ตอนที่ 6 คลื่นลมสงบ
ตอนที่ 6
คลื่นลมสงบ
หญิงสาวเองก็ไม่เคยคิดไปถึงขั้นว่าหลังจากที่นางสั่งฆ่าคนผู้นั้นที่นางไม่แม้แต่อยากจะเอ่ยชื่อของมันขึ้นมาให้รู้สึกกระดากปาก ผู้ที่เป็นคนบาปหนักของสกุลหลี่ที่ควรจะถูกกำจัดไปแล้วนั้นจะทำให้นางสามารถนอนหลับไปอย่างสนิทตลอดคืนอีกทั้งเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาก็ยังรู้สึกสดใสเต็มเปี่ยม
อาหวนบอกนางตั้งแต่ตอนที่ยกน้ำมาให้นางล้างหน้าแล้วว่าท่านพ่อของนางในที่สุดก็กลับมาแล้ว อีกทั้งวันนี้ไม่ต้องไปเข้าร่วมการประชุมเช้าที่ราชสำนัก เวลานี้รอให้นางไปรับประทานมื้อเช้าด้วยกันอยู่
“นายท่านรอคุณหนูไปร่วมโต๊ะด้วย ดีที่วันนี้คุณหนูตื่นเช้านะเจ้าคะ นายท่านกับฮูหยินจะได้ไม่ต้องรอนาน”
“เป็นเช่นเจ้าว่า ไม่เช่นนั้นหากไปสายละก็คงไม่แคล้วถูกท่านแม่บ่นจนหูชาอีกแน่”นางเอ่ยอย่างตลกขบขัน
“คุณหนูดูอารมณ์ดีนักนะเจ้าคะ เมื่อคืนคงจะฝันดีเป็นแน่” อาหวนเอ่ยถามพลางค่อยๆ ใช้หวีไม้แกะสลักชั้นดีสางเบาๆ ที่ผมยาวสลวยของคุณหนูของนาง
“ข้าไม่ได้ฝันเลยต่างหากเล่า เพียงแค่ได้หลับสนิทเต็มอิ่มก็ เท่านั้น นี่อาหวนเจ้าว่าประเดี๋ยวข้าปักปิ่นดอกไม้หรือปิ่นระย้าไข่มุกดี”
“ปิ่นดอกไม้ดีหรือไม่เจ้าคะ น่าจะเข้ากับชุดที่คุณหนูจะสวมใน วันนี้พอดี”
“เช่นนั้นก็เอาตามที่เจ้าว่าก็แล้วกัน”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
อาหวนจัดการเกล้าผมครึ่งหนึ่งของคุณหนูขึ้นก่อนทำเป็นมวย ผมรวบเก็บเอาไว้เป็นช่อดอกไม้ ส่วนอีกครึ่งหนึ่งนั้นตั้งใจจะปล่อยปลาย ทิ้งสยายถึงกลางหลังอย่างเรียบๆ หลังจากจัดทรงที่ต้องการเรียบร้อยจึงค่อยบรรจงนำปิ่นดอกไม้ปักประดับบนศีรษะให้ผู้เป็นนาย
ปิ่นดอกไม้แกะสลักเงินที่นางเพิ่งปักให้คุณหนูนั้น เป็นปิ่นดอกไม้ที่มีความประณีตงดงามเป็นอย่างมากทีเดียว
เพียงปิ่นด้ามหนึ่งนั้นประกอบไปด้วยดอกไม้แกะสลักถึงสามดอกด้วยกัน อีกทั้งดอกไม้บนปิ่นนั้นก็มีสีสันสวยงามไม่ธรรมดาเช่นเดียวกัน หากมองจากไกลๆ ก็อาจนึกว่าเป็นดอกไม้สดจริงๆ ก็เป็นไปได้
ส่วนชุดที่คุณหนูของนางจะสวมใส่ในวันนี้แม้จะเป็นเพียงชุดที่ดูเรียบง่าย สีสันไม่ได้โดดเด่นนักแต่ก็สวยงามไม่น้อยทีเดียว
