1. ส่งตัวเจ้าสาว
“เจ้าสาวลงจากเกี้ยว”
เป็นเสียงเอื่อยเฉื่อยของสตรีวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนนามว่าเมิ่งฉี นางกำลังร้องเรียกให้ว่านถิงถิงลงจากเกี้ยวเจ้าสาวด้วยท่าทางบึ้งตึง แต่รออยู่นานคนในเกี้ยวก็ไม่มีปฏิกิริยาตอบกลับจึงใช้กำปั้นทุบที่ผนังเกี้ยวเสียงดังปึงปัง
“ถึงจวนตระกูลเกาแล้ว คุณหนูใหญ่ ถึงท่านไม่อยากแต่งให้เจี้ยนป๋อแต่ก็ไม่มีทางเลือกแล้ว การแต่งงานเป็นเรื่องของบิดามารดา ถ้าหากนายท่านกับอนุเหมยหลินเห็นดีเช่นนั้นก็รับๆ เอาเถิดอย่าลีลาให้มากนักเลย ประเดี๋ยวจะเลยฤกษ์ดีข้าไม่รู้ด้วยนะ ข้าส่งท่านแล้วก็จะได้รีบกลับจวนไปทำอย่างอื่นต่อ”
คนในเกี้ยวยังไม่ขยับตัวเช่นเคย เมิ่งฉีเริ่มมีสีหน้าขุ่นเคืองถอนหายใจแรงๆ อย่างฉุนเฉียว จากนั้นเลิกผ้าม่านออกดู ตั้งใจว่าจะด่าทอเสียดสีเต็มที่ ทว่าภาพที่เห็นทำให้นางต้องผงะหงายหลัง เพราะหญิงสาวที่ถูกจับให้ขึ้นเกี้ยวมาแต่งงานอย่างไม่เต็มใจใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ ริมฝีปากเริ่มอมม่วง บ่งบอกว่าเจ้าของร่างที่นอนเอนกายอยู่นั้นเสียชีวิตแล้ว
“ว้ายยย ตายแล้ว! คนตายแล้ว! เจ้าสาวตายแล้ว!”
หลายวันก่อน
ภายในจวนตระกูลว่านอันกว้างขวางโอ่อ่า บรรดาสาวใช้และบ่าวรับใช้กำลังตั้งใจทำงานกันอย่างขยันขันแข็ง ภายในเรือนสี่ประสานหลังใหญ่มีทั้งหมดสี่สิบกว่าชีวิต ห้องหับจึงถูกสร้างขึ้นมากมายเป็นพิเศษ เรียกได้ว่าเป็นจวนขนาดใหญ่ของผู้มั่งคั่งมีอันจะกิน
ถัดไปทางฝั่งขวามือเป็นเรือนหลังเล็กกะทัดรัด เรือนหลังนี้เป็นที่อยู่ของว่านถิงถิง บุตรสาวคนโตของว่านเจียเฉิง มารดาของนางตรอมใจตายตั้งแต่นางอายุยังน้อย ความเป็นอยู่ของบุตรที่ขาดมารดาคอยปกป้องจึงไม่ค่อยดีเท่าที่ควรจะเป็น ห้องที่ว่านถิงถิงอาศัยหลับนอนพอๆ กับห้องของสาวใช้ในจวน สิ่งอำนวยความสะดวกทั้งเก่าและผุพัง มีโต๊ะหนังสือกับโคมไฟที่ผ่านการใช้งานมานับครั้งไม่ถ้วน ส่วนเตียงนอนก็ไม่ได้หรูหราประการใด เป็นเพียงเตียงขนาดเล็กนอนได้คนเดียว ผ้าห่มทั้งบางทั้งเก่า ปลอกหมอนมีรอยปะชุนให้เห็นหลายจุด ของส่วนมากเป็นของที่น้องสาวต่างมารดาใช้จนเบื่อแล้วถึงโยนมาให้ใช้ต่อ
