๓ ผลักไส (๓)
“ก็มันจริง พี่ไม่ได้อยากให้ลูกไปสักหน่อย พี่มีปัญญาเลี้ยงลูกไปตลอดชีวิตจะให้ไปอยู่กับคนอื่นได้ยังไง ถ้ามันทำอะไรไม่ดีกับหนูบอกพ่อเลยนะ พ่อจะจัดการให้เอง” พูดจบก็ยอมปล่อยลูกสาวออกจากอ้อมอก ณตะวันเข้ามากอดน้องเช่นเดียวกัน
“พี่อยู่ข้างยิหวานะ ถ้ามันทำน้องพี่เสียใจเมื่อไหร่พี่เอาตาย”
“พี่ตะวันอย่าเว่อร์ อยากติดคุกหรือไง”
“ไม่รู้ล่ะ มันทำเราเสียน้ำตาเมื่อไหร่พี่ไม่ยอมแน่” พี่ชายออกตัวแรงเหมือนพ่อ เธอทำได้เพียงแค่พยักหน้าอย่างเดียวไม่ได้ตอบกลับอะไร กระเป๋าของหญิงสาวถูกกันต์ธีร์ถือไปไว้บนรถให้แล้ว เธอโบกมือลาทุกคนที่บ้านแล้วเดินไปนั่งเบาะข้างคนขับ
หญิงสาวไม่ได้เสียใจแต่ตื่นเต้นมากกว่าเมื่อจะได้ไปอยู่ที่ใหม่ มือบางกำไว้แน่นแล้ววางบนหน้าตัก เธอถอนหายใจอย่างเชื่องช้าขณะพาหนะเคลื่อนออกจากบ้านที่คุ้นเคย น่าเสียดายที่คนข้างกายไม่ใช่กันต์กวี
“เขาไม่สบาย...เป็นอะไรมากหรือเปล่าคะ”
“ไม่เป็นอะไรมากหรอก ไว้ถึงบ้านหวาค่อยไปดูมันก็ได้”
“ค่ะ” เธอตอบรับเขาโดยไม่ได้ชวนคุยอีก
กันต์ธีร์เป็นรุ่นพี่ร่วมโรงเรียน หน้าตาดีเรียนเก่งมีความเป็นผู้นำ ที่สำคัญเขายังเคยสารภาพรักกับหล่อนอย่างตรงไปตรงมา หวันยิหวานับถือชายผู้นี้เป็นอย่างมากที่กล้าพูดความในใจของตัวเองด้วยเสียงมั่นคง ถึงแววตาสั่นไหวตื่นเต้นระคนหวาดกลัวก็ตาม
แต่หล่อนก็เลือกจะปฏิเสธแล้วหยิบยื่นสถานะพี่น้องให้เขา เพราะกันต์ธีร์คือพี่ชายของคนที่ตนแอบรัก...
จากนั้นเขาก็วางหล่อนเป็นน้องสาวมาโดยตลอด
ถึงบ้านไม้สองชั้นของฟาร์มสุขพิบูลย์ บ้านทั้งหลังทำด้วยไม้สักเป็นมรดกตกทอดจากรุ่นสู่รุ่น แบบบ้านเหมือนในโปสเตอร์ที่ชอบขายตามร้านขายภาพติดฝาผนัง ข้างบ้านมีดอกดาวกระจายหลากสีที่ปลูกในกระถางจัดให้สวยงามเป็นสัดส่วน มีน้ำตกจำลองขนาดเล็กแล้วก็โอ่งน้ำข้างบ้านไว้รองน้ำฝนที่ไหลตามรางน้ำ
เธอเคยเห็นแต่ไม่เคยเข้าไปข้างใน เป็นครั้งแรกที่ได้เหยียบย่างเข้ามา แล้วดูเหมือนว่าทุกคนจะให้การต้อนรับเป็นอย่างดี
“ลูกสะใภ้ของแม่มาแล้ว” คุณมุกดาตรงเข้ามาต้อนรับด้วยการกอด เธอจึงกอดตอบท่านแล้วค่อยยกมือไหว้คุณกุนต์พร้อมทั้งแม่บ้านที่ยืนเรียงรายต้อนรับสะใภ้คนเล็กแห่งบ้านธัญญาพิบูลย์ สายตาพยายามมองหาคนไม่สบายแต่ก็ไม่เห็นเขา
“สวัสดีค่ะ หนูชื่อยิหวานะคะ” แนะนำตัวเองกับทุกคนอีกรอบ
“ชื่อน่ารักหน้าตาก็สวย มาๆ แม่จะพาขึ้นไปดูบนห้องนะจ๊ะ” เตรียมทุกอย่างไว้ให้ลูกสะใภ้เรียบร้อย กระทั่งห้องนอนก็ให้อยู่ตรงข้ามกับกันต์กวี
ลูกชายคนโตถือกระเป๋าของหล่อนเดินตาม แอบยิ้มเมื่อเห็นมารดาจัดแจงทุกอย่างเพราะตื่นเต้นกับการได้สะใภ้ไม่ทันตั้งตัว แล้วดูท่าว่าท่านจะชอบหวันยิหวาเป็นอย่างมากเสียด้วย น่าเสียดายที่เจ้าบ่าวไม่ใช่เขา
