ตอนที่ 15 หมดแรงอ่อนล้า
พริมากลับถึงคอนโดมิเนียมอย่างหมดแรง เธอเปิดไฟในห้องแล้วเข้าไปหยิบน้ำเย็นขึ้นมาดื่ม ความเย็นของน้ำช่วยเรียกความสดชื่นให้ร่างกายเล็กน้อย หลังเก็บขวดน้ำเข้าตู้เย็นเช่นเดิม ก็เดินไปทิ้งตัวลงนอนที่โซฟาห้องนั่งเล่นรอรพีพัฒน์กลับมา
“หากแม่ยังอยู่มันคงดีกว่านี้”
พอได้อยู่เงียบ ๆ คนเดียวก็เริ่มฟุ้งซ่าน ยิ่งวันนี้ใช้พลังงานไปเยอะด้วยแล้ว อารมณ์ของเธอตอนนี้มันไม่ปกติอย่างมาก พริมาคิดถึงอดีตที่ผ่านมาของตัวเอง ตอนที่ยังเป็นเด็ก
พริมาอาศัยอยู่กับมารดาในอพาร์ทเมนต์ขนาดกลางเพียงสองคนเท่านั้น เธอไม่รู้ว่าพ่อตัวเองคือใคร เพราะทุกครั้งที่ตั้งคำถาม นอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้ว ยังแอบเห็นมารดาหลบไปร้องไห้เงียบ ๆ สุดท้ายด้วยความไม่อยากเห็นคนที่รักทุกข์ใจ เธอจึงไม่ถามและไม่สนใจเรื่องของบิดาอีก ขอแค่ทุก ๆ วันมีมารดาอยู่เคียงข้าง เธอก็มีความสุขที่สุดแล้ว
กระทั่งพริมาอายุ 10 ขวบ มารดาที่ไม่เคยคิดบอกเล่าเรื่องราวของบิดา ก็กล่าวต่อเธอทั้งหมด ว่าเขาเป็นใคร ชื่ออะไร คราแรกที่รับรู้ว่าตนเองมีบิดาเหมือนคนอื่นเขาเธอรู้สึกดีใจอย่างมาก รวมทั้งสงสัย ว่าบิดาที่ไม่เคยเห็นหน้าจะรักเธอไหม จะดีต่อเธอเหมือนมารดาหรือเปล่า เด็กหญิงเริ่มวาดฝันชีวิตครอบครัวอีกครั้ง ครอบครัวที่จะได้อยู่กันพร้อมหน้า 3 คนพ่อแม่ลูก แต่แล้วความฝันของเธอก็พังทลายเมื่อรู้ว่า คนที่เธอนึกฝันถึงและคาดหวังไว้ มีครอบครัวแล้ว ทั้งยังมีลูกสาวที่อายุมากกว่าเธอถึง 2 ปี
ความรู้สึกในตอนนั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเธอไม่โกรธ เธอโกรธ เธอน้อยใจ ไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงไม่อยู่กับพวกเธอสองแม่ลูก แต่อยู่กับใครอีกคนที่โชว์หราบนหน้าหนังสือพิมพ์ ก่อนจะกลายเป็นความเสียใจเมื่อได้รู้ความจริงจากปากมารดาว่า เขามีครอบครัวอยู่แล้ว และแม่ของเธอเป็นผู้มาทีหลัง เพิ่งรู้ว่าตนเองมีพ่อได้ไม่นานคำว่าลูกเมียน้อยก็ตีตราอยู่บนหน้าผาก มันจุกไปหมด และยิ่งเห็นความรักความสมบูรณ์ของครอบครัวเลิศลักษณ์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งรู้สึกโกรธมากเท่านั้น แต่เธอผ่านความรู้สึกนั้นมาได้เพราะแม่ แม่ที่อยู่เคียงข้างเธอ รักเธอแม้ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
เธอจึงเลือกไม่สนใจบิดาที่ไม่เคยเจอหน้าคนนั้นอีก ตั้งใจว่าจะใช้ชีวิตให้มีความสุขสองคนกับแม่ แต่แล้วข่าวร้ายก็มาเยือน เมื่อมารดาล้มป่วยเข้าโรงพยาบาล
แม่ของเธอเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย และจะมีชีวิตอยู่ได้อีกแค่หนึ่งเดือน!
พริมาไม่รู้ว่ามารดาติดต่อกับบิดาของเธอตั้งแต่เมื่อไหร่ ขณะนั่งเฝ้าแม่อยู่ในโรงพยาบาล เขาก็เดินเข้ามา และนั่นเป็นวันแรกที่สองพ่อลูกได้เผชิญหน้ากัน ตั้งใจจะพูดอะไรสักประโยคสองประโยค มารดาก็ไล่ให้ออกไปรอนอกห้อง เธอจำใจทำตามอย่างไม่พอใจนัก และไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง หลังจากที่ผู้ชายคนนั้นกลับไป มารดาของเธอก็นอนร้องไห้อย่างหนัก เด็กหญิงพริมาจึงเริ่มตั้งกำแพงระหว่างตัวเองกับบิดาตั้งแต่วันนั้น แม้ว่าเธอต้องเข้าไปอยู่ภายในบ้านของเขาตามคำสั่งเสียของมารดา ความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกก็ไม่เคยดีขึ้น มีแต่ตั้งแง่ปั้นปึ่งใส่กัน และยิ่งหนักขึ้นเมื่อเด็กหญิงได้สูญเสียคนเป็นมารดาไปตลอดกาล
ในวันที่เธอเสียใจที่สุด เป็นวันที่เธอต้องการเขามากที่สุด เขาอยู่ที่ไหน? คนที่เป็นหลักพักพิงเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจที่พึ่งสุดท้ายของเธอเขาหายไปไหน ทำไมไม่มา?
บิดาควรทำหน้าที่ปลอบโยนหรือเปล่า?
พริมาไม่เคยได้สัมผัสความรู้สึกนั้นเลย ทั้งอ้อมกอดที่อบอุ่น ทั้งคำปลอบโยน ไม่มีเลยสักครั้งเดียว... แม้กระทั่งงานศพวันสุดท้ายของมารดา เธอยังไม่เห็นเงาของเขามาร่วมงานเลยสักนิด เห็นเพียงผู้ช่วยส่วนตัวของเขาคอยจัดการงานทุกอย่างให้ ส่วนตัวเขากลับอยู่ที่ต่างประเทศ
ถามหน่อยว่าเด็กอายุ 10 ขวบควรรู้สึกเช่นไร?
ในวันที่เราต้องการใครสักคนอยู่เคียงข้าง แต่กลับไม่มี หันมองไปทางไหนก็มีแต่ความอ้างว้าง โดดเดี่ยว... ถึงจะเป็นเด็กรู้ความ แต่เธอก็ร้องไห้เสียใจเป็นนะ! เป็นแบบนี้ยังคิดว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกจะยังดีอยู่อีกหรือ?
ถ้าวันนั้นเขาโทรมาพูดปลอบโยนเธอสักคำ มันคงจะไม่แย่เช่นทุกวันนี้