ยามที่ชุดสีส้มอ่อนปักลายดอกไม้เล็กๆ ถูกสวมใส่โดยคุณหนูเป็นที่เรียบร้อยแล้วนั้นก็ช่างเหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง อาหวนกล้าพูดได้อย่างเต็มปากว่าไม่ว่าอย่างไรทำเนียบหญิงงามประจำเมืองหลวงสิบอันดับย่อมต้องมีคุณหนูของนางถูกจัดเอาไว้อยู่ด้วยอย่างแน่นอน
“คุณหนูงดงามนักเจ้าค่ะ”
“เอ่ยได้ดียิ่ง เดือนนี้เพิ่มเงินเดือนให้เจ้าก็แล้วกัน” หลี่เยว่เล่อกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มก่อนที่จะเดินนำสาวใช้ของตนออกจากเรือนพักไป เพื่อมุ่งหน้าไปยังเรือนด้านหน้าซึ่งเวลานี้ท่านพ่อท่านแม่ของนางคงกำลังจะไปถึงในอีกไม่ช้าเช่นกัน
เมื่อมาถึงเรือนด้านหน้าซึ่งเป็นที่ที่นางจะมาร่วมโต๊ะกับพวกท่านแม่แล้วนั้นนางกับสังเกตว่ามีบางอย่างไม่เหมือนทุกวัน
ดูเหมือนว่าวันนี้เหล่าบ่าวรับใช้ที่สมควรจะช่วยกันทำความสะอาดพื้นที่รอบๆ เช่นทุกวันกับหายไปกันหมดตลอดทางที่เดินมายิ่งเข้าใกล้เรือนด้านหน้ายิ่งพบว่าผู้คนได้หายไปหมดแล้ว
ความสงสัยของหญิงสาวเริ่มเพิ่มขึ้น มองไปไกลๆ ดูเหมือนว่า หน้าประตูเรือนหน้าจะมีชายร่างสูงสองคนที่กำลังเฝ้าประตูอยู่ซึ่งดู เหมือนว่าพวกเขาทั้งสองคนนั้นช่างไม่คุ้นตาเอาเสียเลย
นางไม่อาจก้าวเท้าเข้าไปยังในเรือนหน้าได้เพราะถูกบุรุษทั้งสอง ที่เฝ้าอยู่ในตอนนี้ขวางเอาไว้
เป็นอาหวนที่รู้หน้าที่ของตน นางรีบเดินมาอยู่เบื้องหน้าคุณหนู ของตนและเป็นผู้เอ่ยปากขึ้น
“พี่ชายทั้งสองช่วยหลบทางให้คุณหนูของข้าหน่อยได้หรือไม่”
ชายทั้งสองไม่มีผู้ใดสักคนที่เอ่ยตอบคำถาม พวกเขายังคงเงียบ และใช้ดาบกันประตูทางเข้าเอาไว้เช่นเดิม
“พวกเจ้าเป็นใครกัน” ครั้งนี้เป็นหลี่เยว่เล่อที่เอ่ยถามขึ้นแทน
อย่างน้อยๆ คนพวกนี้กล้าที่จะขวางทางนางในจวนของสกุล นางเอ่ยเช่นนี้ก็ควรจะแสดงตัวให้ชัดเจนใช่หรือไม่ว่าใหญ่มาจากไหนกัน ถึงได้มาขวางทางกินข้าวของผู้อื่นเช่นนี้
สองบุรุษก็ยังคงยืนนิ่งเงียบอยู่เช่นเดิมจนหลี่เยว่เล่อถึงขั้นขมวด คิว “คงไม่ใช่พวกเจ้าเป็นใบ้หูหนวกหรอกกระมัง ข้าจะเข้าไปข้างในรีบ หลีกทางไปเสีย” หญิงสาวเริ่มเอ่ยออกมาอย่างไม่สบอารมณ์แล้ว
หากมิใช่ว่าพ่อบ้านเหลียงรีบร้อนก้าวออกมาห้ามเอาไว้เสียก่อน เห็นทีนางคงได้หัวเสียหนักกว่าเดิมเป็นแน่
“คุณหนูสามโปรดใจเย็นก่อนขอรับ”
“จู่ๆ ก็มีใครมาขวางทางในที่ของข้า สอบถามก็ไม่ได้คำตอบแม้ ครึ่งคำจะไม่ให้มีน้ำโหได้อย่างไร”
