บทที่ 2
หวานใจขานตอบ แม้อีกฝ่ายจะอายุมากกว่ามารดาของเธอหลายปี แต่อั้มบอกให้เรียกพี่ หวานใจก็ยินดีที่จะตามใจ อั้มคือพี่เลี้ยงในวัยเยาว์ของเธอ และเป็นเหมือนหัวใจหลักอีกอย่างของสวนส้มตะวันฉาย เพราะทุกคนต่างเสพติดรสมือของอั้มที่บรรจงทำ บรรจงปรุงให้คนงาน คนในบ้าน รับประทานกันทุกวัน
“โอ๊ย! ดีใจ๋ขนาด จนหัวใจบานเท่าดอยสุเทพแล้ว คนงามของพี่อั้มกลับมาบ้าน”
อั้มกระโจนเข้ากอดหมับ! แล้วทำท่าจะหอมคนที่กอดไว้ หากโดนปัดป้องพัลวัน ส่วนหวานใจที่อ้าแขนค้าง เพราะนึกว่าจะได้รับการกอดรัดจากพี่เลี้ยง ก็ปรายตามองข้างๆ ตัว
“พี่อั้มๆ นี่ผมนาวิน ผิดคน”
“ว้าย เฒ่า(แก่) ล่ะก็ตาลายเน้อ”
อั้มแกล้งว่า ขณะที่หวานใจทำตาดุๆ ใส่พี่เลี้ยงแล้วกระแอม
“เจตนาตาลายหรือเปล่าเนี่ย? พี่อั้ม นี่...หวานอยู่ทางนี้จ้า”
“มามะ มาขอพี่อั้มกอดที หูย โตขึ้นหรือเปล่า งามขึ้นขนาดเน้อ”
อั้มกอดร่างเพรียวนั้น แล้วจุ๊บแก้มซ้ายขวา แม้จะเปรอะไปด้วยลิปสติก แต่หวานใจก็ยังยิ้มและไม่ได้เช็ดออก เธอย่นจมูกน้อยๆ อย่างเขินๆ
“แหม...ก็งามเป็นปรกติอยู่แล้วล่ะพี่อั้ม อิอิ”
“อะไรๆ ของพี่หวานเค้า ก็ใหญ่เป็นปรกติอยู่แล้วล่ะพี่อั้ม”
เสียงแทรกมาจากนาวิน ทำเอาหวานใจต้องหันไปหยิกหมับ เพราะรู้ว่าน้องชายจะล้อเลียนอะไรของเธอ
“โอ๊ยๆ เจ็บนะพี่หวาน”
“จะมาล้ออะไรพี่เล่า”
หวานใจค้อน หน้าแดงน้อยๆ เผลอจับกระชับคอเสื้อเชิ้ตที่ใส่ ว่ามันเปิดลึกอะไรไปหรือเปล่า? เนื่องจากเธอเป็นลูกเสี้ยว ที่มีมารดาเป็นลูกครึ่งยุโรป อะไรๆ บางอย่าง อย่างสรีระ หน้าตา หวานใจรับยีนส์เด่นพันธุกรรมฝ่ายแม่มาเสียมาก จึงกลายเป็นสาวหน้าคม ตาหวานสวย จมูกโด่ง ริมฝีปากอิ่มเย้ายวน ใบหน้าเรียว เรือนร่างสูงเพรียวเกินมาตรฐานหญิงไทยทั่วไป คือกว่าร้อยเจ็ดสิบเซนติเมตร ทรวดทรงที่อกเป็นอก สามสิบหกนิ้ว เอวเป็นเอวที่ยี่สิบเจ็ดนิ้ว สะโพกกลมมนสวยสามสิบแปดนิ้ว มันทำให้หวานใจเด่นทั้งรูปร่าง หน้าตา และนั่นบางอย่างก็กลายเป็นปมที่เด่นเกินไป มากเกินไป จนเธอไม่นึกจะชอบมันสักเท่าไหร่ เธออยากเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ ดูบอบบาง น่ารัก ที่ซบลงพอดีอ้อมอกผู้ชายไทยตามมาตรฐานมากกว่า
เฮ้อ...
“แหม...ก็ โอ๊ยๆๆๆ พี่หวาน มันเจ็บนา”
น้องชายรีบปัดป้อง เพราะแค่อ้าปาก ยังไม่ทันจะบอกจะว่าอะไร ก็โดนพี่สาวทุบเอารัวๆ แถมแรงของหวานใจ ก็คือแรงมหาศาลที่เคยน็อคผู้ชายจนสลบมาแล้วด้วยซ้ำ
“ห้ามว่า...”
หวานใจทำตาดุๆ นาวินหัวเราะแล้วรีบโบกมือ
“ไม่ได้คิดจะว่าเรื่องนม โอ๊ย...พี่หวาน เตะผมทำไม้!”
“ก็บอกแล้วว่าอย่าว่า...”
