ตอนที่ 4 นางไม่ยินยอม
จ้าวฟางฉีกลับออกจากจวนตระกูลจ้าวมา ด้วยท่าทางตื่นเต้น เขากำลังกลับไปรับจ้าวฟางเซียนที่ร้านจ้าวเจา ยามนี้นางคงจะตรวจสอบบัญชีของที่ร้านเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาอยากจะเล่าเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น ก่อนที่เขาจะออกจากเรือนมาให้น้องสาวได้ฟัง ที่มีคนกล่าวว่า เกลียดสิ่งใดมักจะได้สิ่งนั้นคงจะเป็นเรื่องจริง เพราะยามนี้พี่หญิงใหญ่ของพวกเขา กำลังเผชิญกับด่านเคราะห์กรรมที่ว่านั้นเสียแล้ว
“พี่ชายรอง… ท่านเพิ่งกลับจวนไปได้แค่หนึ่งชั่วยาม เหตุใดถึงรีบกลับมานักเล่าเจ้าคะ” จ้าวฟางเซียนแสดงท่าทีประหลาดใจยามที่เห็นพี่ชายของตนกลับเข้ามาในร้าน
“ก็ที่เรือนฟางเฟยของพวกเราน่ะสิ ยามนี้แทบจะลุกเป็นไฟอยู่แล้วฮ่าๆๆๆ” จ้าวฟางฉีบอกน้องสาวพลางหัวเราะออกมา ยามที่นึกถึงใบหน้าของพี่หญิงใหญ่
จ้าวฟางเซียนรู้ดีว่าที่จวนเกิดเหตุการณ์อันใดขึ้น ก็คงจะหนีไม่พ้นเรื่องที่จ้าวฟางหรู พี่หญิงใหญ่ของนางปฏิเสธการแต่งงานกับตระกูลเซี่ยเป็นแน่ นางแสร้งถามพี่ชายออกมาราวกับว่า ตนยังไม่รับรู้ถึงเรื่องราว
“ไฟไหม้เรือนของพวกเราจริงหรือเจ้าคะ”
“ฮ่าๆๆ น้องหญิงรอง ถ้าหากไฟไหมเรือนจริง เจ้าคิดว่าพี่ยังจะมีอารมณ์มานั่งหัวเราะอยู่ต่อหน้าเจ้าได้อีกหรือ" จ้าวฟางฉียกมือขึ้นมาวางลงบนศีรษะของน้องสาว ก่อนที่เขาจะโยกไปมาอย่างเอ็นดู แล้วจึงกล่าวออกมา
“พี่หญิงใหญ่ของพวกเราต่างหาก ร้องไห้ฟูมฟายจนเรือนฟางเฟยแทบจะลุกเป็นไฟ”
“เพราะเหตุใดพี่หญิงใหญ่ถึงต้องร้องไห้ฟูมฟายกันเล่าเจ้าคะ ก่อนจะกลับจวนนางยังแวะมาหาข้าด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มอยู่เลย”
“ก็เพราะจดหมายที่พี่นำไปมอบให้ท่านปู่น่ะสิ”
“แล้วเกี่ยวอันใดกับจดหมายด้วยล่ะเจ้าคะ” จ้าวฟางเซียนแสร้งทำเป็นไม่รู้ถามพี่ชายรองออกมา
“เป็นจดหมายทวงสัญญาจากท่านผู้เฒ่าตระกูลเซี่ย เขาบอกว่าอยากจะให้หลานชายของเขากับหลานสาวของท่านปู่ได้หมั้นหมายกัน”
เป็นไปตามที่จ้าวฟางเซียนได้ประสบพบเจอในชีวิตก่อน พี่หญิงใหญ่ของนางก็อาละวาดจนเรือนแทบแตกเช่นนี้ ร้องไห้จนนัยน์ตาแดงก่ำ เปลือกตาบวมจนออกจากจวนไม่ได้อีกหลายวัน แต่ถึงจะเป็นเช่นนั้น ท่านพ่อท่านแม่ของนาง ก็หาได้เปลี่ยนใจ ที่จะให้พี่หญิงใหญ่หมั้นหมายกับคุณชายใหญ่สกุลเซี่ยไม่
