4.จะรู้ได้อย่างไร
“ท่านพี่อย่าเพิ่งโมโห บาดแผลของอิ่งเอ๋อร์แค่เล็กน้อยเท่านั้น ใส่ยาสองสามวันก็หายอย่าโทษถิงถิงเลยเจ้าค่ะ ข้าว่านางไม่ได้ตั้งใจหรอก นางอาจจะแค่คิดถึงมารดาที่ตายไปแล้วจึงไม่ทันยั้งคิด เอาแบบนี้ดีหรือไม่เจ้าคะ ในเมื่ออิ่งเอ๋อร์ก็ทำผิดพลาดหยิบสินเดิมของอดีตฮูหยินมาตัดชุดโดยพลการ เช่นนั้นข้าจะเป็นธุระหาช่างฝีมือดีมาตัดชุดให้ถิงถิงสักตัว ทำแบบนี้จะไม่ได้น้อยหน้ากัน”
“เจ้าก็ยุติธรรมดีเช่นนี้ ลำบากเจ้าแล้ว” พอถูกเกลี้ยกล่อมเจียเฉิงก็เสียงอ่อนลง
“ข้าเห็นถิงถิงเป็นเหมือนลูกสาวแท้ๆ เรื่องแค่นี้ยังจะมีอะไรต้องเกรงใจกันอีก” เหมยหลินแตะต้นแขนสามีเบาๆ แล้วหันไปพูดกับถิงถิงต่อ “ประเดี๋ยวตอนเย็นแม่รองจะให้เมิ่งฉีไปวัดตัวให้เจ้า จากนั้นค่อยจดขนาดตัวไปให้ร้านตัดเสื้ออันดับหนึ่งของอำเภอเต้าหมิงตัดเย็บให้”
“แม่รอง ยามที่ข้าออกไปนอกเรือนมีเสียงซุบซิบนินทาว่าตระกูลว่านร่ำรวยแต่เลี้ยงบุตรสาวภรรยาเอกเติบโตมาอย่างอัตคัด แม้แต่เสื้อผ้าที่ข้าสวมใส่ออกจากจวนยังบ่งบอกถึงสภาพความเป็นอยู่ของข้าได้โดยที่ข้าไม่ต้องป่าวประกาศบอกผู้ใด พวกท่านคงอับอายกระมัง"
“เจ้า!”
เจียเฉิงเริ่มเดือดดาลขึ้นมาอีกรอบ เหมยหลินรีบส่งสายตาปรามไว้ จึงต้องฝืนข่มใจให้สงบลง
การที่เหมยหลินมาทำเสแสร้งใจดีอยากตัดชุดใหม่ให้เป็นเรื่องแปลกประหลาดนัก ซืออิ่งได้ตัดชุดใหม่ทุกปีแต่ถิงถิงห้าปีได้ตัดเพียงหนึ่งครั้ง และเพิ่งตัดไปเมื่อปีที่แล้วนี่เอง ก่อนนั้นสินเดิมของมารดาถิงถิงไม่เคยได้แตะต้อง ผ้าที่ใช้ตัดชุดก็เป็นผ้าราคาถูกจากร้านขายผ้าทั่วไป แต่ครั้งนี้เหมยหลินกลับแสดงน้ำใจถึงขั้นอนุญาตให้เอาผ้าไหมที่เป็นสินเดิมของมารดามาตัดชุดอย่างไม่คิดเสียดาย ถิงถิงคิดว่าเรื่องนี้ดูไม่ชอบมาพากล
“ผ้าไหมล้ำค่าในคลังสมบัติถึงอย่างไรก็เป็นสินเดิมของมารดาเจ้า แม่แค่เป็นธุระหาช่างมาช่วยตัดให้เท่านั้น”
“ของที่เป็นสินเดิมของมารดา ยามข้าออกเรือนย่อมมีสิทธิ์นำติดตัวไปอย่างชอบธรรม แม่รองบอกเองว่าน้องซืออิ่งพลาดไปหยิบผ้าไหมของท่านแม่มาตัดชุดให้ตัวเองโดยพลการ เช่นนั้นขอถาม พวกท่านสองแม่ลูกจะชดใช้คืนให้ข้าอย่างไรดี ตีจากมูลค่าของผ้าผืนนั้นข้าว่าชดใช้เป็นเงินสักห้าพันตำลึงเป็นอย่างไร”
“ลูกอกตัญูญู! นี่แม่รองนั่นก็น้องสาวเจ้านะ”
