๔ ขีดเส้นใต้ (๑)
๔
ขีดเส้นใต้
กันต์กวีพูดอะไรไม่ออก เหมือนลำคอตีบตันชั่วขณะควานหาเสียงเท่าไหร่ก็ไม่เจอ ทำได้เพียงจ้องดวงตากลมที่เรียบสนิทไม่มีวี่แววความเขินหาย หรือบางทีมันดำมืดเกินกว่าเขาจะคาดเดาได้ว่าหล่อนพูดจริงหรือต้องการล้อเล่น แต่เท่าที่พินิจน่าจะเป็นอย่างหลังมากกว่า
หวันยิหวาชอบเขา...ตลกเกินไปแล้ว
หล่อนไม่มีท่าทีว่าจะหลงรักกันเลยสักนิด
แต่พอคิดย้อนไปถึงวันที่ปีนขึ้นห้องแล้วโดนหล่อนจูบก็ต้องทบทวนใหม่ บางทีเธออาจจะชอบเขาจริงก็ได้ อย่างนี้ก็แย่แล้วสิเพราะตนอุตส่าห์คิดแผนจะผลักไสหล่อนไปให้พี่ชาย ทว่าหญิงสาวกลับมาหลงรักตนเสียได้
เป็นอย่างนี้ไม่ดีแน่...
“นายตลกดี...คิดว่าฉันชอบนายจริงเหรอ” พอเห็นว่าอีกฝ่ายเอาแต่เงียบแล้วยังมีอาการอึ้งจึงตัดสินใจเปลี่ยนจากความจริงจังเป็นเรื่องตลก ใบหน้าหวานแหงนมองฟ้าแล้วจดจ้องแสงสว่างของดวงดาวที่กระพริบปริบ ไล่ความเศร้าให้รีบคลายอย่างรวดเร็ว ไม่ต้องการแสดงความเสียใจให้คนข้างกายเห็นว่าตอนนี้ตนอ่อนแอมากเพียงใด
“เธอหลอกฉันเหรอ”
“หรือคิดว่าฉันชอบนายล่ะ” พอเธอถามกลับเขาก็เงียบ
น่าแปลกที่ถึงจะโล่งอกแต่อีกใจก็นึกเสียดาย จนต้องถามตัวเองว่าเขาเสียดายอะไรกันแน่ หล่อนไม่ชอบก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอ แผนที่คิดเอาไว้จะได้ลุล่วงด้วยดี อย่างไรหวันยิหวาก็เหมาะกับคนเงียบขรึมแบบกันต์ธีร์มากกว่าเขา
“เฮ้อ ค่อยยังชั่วหน่อย ฉันนึกว่าเธอชอบฉันจริงซะอีก เอาอย่างนี้ไหมเรามาเป็นพันธมิตรกันดีกว่า แต่งงานแบบเพื่อนสนิทไม่มีอะไรเกินเลยมากกว่านั้น...”
“แต่เราจูบกันไปแล้วนะ”
เขาคิดจะยื่นข้อเสนอให้หล่อนแต่กลับถูกหญิงสาวพูดขัด แล้วเธอยังหันมามองหน้าเขาด้วยแววตาเรียบเฉยตอนพูดประโยคต่อมา “นายจับนมฉันแถมยังเลีย...” ไม่ใช่แค่คนฟังที่อายแต่หล่อนก็นึกกระดากตอนพูดเหมือนกัน เพียงแค่บอกไปตามความจริงก็เท่านั้น
“เมา! คนเมาสติมันไม่เต็มหรอก ฉันทำเพราะเมาต่างหากไม่ใช่อยากทำสักหน่อย” ตะโกนเสียงดังหาข้ออ้างให้ตัวเอง ถึงตอนนั้นเขาจะมีสติและรู้ผิดชอบชั่วดีทุกอย่าง แต่อารมณ์มันก็พาไปจนเกือบกู่ไม่กลับหากไม่ใช่คุณพายัพเข้ามาเห็นเสียก่อน
ป่านนี้...เราคงได้เสียกันไปแล้ว
และเรื่องคงยุ่งยากมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้
ร่างสูงลอบกลืนน้ำลายหนืดลงคอเมื่อเธอพูดถึงจูบนั้น เขายอมรับเลยว่าจูบของเธอหวานมาก ทรวงอกก็นุ่มหยุ่นเต็มไม้เต็มมือ จำสัมผัสได้ไม่ลืมถึงไม่อยากจำก็ตาม ว่าแล้วก็เหลือบมองคนข้างกายอีกครั้ง
“แล้วตกลงตอบได้หรือยังว่าทำไมถึงต้องแต่งงานกับฉัน เราไม่ได้รักกันสักหน่อย”
“ปกป้องศักดิ์ศรีตัวเอง...มั้ง” ท้ายประโยคบอกเสียงเบาจนเขาไม่ได้ยิน ชายหนุ่มพยักหน้าเข้าใจในทันทีไม่ได้ถามอะไรอีก ก็เดาได้ไม่อยากถึงเหตุผลของหล่อน โดยที่เขาไม่รู้เลยว่านั่นเป็นแค่ข้ออ้างของหญิงสาว ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง
“ฉันว่าเราไม่เหมาะกันหรอก ฉันเข้ากับเธอไม่ได้อยู่กันไปอีกไม่นานก็คงจะเลิก...เราอย่าเริ่มเลยดีกว่า” คนพูดไม่คิดแต่คนฟังเจ็บจนต้องเม้มปากแน่นแล้วเบิกตาไว้ไม่ให้น้ำตาที่คลอเบ้าไหลเปื้อนใบหน้า เธอเป็นคนร้องไห้ยาก แต่ไม่รู้ทำไมพอเป็นเรื่องของคนข้างกายจึงเรียกน้ำตาได้ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ
ทำได้เพียงสั่งน้ำตาห้ามไหลเด็ดขาด...