“ยามนี้เขาเป็นรองแม่ทัพอยู่ทิศใต้ กับท่านแม่ทัพใหญ่เซี่ยใช่หรือไม่” คำถามที่จ้าวฟางเซียนเอ่ยถามพี่ชายออกมา ทำให้จ้าวฟางฉีนึกประหลาดใจ จึงถามนางกลับด้วยความสงสัย
“เจ้ารู้ได้เช่นไร ว่าคุณชายใหญ่สกุลเซี่ยยามนี้ทำหน้าที่เป็นรองแม่ทัพอยู่กับท่านพ่อของเขา”
“ขะ…ข้าเคยได้ยินมาน่ะเจ้าค่ะ ท่านพี่ก็รู้ว่าที่ร้านเรา มักจะมีพวกพ่อค้าจากต่างเมือง แวะเวียนมาซื้อขายกับร้านของเรามากมาย” จ้าวฟางเซียนแก้ตัว จะให้นางบอกพี่ชายได้เช่นไร ว่านางรู้เพราะนางเคยใช้ชีวิตมาหนหนึ่งแล้ว จ้าวฟางฉีพยักหน้าขึ้นลง
“แล้วนี่ยังไม่เสร็จอีกรึ พี่อยากรู้ว่าพี่หญิงใหญ่จะตัดสินใจเช่นไร”
จะตัดสินใจเช่นไรเล่า ก็รีบมองหาชายหนุ่มที่ถูกใจ แล้วแต่งออกไปก่อนที่จะหมั้นหมายกับตระกูลเซี่ยน่ะสิ จ้าวฟางเซียนได้แต่คิดในใจ ไม่กล้าบอกสิ่งที่นางรู้ให้พี่ชายได้ฟัง
“อีกสองเล่มก็เสร็จแล้วเจ้าค่ะ หากพี่รองรู้สึกเบื่อ…ก็ออกไปเดินเล่นก่อนก็ได้นะเจ้าคะ อีกครึ่งชั่วยามค่อยกลับมาอีกครา” จ้าวฟางเซียนบอกพี่ชายที่เริ่มทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
“อืม…ถ้าเช่นนั้นพี่ขอตัวไปหาสหายที่หัวมุมตลาดก่อน แล้วอีกครึ่งชั่วยามค่อยกลับมารับเจ้าก็แล้วกัน”
จ้าวฟางเซียนพยักหน้า คุณชายรองจึงเดินออกจากร้านจ้าวจางไป ใบหน้าที่หล่อเหลาและรูปร่างที่สง่างาม ของคุณชายรองสกุลจ้าวเรียกสายตาของสตรีทั้งหลายให้มองมายังเขาได้อยู่ไม่น้อย แต่ทว่าชายหนุ่มกลับไม่คิดชายตามองสตรีใดเลย
จ้าวฟางเซียนรู้ดี ว่าคู่ครองของพี่ชายรอง นั้นเป็นสตรีที่มีรูปโฉมงดงาม และมีชาติกำเนิดที่เพียบพร้อมเพียงใด แม้อุปสรรคระหว่างทางจะมีบ้าง แต่ทว่าทั้งสองก็ครองรักกันอย่างมีความสุข ต่างจากชีวิตคู่ของนางในชีวิตก่อน ที่มีบทสรุปอันแสนเศร้า นางเลิกสนใจพี่ชายแล้วกลับไปสนใจสมุดบัญชีตรงหน้าของตนต่อ
หลังจากครบกำหนดครึ่งชั่วยามแล้ว จ้าวฟางฉีจึงกลับมาหาผู้เป็นน้องสาว ซึ่งจ้าวฟางเซียนก็ได้เตรียมตัวเพื่อรอกลับจวนพร้อมกับพี่ชายอยู่ก่อนแล้ว สองพี่น้องเดินไปขึ้นรถม้าของจวนตระกูลจ้าว ที่จอดหลบมุมอยู่ข้างโรงเตี๊ยมอวี๋จ้ง ยามนี้ท้องฟ้าเริ่มมืดครึ้มแล้ว ผู้คนที่เดินทางมาซื้อของที่ตลาด หรือแม้แต่พ่อค้าแม่ค้า ต่างก็พากันแยกย้ายกลับเรือนของตน
