บทที่ 5
ไม่นานความอยากรู้อยากลองและความต้องการก็ทำให้เรือนร่างของเธอเปลือยเปล่า น้อมรับความสุขที่เขามอบให้อย่างอ่อนโยนทะนุถนอมจนแทบลืมความเจ็บปวดที่เดิมก็ไม่ได้มีมากนัก
อัณณิกาจำได้ดีว่าเขาสุภาพกับเธอมากแค่ไหน ถามในทุก ๆ จังหวะหวามว่าไหวไหม เจ็บมากหรือเปล่า หลังจากประสบการณ์ครั้งแรกจบลงยังปลอบใจเธอ ว่าเขาคือคนที่ควบคุมสติไม่ได้จนทำให้เรื่องราวในคืนนั้นเลยเถิดและพร้อมที่จะรับผิดชอบการกระทำของตัวเอง แต่พอเธอถามว่าจะรับผิดชอบอย่างไร เขาก็บอกว่าตัวเองเพิ่งเลิกรากับคนรักมา คงต้องขอเวลาคิดว่าความสัมพันธ์ของเราทั้งคู่จะไปในทางไหน เธอได้ยินแบบนั้นจึงเกิดความคิดแปลก ๆ ขึ้นมาและเขาเองก็เห็นด้วย
‘ถ้าเป็นแฟนกันเดี๋ยวก็เลิก…เราเป็นเพื่อนกันดีกว่า’
‘แต่เรามีอะไรกันแล้วนะอ้อน’
‘งั้นเราก็ต้องไม่ทำแบบนั้นอีก’
ทว่าดนัยกิตต์ห้ามใจตัวเองไม่ได้ ครั้งแรกเกิดขึ้นแล้วย่อมต้องมีครั้งที่สองและทุกครั้งที่มีโอกาสได้อยู่กันตามลำพัง เขามักมองอัณณิกาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความต้องการ มือที่เคยผลักกันเล่นในวัยเด็กเปลี่ยนมาลูบไล้ผิวเนียนนุ่ม ลงเอยด้วยการสานต่อความเร่าร้อน ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เพื่อนสนิทควรทำ แต่เขากลับต้องการให้มันเป็นเช่นนั้นตลอดไป
อัณณิกาเคยคิดว่าอยากหยุดทุกอย่าง แต่ความรักลับ ๆ ที่ซ่อนอยู่ช่างน่าตื่นเต้น ทวีความน่าค้นหาให้ลึกซึ้งลงไปอีก รู้ตัวอีกทีก็ตกอยู่ในอ้อมกอดแข็งแกร่งนับครั้งไม่ถ้วน ปล่อยให้เขาตักตวงทั้งกายและใจ ส่วนเธอเองก็เก็บกักความหวานล้ำจนอิ่มเอม ลืมความถูกผิด เหลือเพียงข้อตกลงที่เข้าใจง่ายว่าหากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีคนรัก ความสัมพันธ์นี้จะต้องยุติลงทันที
วันนี้คนรักเก่าของเขากลับมา หรือว่าจะถึงเวลาแล้ว?
“อย่าคิดไปเองสิ ถามก่อนว่าเขาคิดยังไงแล้วค่อยว่ากัน”
เธอพึมพำกับตัวเองหลังจากเข้ามาในห้องนอน แต่พอเปิดไฟก็กรีดร้องเสียงดังลั่นบ้านเมื่อพบว่าตัวเองไม่ได้อยู่ในห้องตามลำพัง
“กิตต์มาตั้งแต่เมื่อไหร่ เราตกใจหมดเลย!” อัณณิกาถามคนที่นอนสบายราวกับอยู่บนเตียงที่บ้านของตัวเอง ทั้งตัวสวมเสื้อยืดสีขาวและกางเกงขาสั้น ดวงตาจดจ้องอยู่กับหน้าจอโทรศัพท์และเลื่อนดูอย่างเอาเป็นเอาตาย
“มานานแล้ว” ดนัยกิตต์ทนภาพบาดใจไม่ไหว จึงแวะส่งเพียงขวัญและกลับมารอที่บ้าน เผื่อว่าอัณณิกาจะโทรตามให้ไปรับ สุดท้ายกลับมีเพียงมารดาของเธอที่เรียกให้มารับประทานอาหารเย็นด้วยกัน “น้าชมบอกว่าจะกลับบ้านดึกหน่อย เราเลยอาสาอยู่เป็นเพื่อนอ้อนก่อนน่ะ”
“แม่บอกแล้วแหละ ว่าแต่กิตต์กินอะไรหรือยัง เราขอโทษนะที่กลับช้า เลยไม่ได้มากินข้าวเป็นเพื่อนเลย” เธอสัญญาว่าจะกินมื้อเย็นเป็นเพื่อนเขา แต่เรื่องกวนใจกลับทำให้ลืมนัดไปเสียสนิท
“ไม่เป็นไรหรอก แล้วไปเจอเพื่อน ๆ มาเป็นยังไงบ้างล่ะ”
“ก็เหมือนเดิมนั่นแหละ ยัยจ๋าบ่นเรื่องฝึกงานจนหูชา เห็นว่าไม่ได้ทำอะไรที่เป็นประโยชน์เลยสักอย่าง ส่วนยัยมดดำก็เหมือนเคย มีแฟนใหม่คนที่ร้อย แต่ก็ยังถามอยู่เลยนะว่ากิตต์เป็นยังไงบ้าง”
“มีไปแค่นั้นเหรอ?” ดนัยกิตต์ถามเสียงเรียบ
“ยัยน้ำหวานก็ไปด้วย แต่ไม่ครบทุกคนที่กิตต์รู้จักหรอก อย่างน้อยก็ขาดยัยดาว เท่าที่ฟังดูเหมือนตั๋วเครื่องบินจากเชียงใหม่มากรุงเทพจะแพงจนไม่กล้าสู้ ช่วงวันหยุดยาวก็แบบนี้แหละ”
“เข้าใจละ”
“งั้นเดี๋ยวเราอาบน้ำเสร็จแล้วออกมาคุยด้วยนะ กิตต์ลงไปเปิดทีวีรอข้างล่างก็ได้ ห้องเราจอเล็กนิดเดียวดูหนังไม่สนุกหรอก หรือจะกลับไปดูที่บ้านกิตต์ก็ตามใจ”
“อ้อนกล้าไล่กิตต์กลับบ้านเหรอ?”
น้ำเสียงแฝงความกรุ่นโกรธทำให้อัณณิกาถึงกับนิ่วหน้า ตลอดสิบปีที่รู้จักกันมาดนัยกิตต์ไม่เคยแสดงอารมณ์เช่นนี้มาก่อน ไม่เคยแม้กระทั่งทำหน้าดุใส่กัน มีเพียงการล้อเลียนน่ารัก ๆ ประสาเพื่อนสนิท แต่วันนี้ดูเหมือนทุกอย่างจะต่างไปจากเดิม
หรือว่าเขาอยากจะหยุดทุกอย่างแล้วจริง ๆ?
