่อง ใช้เวลานานพอสมควร หวังไท้จื่อจึงปล่อยให้แดเดียลไปพักผ่อน ฝีมืออย่างลูกน้องเอาลูกชายไม่อยู่จริงๆ ดังนั้นหวังไท้จื่อจึงเชื่อว่าแดเนียลสามารถเป็นนายใหญ่ของแก๊งพยัคฆ์ดำได้อย่างสบาย
รถแล่นเข้ามาจอดบริเวณคฤหาสน์ใหญ่โตหลังหนึ่ง อาณาบริเวณกว้างใหญ่กินเนื้อที่เกือบทั้งเกาะ ผู้ชายคนนี้คงรวยมาก ดูอาณาจักรเขาสิ สุดลูกหูลูกตา เชอะ ! ไม่ว่ารวยขนาดไหนเธอก็ไม่สน ในเมื่อบุคลิกเขา มาดเขาเจ้าพ่อขาโหดซะของจริง
“ลงมาสิ” เขาสั่งเสียงเรียบ ราวกับเชิญเพื่อนมาเที่ยวบ้าน แม้แต่ชื่อหญิงสาวที่ตนพามายังไม่รู้จักด้วยซ้ำ
“พาฉันไปส่งที่โรงแรมเดี๋ยวนี้” หญิงสาวไม่ยอมลงจากรถออกคำสั่งเสียงเขียว ให้เขาพาตัวเธอไปส่งยังโรงแรม
“บอกแล้วไง ไปส่งตอนนี้ไม่ได้พวกมันกระจายอยู่เต็มไปหมด”
“นั่นมันเรื่องของคุณไม่ใช่เรื่องของฉัน” เธอไม่รู้จักเขา ไม่รู้จักอำนาจเขา เท่าที่เห็นก็อวดเบ่งคับซอยคับเกาะ เธอไม่ใช่ลูกน้องเขาซะหน่อย ไม่มีเหตุอะไรต้องกลัว เรื่องมากก็ไปสถานทูตที่จีนเรียกร้องศิษย์นักท่องเที่ยวเพื่อให้สถานทูตคุ้มครอง แม่...คุณเอ๋ย ทันได้ไปสถานทูตหรือเปล่าโดนกินซะก่อนปากเก่งอย่างนี้
“ตอนนี้ดูเหมือนเกี่ยวข้องเป็นเรื่องของเราแล้วลงมาซะ” เขาเหมาเป็นเรื่องของเรา ก็ในเมื่อดึงเธอมาเกี่ยว เท่ากับพาเธอมาร่วมจมกับชะตากรรมไปด้วยย่อมหนีไปพ้นเดือดร้อน ถ้าปล่อยเธอไปห่างตาพวกมันได้เชือดเธอแน่
“ไม่” หญิงสาวจากไทยนั่งนิ่ง คอตั้งยืนกรานปฏิเสธเสียงแข็ง เชิดหน้าท้าทายอำนาจมาเฟียหนุ่มผู้หญิงใหญ่คับแผ่นดิน ท่าทางเขาโหดไม่ใช่เล่น เชื่อเถอะเธอไม่กลัวความโหดร้ายของคนพวกนี้ จนวิ่งหัวหดยอมทำตามคำขู่ไปทุกอย่างลองขอร้องพูดจาดีไม่แน่เธออาจยอมทำตาม คนพวกนี้ยิ่งอ่อนข้อยิ่งยอมแพ้ ทำตัวกลัวลนลาน เหมือนหนูโดนแมวไล่ ย่อมได้ใจขู่ได้ขู่เอานั่นไม่ใช่นางสาววนิดา
“ยืนยันว่าไม่ใช่ไหม” เขาถามเพื่อเอาคำตอบที่แน่นอน ผู้ชายอย่างไรอันไม่จำเป็นต้องเสียเวลาพูดจาตกลงเรื่องไร้สาระกับใคร การต่อปากต่อคำเป็นเรื่องที่เขาปัดทิ้งไป สองนาทีถือว่านานเกินพอ ถ้าเป็นเรื่องธุรกิจ สองนาทีคือเวลาสำหรับการเซ็นสัญญาเงินหลายแสนล้าน เวลาสำหรับเขาเป็นเงินเป็นทอง ซ้ำยังคืนนี้เขายังต้องไปงานเลี้ยงสมาคมนักธุรกิจฮ่องกง ไม่มีเวลาเล่นสนุกกับสาวน้อยคนนี้
“พา...ว๊าย” พูดยังไม่จบประโยคร่างบอบบางก็ลอยเข้าสู่วงแขนกว้าง เขารั้งร่างดอกเหมยเข้าสู่อกแน่น ก้าวเดินขึ้นบันไดเข้าไปในบ้าน ท่ามกลางสายตาบริวารที่ออกมาต้อนรับ
“อั๊ยหยานายอุ้มผู้หญิงเข้าบ้าน” บริวารทั้งหลายต่างตกอยู่ในอาการตะลึง แล้วยิ่งคฤหาสน์หลังนี้ไม่เคยต้อนรับผู้หญิงของนายไรอันด้วยแล้ว พวกเขาจึงตื่นผวาไปตามๆ กันต่างคนต่างไม่กล้าพูดมาก ได้แต่มอง