บรรยากาศตั้งแต่หน้าประตูจวนตระกูลจ้าว ยามนี้ดูเงียบเชียบจนผิดปกติ สองพี่น้องเดินกลับเข้าไปภายในเรือนฟางเฟยด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง จ้าวฟางเซียนนั้นกำลังรู้สึกตื่นเต้นยินดี เพราะถึงอย่างไรแล้ว พี่สาวของนางก็ไม่มีวันที่จะยินยอมออกเรือนไปกับเซี่ยเฟยหลงเป็นแน่ เพราะหลังจากวันนี้ไปไม่ถึงสามเดือน พี่สาวของนางก็จะชิงออกเรือนไปกับบัณฑิตทั่นฮวาผู้นั้น
ในขณะที่จ้าวฟางเซียนกำลังรู้สึกตื่นเต้นยินดีอยู่ภายในใจ จ้าวฟางฉีกลับคิดต่าง เขารู้สึกขำขันในโชคชะตาของพี่สาว ที่ปากบอกว่าถึงอย่างไรก็จะไม่มีวันแต่ง กับบุรุษที่อยู่ในตระกูลขุนนางฝ่ายบู๊เด็ดขาด ยิ่งตระกูลแม่ทัพนางยิ่งอยากหนีให้ไกล ผู้ใดจะคิดว่าท้ายที่สุดแล้ว นางก็หนีชะตาที่ต้องออกเรือนไปกับตระกูลแม่ทัพไม่พ้น
“ท่านพ่อท่านแม่ พวกท่านเลิกบีบบังคับฝืนใจลูกเถิดเจ้าค่ะ หากให้ลูกออกเรือนไปกับตระกูลแม่ทัพ ลูกขอยอมตายยามนี้เลยเสียยังดีกว่า” จ้าวฟางหรูตัดสินใจกล่าวออกมาอย่างเด็ดเดี่ยว
จ้าวหวังเหล่ยนัยน์ตาฉายแววแห่งความเกรี้ยวโกรธ เขาปาถ้วยชาในมือทิ้งไปอีกหน นับตั้งแต่พูดคุยกับบุตรสาวมา นี่ก็นับว่าเป็นถ้วยชาใบที่สามแล้ว หวงฟางหรงรีบห้ามปรามสามีให้ใจเย็น ก่อนที่นางจะหันไปบอกบุตรสาวด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“แม่รู้…แต่นี่เป็นเรื่องของบุญคุณในอดีต หากไม่มีท่านผู้เฒ่าสกุลเซี่ย ท่านปู่ของเจ้าก็คงจะไม่มีชีวิตรอด จนได้มีท่านพ่อของเจ้า แล้วเรื่องที่ท่านผู้เฒ่าสกุลเซี่ยร้องขอมา พวกเราที่เป็นหนี้ชีวิตของสกุลเซี่ยอยู่ จะกล้าปฏิเสธพวกเขาได้อย่างไร” จ้าวฟางเซียนและจ้าวฟางฉีก้าวเข้ามาภายในเรือน ก็ได้ยินประโยคที่มารดาเพิ่งบอกพี่หญิงใหญ่เข้าพอดี
จ้าวฟางหรูมองมารดาผ่านม่านน้ำตา ประโยคที่มารดากล่าวออกมานั้น ทำให้จ้าวฟางหรูไม่อาจกลั้นน้ำตาได้อีกต่อไป นางสะอื้นไห้ออกมาอย่างไม่ยินยอม เพราะว่าเกิดมาเป็นบุตรีคนโต จึงทำให้นางต้องแบกรับภาระหน้าที่ในเรื่องนี้เช่นนั้นหรือ ผิดที่นางไม่ยอมแต่งออกเรือนไปตั้งแต่แรก และปล่อยให้เวลาล่วงเลยมานานถึงเพียงนี้ จนเปิดโอกาสให้ตระกูลเซี่ยทวงถามสัญญาเสียได้ เรื่องนี้เป็นนางที่ผิดเอง