“เธอเหมาะกับคนอื่นที่ดีกว่าฉัน ลองมองคนใกล้ตัวดีไหม ที่เขาสุขุม เป็นผู้ใหญ่ มีความรับผิดชอบอยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลหรอก แค่เธอลอง...”
“หมายถึงพี่ธีร์เหรอ” ยังพูดไม่ทันจบหล่อนก็พอจะเดาออก รู้ทันทีว่าทำไมชายหนุ่มถึงส่งพี่ชายไปรับเธอ คงทำหน้าที่เป็นพ่อสื่อยัดเยียดหล่อนให้คนอื่นสินะ
หล่อนแอบยิ้มสมเพชตัวเอง เขามองเธอเป็นแค่สิ่งของจะยกให้ใครก็ได้อย่างนั้นหรือ
“ก็พูดทั่วๆ ไป แต่พี่ฉันก็ดีไม่ใช่หรือไง เธอไม่ลองพิจารณาดูสักครั้งล่ะ บางทีอาจจะชอบก็ได้นะ” เธอกำมือแน่นอยากด่าเขาไปสักทีแต่ยั้งปากเอาไว้ก่อน ดาวไม่น่าดูเมื่อเขาพูดแต่เรื่องน่าโมโห ทำลายอารมณ์สุนทรีของตนไปจนหมด
“นายเคยฟังเพลงของอินคาไหม” แล้วก็ถูกเปลี่ยนเรื่องฉับพลัน จนเขาเดาอารมณ์คนข้างกายไม่ถูกว่าต้องการสื่ออะไร
“ไม่...เคย เคยฟังเพลงหนึ่ง” กำลังจะส่ายหน้าแต่ก็นึกออก เขารีบตอบหล่อนทันทีเพราะชอบเพลงของนักร้องคนนี้ อาจไม่ได้ค้นพบด้วยตัวเองแต่พอย้อนกลับไปฟังก็จะนึกถึงช่วงเวลาที่คุยโต้ตอบกับเพื่อนสนิทในเอ็มเอสเอ็นตลอด
น่าเสียดายที่ตอนนี้แชทนั้นปิดตัวลงไปแล้ว อยากตามหาเพื่อนคนนั้นก็ไม่รู้ว่าจะหาที่ไหน เพราะเขาแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับอีกฝ่ายสักอย่าง สุดท้ายก็กลายเป็นแค่คนในความทรงจำของช่วงวัยรุ่น
“เพลงอะไร”
“ยิ่งใกล้ยิ่งเจ็บของอินคา” บอกเชื่อเพลงแล้วร่ายยาวถึงความชอบ ดวงตาคมเป็นประกายยามพูดถึงจนเธอเผลอหันมามองเขาไม่ละสายตา ความอัธยาศัยดีของเขาทำให้หล่อนหลงรัก สามารถนั่งฟังชายหนุ่มพูดได้เป็นวันด้วยซ้ำ
เสียแต่ว่าหล่อนคุยไม่เก่งเราจึงไม่เคยได้พูดกัน แล้วเธอก็ทำได้เพียงแอบมองอย่างเดียว มาถึงวันนี้ได้นั่งข้างเขาแล้วคุยอย่างออกรส จึงจ้องกันต์กวีนิ่งซึมซับบรรยากาศแสนสุขเอาไว้