2. ผ้าไหมในคลัง
“ข้าเคยรู้จักเจี้ยนป๋อ ตาเฒ่านั่นชื่นชอบสาวงามอายุน้อยเป็นพิเศษ หากส่งสาวงามไปให้สักคนข้าคิดว่าเราจะขอความช่วยเหลือจากเขาได้ง่ายขึ้น”
“สาวงาม แล้วเราจะหาสาวงามจากที่ใดส่งไปให้เจี้ยนป๋อ”
เจียเฉิงทวนคำพลางครุ่นคิดว่าควรจะหาสาวงามจากที่ใดส่งไปเป็นสินบนครั้งนี้ดี หากจะเอาสาวใช้ในจวนส่งให้ก็คิดว่าต่ำต้อยไปสักหน่อย เกรงว่าเจี้ยนป๋อจะไม่ชื่นชอบแล้วพาลหาเรื่องผิดใจ อีกทั้งสาวใช้ในจวนก็ไม่มีผู้ใดเหมาะสม บางคนอายุยังน้อยเกินไป บางคนก็แก่เกินกว่าจะทำให้บุรุษหลงใหลได้
“ในจวนของเราก็มีอยู่หนึ่งคนท่านพี่จะยุ่งยากคัดเลือกสาวงามไปทำไมกัน หากส่งนางไปเจี้ยนป๋อต้องพอใจมากแน่นอน”
“ผู้ใดกัน”
“ว่านถิงถิง”
เจียเฉิงเบิกตาโตด้วยความตกใจ แม้นว่าจะไม่ได้ใส่ใจบุตรสาวคนโตมากนักแต่ก็ไม่เคยคิดจะผลักลงนรกด้วยมือตนเอง เขายังมีความลังเลใจ เหมยหลินที่เห็นท่าไม่ค่อยดีจึงรีบเติมฟืนเข้าเตา
“ไม่มีใครจะดีไปกว่านี้แล้วนะเจ้าคะ นางอายุสิบหกแล้ว วัยนี้สมควรจะออกเรือน หากเราส่งถิงถิงที่เป็นเลือดเนื้อเชื้อไขของตระกูลว่านไป ตาเฒ่าเจี้ยนป๋อผู้นั้นก็จะเห็นถึงความจริงใจ เราไม่ได้อยากขอความช่วยเหลือจากเจี้ยนป๋อแค่ปีสองปี แต่ในปีต่อๆ ไปท่านพี่ก็ยังต้องพึ่งพาเจี้ยนป๋ออยู่ ผู้คนทั้งอำเภอเต้าหมิงต่างก็รู้ว่าอิทธิพลของเจี้ยนป๋อนั้นยิ่งใหญ่เพียงใด การส่งบุตรสาวตัวเองไปเป็นอนุก็เท่ากับว่าเราได้เกี่ยวดองกับเจี้ยนป๋อ เป็นเช่นนี้การประมูลสัมปทานรังนกในทุกๆ ปีคงไม่มีใครกล้าแข่งขันกับเราแล้ว”
คราแรกเจียเฉิงไม่เห็นด้วยแต่พอได้ฟังคำยุยงของอนุก็เริ่มเก็บมาคิดดู มีอยู่ประโยคหนึ่งที่เหมยหลินพูดถูกคือเจียเฉิงไม่ได้อยากขอความช่วยเหลือจากเจี้ยนป๋อแค่ปีสองปี หากถิงถิงได้แต่งไปเป็นอนุของเจี้ยนป๋อนางอาจเป็นแรงสนับสนุนให้ตระกูลว่านเจริญก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีก เจียเฉิงจึงคิดจะใช้วิธีนี้เพื่อให้ถิงถิงตอบแทนบุญคุณที่เลี้ยงดูมา แม้หักหาญน้ำใจบุตรสาวก็ไม่เป็นไร คิดเสียว่าส่งนางไปทำความดีให้วงศ์ตระกูล
“ให้นางแต่งเข้าไปก่อน พอนางได้เป็นคนของเจี้ยนป๋อแล้วเราค่อยอธิบายทีหลัง ถึงอย่างไรการทำเพื่อตระกูลก็ถือว่าเป็นการแสดงความกตัญญูนะเจ้าคะ เดี๋ยวนางก็จะเข้าใจเองนั่นแหละ”