ความรักวัยเรียนสามารถลืมเลือนไปได้แล้ว เพราะอย่างไรก็เป็นตนที่แอบรักข้างเดียว เมื่อถูกปฏิเสธก็ทำใจยอมรับแล้วเดินหน้า เพียงแต่ได้เจอกันครั้งนี้ก็อดไม่ได้ที่จะอิจฉาน้องชาย ทั้งที่เขาพยายามแทบตายก็ไม่สามารถคว้าใจหล่อนได้
ขณะที่อีกคนไม่ได้พยายามอะไรเลย...กลับครอบครองใจหล่อนทั้งดวง
เธอมองรอบบ้านที่เป็นไม้เนื้อดี ราคาคงแพงไม่ใช่เล่นยิ่งสร้างมาหลายสิบปีแล้วด้วย แต่สภาพยังเหมือนใหม่จนนึกทึ่ง หล่อนแอบสำรวจบ้านอย่างเงียบๆ ก่อนหยุดหน้าห้องที่ตัวเองต้องอาศัย พอเปิดเข้าไปข้างในก็มีเตียงกว้างตั้งไว้ตรงกลาง พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน
ท่านวางแจกันดอกไม้ไว้ให้ที่โต๊ะข้างหัวเตียงด้วย กลิ่นหอมฟุ้งกระจายไปทั่วห้อง ขณะที่กันต์ธีร์เดินเอากระเป๋าเข้ามาวางให้หญิงสาว
“ชอบไหมลูก แม่ไม่รู้ว่าหนูชอบแบบไหนเลยแต่งออกแนวหวานไว้ก่อน” ความจริงหญิงสาวไม่มีความชอบตายตัว แค่แบบเรียบง่ายก็พอแล้ว แต่เลือกจะพยักหน้าเพื่อเอาใจท่าน แม้พูดไม่เก่งก็ยังรู้วิธีการเข้าหาผู้ใหญ่
“ชอบค่ะ สวยดี” คนฟังยิ้มแก้มปริ
“ถ้ามีอะไรก็เคาะเรียกกวีได้นะ อยู่ห้องตรงข้ามนี่เองเห็นบอกไม่สบายนอนซมลุกไม่ขึ้น ตอนนี้ดีขึ้นแล้วแม่ให้กินยาเรียบร้อยหนูไม่ต้องห่วง” ร่างบางทำเพียงพยักหน้ารับทราบ แต่แววตาปิดไม่มิดว่าเป็นห่วงคนห้องตรงข้ามมากแค่ไหน
พูดคุยกับคุณมุกดาครู่หนึ่งแล้วค่อยปิดประตูต่อจากนี้เป็นเวลาของตัวเอง หล่อนเดินเข้าไปล้างหน้าล้างตาแล้วกลับมาจัดเสื้อผ้าเข้าตู้ ฤกษ์หมั้นคือวันพรุ่งนี้ตอนเช้า ขณะที่ฤกษ์แต่งงานคือเดือนหน้าตามที่คุณมุกดาบอก
หญิงสาวคิดจะอยู่ที่นี่หนึ่งเดือนตามระยะเวลาการลางาน จากนั้นค่อยคิดอีกทีว่าจะเอาเช่นไร อาจเข้าบริษัทสามวันต่อสัปดาห์แล้วช่วยงานในฟาร์มที่อยากเริ่มลงมือศึกษา สิ่งที่หญิงสาวชื่นชอบคือการทำงาน
คราวนี้ได้ทำงานด้วยได้อยู่ใกล้กับกันต์กวีด้วย...ทำไมเธอจะไม่ชอบล่ะ
“พวกมึงไม่ต้องมา จะมาทำไมวะก็แค่หมั้นเดี๋ยวก็ได้ถอนหมั้นแล้ว” เสียงเอะอะดังขึ้นหน้าห้อง พอเงี่ยหูฟังก็มั่นใจว่าเป็นชายจากห้องฝั่งตรงข้าม เธอรีบคว้าโทรศัพท์แล้วจัดแต่งหน้าผมให้เข้าที่ในเวลาไม่ถึงสามสิบวินาที ก่อนเปิดประตูออกมาเผชิญหน้ากับเขา
ร่างหนาชะงักเมื่อได้สบตากับว่าที่คู่หมั้น เธอยังคงทำหน้านิ่งเป็นหินเหมือนเดิม “แค่นี้แหละ” เจ้าตัววางสายก่อนเดินลงบันได แต่ถูกเธอคว้าคอเสื้อเอาไว้จนชายหนุ่มตาเหลือก รีบก้าวถอยหลังแล้วหันมาเผชิญหน้ากับหล่อนอย่างรวดเร็ว
“เธอจะฆาตกรรมฉันหรือไง!”
เสียงตะคอกทำให้เธอตกใจเล็กน้อย ความจริงแค่อยากรั้งชายหนุ่มเอาไว้เพื่อถามไถ่อาการป่วย ลืมคิดว่าอาจทำให้คนตรงหน้าเจ็บตัวก็เป็นได้
“หายแล้วเหรอ”
ถามอย่างตรงไปตรงมา หน้าตาของเขาปกติไม่เหมือนคนป่วยสักนิด ตัดสินใจเขย่งปลายเท้าแล้วเอามืออังหน้าผากเพื่อวัดอุณหภูมิของร่างกายชายหนุ่ม พบว่าไม่ได้ตัวร้อนอย่างที่คิด
หรือความจริงเขาไม่ได้ป่วยเพียงแค่ไม่อยากไปรับหล่อนเท่านั้นเอง