“ผมก็ไม่ได้คิดจะล้อเรื่อง...อะไรๆ ของพี่หวานจริงๆ ไม่ล้อแล้ว หูย...ขายาวขนาดพี่หวาน เตะก้านคอผมสลบได้เลยนา”
“รู้ก็จำไว้ย่ะห้ามล้อ!”
“คร้าบ”
เจอน้ำเสียงจริงจัง แถมยังโดนไปอีกหลายตุบ นาวินก็ยกมือไหว้ลูกพี่ลูกน้องสาวกันเลยทีเดียว อั้มมัวแต่หัวเราะขำสองพี่น้อง แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อหวานใจหันมาชวนคุย
“แม่ของหวานล่ะพี่อั้ม หายไปไหน หวานตามหาทั่วบ้านเลยไม่เจอ”
“ท่าจะไปนอนอ่านหนังสือ เล่นมือถืออยู่แถวๆ โน้นล่ะเจ้า”
ชี้มือชี้ไม้บอก หวานรักก็ไม่รีรอ เดินแกมวิ่งตรงไปยังที่อั้มชี้เป้าด้วยความว่องไว
“ไปลิ่วเลยแหะพี่สาวเรา”
นาวินป้องตาดู หวานใจเดินเร็วจริงๆ แป๊บเดียวก็หายลับไปเสียแล้ว เขาเองก็มองไปรอบๆ สายตาไปสะดุดที่มอเตอร์ไซค์ที่มีกุญแจเสียบคาไว้ จึงหันมาถามอั้มเสียงอ่อนอย่างจะอ้อน
“พี่อั้มครับ รถของใครครับ”
“รถที่บ้านนี้ล่ะเจ้า”
“ผมขอขี่ออกไปได้ไหมครับ”
“ได้สิเจ้า จะไปไหนล่ะ”
“ไป...เอ่อ...ไป” นาวินมีหน้าเป็นสีเรื่อเล็กน้อย เมื่อเอ่ยถึงที่ซึ่งตนตั้งใจจะไปให้กับอั้มได้รู้
“ไปหาป้าแพนเค้กอะครับ”
“อ๋อ” อั้มลากเสียง
“เอาไปเลยเจ้า เอ่อ...ชวนนังแพนเค้กมากินข้าวเย็นด้วยกันด้วยนะเจ้า เย็นนี้เพลิงขาจะจัดปาร์ตี้ ต้อนรับน้องหวานใจ”
“ครับผม”
ใจของนาวินโลดไปที่ร้านเสริมสวยของแพนเค้กสาวประเภทสองอีกคน หนึ่งในเพื่อนรักของเจ้าของสวนส้มแล้วก่อนตัว ก่อนที่เขาจะสตาร์ทรถเสียอีก
ร่างสูงเพรียวของหวานใจ ค่อยๆ ย่องเงียบไปหามารดา ดูเหมือนว่าท่านกำลังจะเพลินกับสิ่งที่กำลังอยู่ตรงหน้ามาก จนเมื่อเธอไปยืนอยู่ด้านหลัง ตวงรักก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ หวานใจจึงจับแขนของท่าน ตวงรักร้องกรี๊ดอย่างตกใจ เมื่อเห็นว่าเป็นใคร หล่อนก็โผเข้ากอดสาวน้อย แล้วลูบหลังลูบไหล่อย่างแสนคิดถึง
“ทำอะไรอยู่น่ะแม่”
หวานใจมองสิ่งที่อยู่ในมือมารดา อ้อ...หนังสือนิยาย เธออ่านปราดๆ ถึงชื่อและสะดุดที่นามปากกา
สีสัน...
อืม...
ต้นเหตุของความบาดหมาง กองไฟเล็กๆ ระหว่างพ่อกับแม่เธอนี่นา...
คืนนี้แหละเธอจะรีดความจริงให้หมดเลยว่า ตกลงแม่ของเธอ คลั่งเด็กหนุ่มนักเขียนคนนี้จริงๆ ใช่ไหม หรือว่าพ่อเพลิงของเธอตีโพยตีพายไปเองกันแน่
“มัวแต่เพลินหนังสือ เลยไม่ได้ยินเสียงของหวานเลย มาๆ ขอแม่หอมหน่อย”
เธอปล่อยให้มารดาหอมแก้มซ้ายขวา ก่อนจะเอ่ยเสียงอ้อน
“แกงฮังเลของหวานล่ะ ก็นึกว่าแม่ทำไว้รอ”
“ทำไว้รอสิ แม่เคี่ยวด้วยเตาถ่านเลยนา เมื่อวานตั้งเตาอั้งโล่ทำให้เลยด้วย รอกินพร้อมหวานวันนี้ล่ะ”
เมื่อตวงรักว่าแบบนั้น แม่ลูกสาวก็หน้าบานยิ้มออก ก่อนจะฉุดให้มารดาเธอลุกขึ้น แล้วเดินกระหนุงกระหนิงคุยกันกลับไปยังบ้านไม้สักหลังใหญ่ของครอบครัว