บทที่ 4
“ไม่ต้องหรอก เขามากันสองคน คงไม่อยากให้ใครกวน”
ดนัยกิตต์ยิ้มให้หญิงสาว ทั้ง ๆ ที่ใจสับสนจนให้คำจำกัดความไม่ได้ว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร “เหมือนเราไง มาด้วยกันสองคนก็ไม่อยากให้ใครมากวน”
“ปากหวานไม่เปลี่ยนเลยนะกิตต์”
“ขวัญยังไม่เคยชิมเลย รู้ได้ไงว่ากิตต์หวานไม่เปลี่ยน”
“ถ้าฟังต่ออีกแค่นิดเดียว ขวัญคงสำลักความหวานของกิตต์ตายแน่ ๆ เลย ไม่เอาละ เราไปช็อปปิงกันต่อดีกว่า พรุ่งนี้กิตต์ต้องกลับไปฝึกงานแล้ว ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้เจอกันอีก”
“ชลบุรีใกล้แค่นี้เอง คิดถึงก็ไปหาอีกสิ”
“ขวัญไปกับครอบครัว ไม่ได้ไปเพราะคิดถึงกิตต์เสียหน่อย”
เพียงขวัญแย้งอย่างน่ารัก เธอโสดได้สักพักแล้วและต้องการคนคุยให้กระชุ่มกระชวยหัวใจเล่น บังเอิญเหลือเกินที่ได้เจอแฟนเก่าที่หล่อขึ้นมากในช่วงที่ไปพักผ่อนกับครอบครัว จึงมีโอกาสได้สานเรื่องราวที่คิดว่าจบไปแล้ว “แต่ถ้าคิดถึงขวัญอาจจะแวะไปเยี่ยมนะ อย่าแอบมีใครก่อนล่ะ”
“ไม่มีหรอก กิตต์ยังโสดเหมือนเดิมนั่นแหละ”
ดนัยกิตต์ปรายตามอง ‘เพื่อนสนิท’ ที่ยังนั่งอยู่ในร้านกาแฟ รอยยิ้มบนใบหน้าของเธอสดใสกว่าเมื่อช่วงเช้ามาก คงเพราะได้คุยกับคนที่อยากคุยมากกว่าเขาที่หายตัวไปฝึกงานนานกว่าสองเดือน เพิ่งจะได้กอดกันเมื่อคืนที่ผ่านมากับช่วงเช้าไม่ถึงครึ่งชั่วโมง
‘ไหนบอกว่าไปหาเพื่อน…’
เขาคิดอย่างไม่พอใจ แม้อยากจะเข้าไปถามให้รู้เรื่องเดี๋ยวนี้ แต่เขาไม่ได้มาคนเดียว อัณณิกาเองก็เช่นกัน เธอมากับผู้ชายที่น่าจะกำลังคุยกันอยู่ ดูจากการจับมือถือแขนแล้ว ตำแหน่ง ‘เพื่อนสนิท’ ของเขาคงหลุดมือในอีกไม่กี่วันข้างหน้า เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ตั้งแต่เมื่อสามปีก่อน
ความสัมพันธ์ทางกายต้องจบ ถ้าหัวใจของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งหรือทั้งสองฝ่ายมีใครอื่น
ตัวดนัยกิตต์เองยังไม่เข้าใจว่ารู้สึกอย่างไรกับเพียงขวัญ ช่วงเวลาสั้น ๆ ที่ได้กลับมาคุยกันทำให้นึกถึงเรื่องหวาน ๆ ในวันวาน รวมถึงความเจ็บปวดจากการเลิกรา เขาไม่ได้โกรธเธอเพราะเข้าใจดีว่าระยะทางคือปัญหา แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว และที่สำคัญคือต่างฝ่ายต่างโสด เช่นเดียวกับอัณณิกาและปกป้อง หากเขามีใครใหม่เข้ามาในชีวิต บางทีเธออาจตัดสินใจได้ง่ายขึ้นว่าต้องการอะไรกันแน่
‘เพื่อนสนิท’ หรือ ‘แฟนใหม่’ อัณณิกาจะเลือกใคร?
ป้ายลดราคาทำให้สาว ๆ ใช้เวลาตลอดช่วงบ่ายจนกระทั่งเย็นไปกับการเลือกซื้อเสื้อผ้าและเครื่องประดับ กว่าอัณณิกาจะแยกกับเพื่อนก็เกือบสองทุ่ม เธอคิดอยู่นานว่าจะส่งข้อความหาเขาดีไหม แต่สุดท้ายก็เปลี่ยนใจไม่อยากรบกวนเวลาส่วนตัว
“อ้อนอยู่ได้ใช่ไหม?” ปกป้องที่อาสามาส่งถามอย่างเป็นห่วง เธอยิ้มแย้มหลังจากเห็นภาพบาดตา ทว่าเขาที่นั่งอยู่ตรงหน้าเห็นชัดเจนว่าดวงตาโต ๆ นั้นมีหยาดน้ำสีใสคลออยู่ ไม่ได้มีความสุขที่ได้ออกมาเจอกับเพื่อน ๆ อย่างที่แสดงออก
“ได้สิ แม่บอกว่าวันนี้ติดลูกค้า อาจจะกลับบ้านค่ำหน่อย แต่ก็คงไม่เกินสี่ทุ่มหรอกมั้ง”
“เราหมายถึงเรื่องกิตต์ต่างหาก ถ้าอ้อนมีอะไรให้เราช่วยก็บอกนะ ถึงเราไม่ได้เป็นแฟน แต่ก็เป็นเพื่อนที่ดีได้เสมอ ไม่เอาเปรียบอ้อนแน่นอน”
“อือ ขอบใจนะ”
อัณณิกาโบกมือลาเพื่อนชายที่ให้คำปรึกษาได้อย่างดีเยี่ยม ตัดสินใจแล้วว่าหลังจากอาบน้ำจะส่งข้อความหาดนัยกิตต์ เผื่อว่าเขากลับมาแล้วจะได้คุยกันให้เข้าใจ
เธออยากสารภาพความรู้สึกที่แอบซ่อนไว้ตั้งแต่ย่างเข้าสู่วัยรุ่น แต่ไม่กล้าพอที่จะพูดมันออกไป ในวันที่เขาเสียใจเพราะเลิกรากับแฟนคนแรก เมามายพูดจาไปเรื่อยว่าเธอเป็นผู้หญิงที่ดีที่สุดในชีวิตเขา ไม่เคยทำให้เขาเสียใจแม้แต่ครั้งเดียว เขาชมเธอว่าน่ารัก น่ากอด และวันนั้นคือวันแรกที่เธอคาดหวังว่าจะได้มีที่ยืนอยู่ในใจของเขาบ้าง
เมื่อดนัยกิตต์เริ่มสัมผัสเธอที่ใบหน้าและมือที่บีบเข้าหากันเพราะความประหม่า ขยับเข้ามาใกล้เพื่อบอกว่าแก้มของเธอน่าหยิก ร่างกายของเธอก็ร้อนวูบวาบ ราวกับมีกระแสไฟฟ้าแล่นไปทั่ว ทว่าจิตใต้สำนึกและคำสอนของมารดาทำให้บอกปัดไปว่าการใกล้ชิดทางกายที่มากเกินไปไม่ใช่เรื่องที่เพื่อนควรทำ แต่เขากลับแตะต้องเธอไม่หยุด ทาบริมฝีปากลงบนแก้มและค่อย ๆ เลื่อนไปยังลำคอ มือหนาลูบไล้สะโพกของเธอ