“ทั้งสองเป็นองครักษ์ของแขกผู้สูงศักดิ์ที่มาเยือนขอรับ ยามนี้ นายท่านกำลังรับรองท่านผู้นั้นด้วยตัวเองเวลานี้ที่นี่ไม่สะดวก เชิญ คุณหนูไปร่วมโต๊ะกับฮูหยินที่เรือนหลังก่อนเถิดขอรับ”
“ข้าเข้าใจแล้ว พวกเราไปกันเถอะอาหวน”
“เจ้าค่ะคุณหนู”
หากนางรู้ว่ามีแขกคนสำคัญก็คงไม่มั่วมาเสียเวลาอยู่ตรงนี้หรอก แขกที่อยู่กับท่านพ่อก็คงไม่ธรรมดาถึงขั้นที่ให้ท่านพ่อรับรองด้วยตัวเองเช่นนี้ อีกทั้งท่านแม่หรือนางก็ไม่อาจพบได้ เรื่องบางเรื่องก็ไม่อาจรู้ คนบางคนก็ไม่อาจพบได้ เรื่องนี้นางเองก็เข้าใจได้เป็นอย่างดี
หลังจากที่คุณหนูสามของจวนคล้อยหลังไปแล้ว สององครักษ์จึงได้พากันมองตามไปอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะพากันเริ่มบทสนทนาขึ้น
“นั่นน่ะหรือคุณหนูสามสกุลหลี่”
“เมื่อครู่พ่อบ้านที่จวนแห่งนี้เป็นผู้เอ่ยออกมาเองย่อมไม่ผิดแน่”
“เจ้าว่าจะเป็นคนเดียวกันหรือไม่”
“ข้าเองก็ไม่แน่ใจ”
หลี่เยว่เล่อถูกท่านแม่ของตนไล่ให้กลับเรือน หลังจากที่นางปักหลักคุยเล่นที่เรือนของมารดาอยู่เป็นนาน แท้จริงแล้วนางตั้งใจจะรั้งอยู่เป็นเพื่อนท่านแม่ให้ถึงครึ่งวันด้วยซ้ำแต่กลับถูกไล่ออกมากก่อนเวลาเสียนี่ แค่เพียงนางทำเสียงดังนิดหน่อยรบกวนท่านแม่อ่านหนังสือเพียงเท่านั้นก็ถูกปิดประตูไล่ในทันที
“อาหวนสวนดอกไม้เล็กๆ ท้ายจวนเรายามนี้เป็นอย่างไรแล้ว”
“ดอกไม้ที่คุณหนูชอบน่าจะออกดอกแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูจะแวะไปดูเสียหน่อยหรือไม่เจ้าคะ”
“วันนี้ท่านแม่ไม่สนใจข้า ท่านพ่อเองก็มีแขกมาเยือน ข้าเองก็ไม่อยากรีบกลับเรือนแวะไปดูเสียหน่อยก็แล้วกัน”
“เช่นนั้นคุณหนูอยากจะได้ของว่างด้วยหรือไม่เจ้าคะ บ่าวจะได้รีบไปนำมาให้ท่าน”
“จิบชาชมดอกไม้ก็น่าจะไม่เลวทีเดียว เจ้าไปนำมาเถอะ ใช่แล้วข้านึกขึ้นมาได้เมื่อวานมิใช่พวกเราได้ขนมติดมือกลับมาด้วยมิใช่หรือ เจ้าก็จัดใส่จานแบ่งไปให้ท่านแม่ข้าด้วยก็แล้วกัน”
“บ่าวทราบแล้วเจ้าค่ะ คุณหนูล่วงหน้าไปก่อนนะเจ้าค่ะ บ่าวจะเร่งจัดแจงที่คุณหนูสั่งแล้วรีบตามไปเจ้าค่ะ”
สวนเล็กท้ายจวนเพราะอยู่ท้ายจวนแต่เดิมจึงไม่ค่อยได้รับการ ดูแลเท่าใดนัก หนึ่งเพราะอยู่ไกลมิใช่สวนใหญ่หรือสวนหลักที่เอาไว้เป็น หน้าเป็นตาหรือเอาไว้รับแขกของจวน