เจียเฉิงได้ฟังก็ไม่พอใจ ย่างสามขุมเข้าหาถิงถิงแล้วง้างมือค้างไว้กลางอากาศ ท้ายที่สุดก็ไม่กล้าฟาดลงใบหน้าของบุตรสาว จึงลดมือลงด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว ถึงอย่างไรถิงถิงก็ยังมีประโยชน์อยู่ ระยะนี้เจียเฉิงไม่อาจแตะต้องนางได้ คงไม่ดีแน่ถ้าส่งไปให้เจี้ยนป๋อทั้งที่บอบช้ำ จึงฝืนข่มความขุ่นเคืองเอาไว้อย่างถึงที่สุด
“แค่หยอกล้อน้องซืออิ่งเล่นเท่านั้น ไยท่านพ่อถึงดุด่าว่าลูกอกตัญญูแล้ว คำว่าอกตัญญูที่ออกมาจากปากบิดาหนักหนาเกินไป ดังนั้นลูกไม่ขอรับไว้ แต่ลูกอยากถามท่านพ่อกลับสักคำ การที่ลูกปกป้องสมบัติที่เป็นของมารดาตัวเอง เช่นนี้เรียกว่ากตัญญูหรืออกตัญญูเจ้าคะ”
หากเอาแต่นิ่งเฉยไม่ยอกย้อนกลับไปบ้าง ก็เหมือนเป็นเป้านิ่งให้คนรังแก แม้ผู้เป็นพ่อเดือดดาลจนหน้าเขียวคล้ำ น้ำเสียงของถิงถิงยังคงเรียบนิ่งไม่ได้เน้นไปทางประชดประชันแต่ก็ทำให้คนหน้าชาได้
“ในตอนที่ท่านพ่อริเริ่มทำการค้าก็เอาสินเดิมของท่านแม่ไปลงทุนไม่น้อย มิหนำซ้ำตอนประสบความสำเร็จแล้วก็ยังไม่มีชิ้นไหนที่ซื้อกลับคืนมาให้ท่านแม่ได้ ของที่ท่านแม่เหลือทิ้งไว้ให้ลูกก็น้อยนิดเต็มที” นางเว้นช่วงไปครู่หนึ่งก่อนจะยิ้มบางๆ แล้วพูดต่อ “เพื่อแสดงความกตัญญูต่อท่านแม่ลูกจึงอยากยืมกุญแจห้องเก็บสมบัติจะได้เข้าไปตรวจนับดูสินเดิมที่เหลืออยู่ ของในนั้นส่วนหนึ่งก็เป็นของของลูกคงไม่มีผู้ใดคัดค้านกระมัง"
“โอหัง! เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าชิ้นไหนเป็นของแม่เจ้าชิ้นไหนข้าเพิ่งได้มาใหม่”
“เรื่องนั้นไม่ยากเจ้าค่ะ ท่านแม่ได้ทิ้งสมุดจดรายการสินเดิมของตนเองไว้ให้ลูกก่อนตาย เพียงแค่เอามาเปิดนับเทียบดูก็จะรู้แล้ว"
“เหลวไหล!”
เจียเฉิงแกล้งโวยวายกลบเกลื่อน พอหาข้อโต้แย้งไม่ได้ก็ชอบทำตัวเป็นหมาป่าตาขาว หากให้ถิงถิงเปิดห้องสมบัติเพื่อเข้าไปนับดูก็ไม่รู้ว่าจะเหลืออยู่มากน้อยเพียงใด แน่นอนว่ามันต้องไม่ตรงกันกับในบันทึกสินเดิมที่นางมีอยู่เป็นแน่ เพราะตั้งแต่รับเหมยหลินเข้าจวนนางก็ถือวิสาสะหยิบฉวยออกไปโดยพลการ บางชิ้นนำกลับคืนมาไว้ตามเดิมแต่บางชิ้นก็ถูกขายเข้าโรงพนัน ซ้ำร้ายไปกว่านั้นยังมีของล้ำค่าจำนวนไม่น้อยที่เหมยหลินหน้าใหญ่ใจโตนำไปมอบให้ตระกูลผู้ดีเพราะอยากคบค้าสมาคมกับคนเหล่านั้น