กล่าวถึงบิดาก็ไม่ได้อัตคัดขัดสน เจียเฉิงเป็นพ่อค้าวัยสี่สิบห้าหนาวที่ชนะการประมูลสัมปทานรังนกทุกปี รายได้หลักของจวนตระกูลว่านมาจากการค้าขาย ก่อนหน้านั้นเจียเฉิงไม่ได้มีสมบัติเป็นชิ้นเป็นอัน เป็นเพียงพ่อค้าที่มีร้านขายผลไม้เพียงหนึ่งร้าน หลังจากแต่งงานกับหยู่ถิงก็ได้นำสินเดิมของภรรยาไปลงทุน วันดีคืนดีกิจการค้าขายเกิดเจริญรุ่งเรืองฉุดไม่อยู่ เจียเฉิงจึงเปิดร้านค้าเพิ่มขึ้นอีกหลายแห่ง สองสามีภรรยาก่อร่างสร้างตัวจนสามารถประมูลสัมปทานรังนกมาเป็นของตนเองได้สำเร็จ บัดนี้ว่านเจียเฉิงถูกผู้คนยกย่องว่าเป็นพ่อค้าผู้มั่งคั่งที่สุดในอำเภอเต้าหมิง
แม้สภาพจวนจะรุ่งเรืองเพียงใดแต่สวนทางกับความเป็นอยู่ของถิงถิงโดยสิ้นเชิง ตั้งแต่หยู่ถิงตายไปชีวิตของถิงถิงก็เปลี่ยนไปราวกับหน้ามือเป็นหลังมือ เจียเฉิงหูเบาฟังความอนุคนใหม่ที่รับมาจากหอนางโลม ปล่อยปะละเลยบุตรสาวสายตรงให้ใช้ชีวิตอยู่อย่างยากลำบาก แล้วหันไปทุ่มเทความรักให้บุตรสาวคนใหม่ที่เกิดจากอนุแทน ถิงถิงจึงกลายเป็นคุณหนูใหญ่ที่ถูกลืมไปโดยปริยาย
วันเดือนปีเคลื่อนไปฤดูกาลก็ผันผ่าน ถิงถิงเจริญเติบโตเป็นสาวงามเพริศพริ้ง ในขณะเดียวกันซืออิ่งน้องสาวต่างมารดาก็เติบโตขึ้นเช่นกัน ซืออิ่งมีนิสัยใจคอไม่ต่างไปจากมารดาเท่าใดนัก นางชอบพูดจาปลุกปั่นหาเรื่องให้ถิงถิงต้องถูกลงโทษอยู่เป็นประจำ ฝ่ายเจียเฉิงก็หูเบาฟังความข้างเดียว บางครั้งถิงถิงถูกบิดาลงโทษด้วยการโบยตีและให้อดข้าว ภาพที่คุณหนูใหญ่นั่งคุกเข่าตากฝนบ่าวไพร่เห็นบ่อยจนกลายเป็นเรื่องปกติ
ด้วยเหตุนี้สภาพร่างกายของถิงถิงจึงไม่ค่อยแข็งแรงนัก พอย่างเข้าเหมันต์ก็มักจะเป็นไข้ลมหนาว ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายถูกน้องสาวและแม่เลี้ยงคอยกลั่นแกล้งอยู่เป็นประจำ ส่วนผู้เป็นบิดาก็ทำเมินเฉยไม่ใส่ใจ
ในการประมูลสัมปทานรังนกปีนี้โจวเหมยหลินวางแผนคิดชั่ว นางได้รู้จักกับตาเฒ่าเจี้ยนป๋อเพราะก่อนหน้านั้นเขาเป็นลูกค้าประจำของหอนางโลม เจี้ยนป๋อมีฐานะร่ำรวย เป็นชายแก่อายุหกสิบหนาวและเป็นผู้มีอิทธิพลในอำเภอเต้าหมิง นิสัยใจคอเจ้าเล่ห์มักมากในตัณหา
“หากท่านพี่อยากชนะการประมูลสัมปทานรังนกปีนี้ข้าพอจะมีวิธี”
เหมยหลินพูดเสียงออดอ้อนยกชาขึ้นจิบแล้วจีบปากจีบคอ เจียเฉิงที่นอนไม่หลับมาหลายคืนเพราะคิดหนักกลัวว่าจะพ่ายแพ้การประมูลก็สนอกสนใจขึ้นมาทันที
”