นางเองหากมิใช่วันหนึ่งเมื่อหลายเดือนก่อนนึกอยากเดินเล่น เรื่อยๆ จนมาเจอสวนเล็กๆ แห่งนี้บัดนี้ที่นี่คงเป็นเหมือนก่อนที่แม้ต้นไม้ จะยังดูร่มรื่นไม่ได้ดูเป็นสวนรกร้างอันใดแต่ก็คงไม่มีดอกไม้ที่ออกดอก เลยแม้สักดอกเดียวเพราะไม่ได้รับการดูแลอย่างดีเท่ากับพื้นที่อื่นๆ
ต่างจากตอนนี้ที่พอเดินเข้ามาใกล้ก็จะได้กลิ่นหอมของดอกไม้ที่ นางชอบลอยอยู่ในบรรยากาศรอบๆ
แปลงดอกโบตั๋นสองแปลงเล็กปลูกเรียงขนานกันเอาไว้เป็นแถว ตรงกลางเว้นเป็นทางเดินทอดยาวบนพื้นหญ้าสีเขียวปลายทางเป็นศาลาไม้ขนาดกลางตั้งอยู่ ทิศทัศน์ ณ สวนเล็กท้ายจวนแห่งนี้ดูไม่ธรรมดาอีก ต่อไป ที่นี่ดูร่มรื่นชุ่มชื่นและเต็มไปด้วยความสดใส
หลี่เยว่เล่อตัดสินใจในทันทีว่าต่อจากนี้ สวนเล็กท้ายจวนจะเป็น สถานที่ผ่อนคลายของนาง
“ศาลานั่นติดม่านกั้นกับกระดิ่งลมเสียหน่อยก็เป็นอันใช้ได้ แล้ว” หญิงสาวเอ่ยขึ้นตามสิ่งที่คิด ก่อนจะหันไปจดจ่อชื่นชมความงามของดอกโบตั๋นสีหวานที่อยู่เบื้องหน้าของนางอย่างตั้งใจ
เจ้าของร่างบางก้มลงไปเพื่อชื่นชมกลิ่นหอมของดอกโบตั๋นดอกใหญ่อย่างพอใจเป็นอย่างยิ่ง ต่อมานิ้วเรียวงามจึงได้ไล่สัมผัสอย่างแผ่ว เบาที่กลีบสีสวยของราชาแห่งบุปผาอย่างระมัดระวังไม่ต่างจากกำลัง สัมผัสสิ่งของล้ำค่า
“ช่วงเวลาของดอกไม้ที่เบ่งบานได้งามที่สุด คงเป็นตอนที่เบ่ง บานอยู่บนต้นของมันเอง” นางเอ่ยออกมาเมื่อดื่มด่ำได้ถึงความงามที่ แท้จริงของดอกไม้งามเหล่านี้
“คุณหนูสามแห่งสกุลหลี่ช่างเป็นผู้ที่มีอารมณ์สุนทรีย์ยิ่ง”
ท่ามกลางความหลงใหลในมวลบุปผาของนางจู่ๆ ก็มีเสียงบุรุษ ดังขึ้น น้ำเสียงนั้นทุ่มต่ำและมีความหนักแน่นแฝงอยู่อีกทั้งยังเหมือนน้ำเสียงที่นางเคยได้ยินมาก่อนแต่ก็ไม่ชัดว่าเคยได้ยินมาจากที่ไหน เมื่อไหร่
ยามหญิงสาวหันไปมองตามที่ทิศทางเสียงที่เอ่ยออกมาเมื่อครู่ก็ พบเข้ากับบุรุษผู้หนึ่งอีกทั้งคนผู้นี้ยังหน้าตาหล่อเหลาอย่างไม่ธรรมดา ท่าทางของเขารวมไปถึงอาภรณ์สีน้ำเงินเข้มที่สวมอยู่บนตัวเขานั้นก็ เช่นกันแม้จะดูเหมือนเรียบง่ายแต่กับประณีตเนื้อผ้าก็ดูไม่ธรรมดา เพียงประเมินดูด้วยสายตาก็รับรู้ได้ถึงราคาที่ต้องไม่เบาอย่างแน่นอน
สายตาที่บุรุษผู้นี้ใช้ทอดมองมายังนางที่ยามนี้ยืนห่างจากเขา เพียงไม่กี่ก้าวนั้นไม่อาจคาดเดาความคิดได้เลย