“เอาอย่างที่เจ้าว่าก็แล้วกัน สำคัญอยู่ที่ว่านางจะยินยอมหรือไม่ ข้าจะลองไปคุยกับนางดูก่อน"
“อย่านะเจ้าคะท่านพี่! เอ่อ...ถิงถิงนางมีความดื้อรั้นอยู่พอตัว หากท่านพี่ไปคุยนางต้องไม่ยินยอมง่ายๆ แน่นอน เรื่องนี้เดี๋ยวข้าเป็นคนจัดการเองเจ้าค่ะ”
โชคร้ายอย่างแรกของถิงถิงคือมีเหมยหลินเป็นแม่เลี้ยง โชคร้ายอย่างที่สองคือมีบิดาที่เป็นเหมือนหลุมไร้ก้นที่ถมไม่เคยเต็ม
เมื่อหารือกับสามีแล้วเหมยหลินก็เดินเข้าไปในห้องของลูกสาว ซืออิ่งกำลังชื่นชมอาภรณ์ที่เพิ่งสั่งตัดมาด้วยใบหน้าแย้มยิ้ม เห็นมารดาเดินเข้ามานางก็รีบหยิบชุดใหม่มาโอ้อวด
“ท่านแม่”
ความงามของซืออิ่งนับได้ว่าเป็นสาวงามเลื่องชื่อ น้ำเสียงหวานล้ำ ใบหน้าพริ้มเพรา ต่อหน้าคนนอกแสดงกิริยามารยาทสูงส่ง เพราะมีเจียเฉิงให้ท้ายจึงไม่มีผู้ใดกล้าเอ่ยถึงชาติกำเนิดที่มีแม่เป็นหญิงนางโลม หากใครกล้าเอ่ยถึงก็มักจะถูกจับมาโบยจนขาแทบหัก
แต่ถึงจะปิดปากคนในได้ก็ปิดปากคนนอกไม่ได้อยู่ดี ผู้คนต่างรู้กันทั่วว่าเจียเฉิงรับหญิงนางโลมเข้ามาเป็นอนุแล้วยกย่องออกหน้าออกตา ด้วยสาเหตุนี้เองจึงเป็นชนวนเหตุทำให้ภรรยาเอกอย่างหยู่ถิงตรอมใจล้มป่วย ในตอนนั้นเจียเฉิงไม่รีบหาหมอมารักษาจนในที่สุดนางก็จากโลกนี้ไปอย่างอนาถ ทิ้งให้ถิงถิงกลายเป็นเด็กกำพร้าเผชิญชะตากรรมเพียงลำพัง
“ท่านแม่ ข้าเอาผ้าไหมที่อยู่ในคลังสมบัติไปให้ช่างตัดชุดใหม่ให้เจ้าค่ะ ท่านแม่ว่างามหรือไม่”
“ผ้าไหมในคลัง?”
เหมยหลินทวนคำแล้วรับอาภรณ์สีฟ้าที่เพิ่งตัดมาใหม่มาดูใกล้ๆ เมื่อเห็นลวดลายของผ้าไหมวิจิตรบรรจงก็ยกยิ้มมุมปากอย่างพึงพอใจ
“งาม ผ้าไหมผืนนี้เป็นผ้าไหมเก่าแก่ของเจียงหนาน มูลค่าผ้าไหมผืนนี้ล้ำค่ามาก มันเป็นสินเดิมของหยู่ถิง นางคงตั้งใจจะเก็บไว้ให้นังเด็กถิงถิงแต่ตัวเองดันมาตายเสียก่อน หึ...ช่างน่าขัน" เหมยหลินยกแขนเสื้อปิดปากแล้วพูดกลั้วหัวเราะ "แม้แต่สินเดิมก็รักษาไว้ให้ลูกไม่ได้”
“เช่นนั้นท่านพ่อจะไม่ต่อว่าข้าหรือเจ้าคะ”
สีหน้าของซืออิ่งตกใจเล็กน้อย ทว่าเมื่อเห็นรอยยิ้มที่แฝงความสาแก่ใจของมารดาก็เบาใจลง
“เด็กโง่ บิดาของเจ้าทั้งรักทั้งถนอมเจ้าปานนั้น จะมาติดใจอะไรกับสินเดิมของภรรยาที่ตายไปแล้วกันเล่า”
“ท่านแม่พูดถูกท่านพ่อรักข้าที่สุด เป็นเช่นนี้แล้วข้าจะใส่ออกไปเดินให้ท่านพี่ได้ดูเป็นบุญตา เผื่อว่านางจะได้หวนคิดถึงมารดาที่ตายไปแล้ว"