7
อาการค่อนข้างหนัก
“ใครตาย”
“ยายส้มจี๊ดท้องเสียเข้าโรงพยาบาล ตอนนี้อาการหนักมากค่ะ”
“ท้องเสียแล้วเกี่ยวอะไรกับ.... อย่าบอกนะว่า” กายสิทธิ์มองหน้าเมียเด็กแล้วตกใจ
“น้ำหวานแก้วนั้นเบอร์รีใส่ยาถ่ายเยอะไปหน่อยค่ะ” เธอทำหน้าแหย ๆ
กายสิทธิ์นิ่งเงียบ เงียบเสียจนบัณฑิตาต้องเอ่ยเรียก
“พี่กายคะ”
“ว่าไง”
“พี่กายจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอคะ”
“แล้วจะให้พูดอะไร”
“พี่กายไม่เป็นห่วงส้มจี๊ดเหรอคะ”
“เป็นห่วงตามประสาครูกับลูกศิษย์”
“แล้วพี่กายไม่คิดจะไปเยี่ยมส้มจี๊ดเหรอคะ”
“ไปทำไม” คำถามเฉยชาของเขาทำให้เธอมองเขาเหมือนจะค้นหาความจริงบางอย่าง
“ก็ไปเยี่ยมไงคะ ถ้าเกิดส้มจี๊ดตายขึ้นมาจะทำยังไง”
“ก็โทร. ไปถามสิว่าเป็นยังไงบ้าง จะไปทำไม หรือเธออยากไปสารภาพว่าเป็นคนวางยาถ่าย”
“ไม่ค่ะ” เธอส่ายหน้าดิก
“รอดูสถานการณ์ก่อน ถึงเราไปตอนนี้ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอก เราไม่ใช่หมอ เขาถึงมือหมอแล้ว ก็ให้หมอช่วยชีวิตให้เต็มที่ก็แล้วกัน”
“พี่กาย”
“ว่าไง”
“เพื่อน ๆ ส่งข้อความมาบอกว่าส้มจี๊ดปลอดภัยแล้วค่ะ”
“ทีหลังทำอะไรให้คิดให้ดีเสียก่อน ถ้าเกิดส้มจี๊ดตายขึ้นมา เธอต้องรับผิดชอบ”
“อ้าว... เมื่อกี้พี่กายยังขอบใจเบอร์รีอยู่เลย”
“พี่ไปนอนกลางวันก่อนนะ” เธอหน้าเหวอเมื่อเขาเปลี่ยนเรื่องกะทันหัน
“คะ” บัณฑิตาอุทานออกมาพลางทำหน้างง เขาคิดจะไปก็ไปเลยเหรอ
เพื่อน ๆ ส่งข้อความมาชวนเธอไปเยี่ยมสารภี เธอคิดอยู่ครู่ใหญ่ก่อนจะตอบตกลง ไปเยี่ยมเสียหน่อยแล้วกัน ถือว่าเป็นการแสดงน้ำใจ เพราะอย่างไรสารภีก็ไม่รู้หรอกว่าเธอนี่แหละเป็นคนแกล้ง
บัณฑิตาแปะโพสต์อิทเอาไว้ที่หน้าตู้เย็นว่าจะไปเยี่ยมเพื่อน ก่อนที่จะออกไปเยี่ยมสารภีที่โรงพยาบาลกับปณิตาเพื่อนสนิทของเธอ
ปันปันหรือปณิตาขับมอเตอร์ไซค์มารับเธอตรงหน้าบ้าน
จริง ๆ บ้านของบัณฑิตานั้นใกล้กับกายสิทธิ์ เรื่องนี้ปณิตารู้ดี แต่ที่ไม่รู้คือเพื่อนของเธอไม่ได้อยู่บ้านของตัวเองแล้ว แต่อยู่บ้านของกายสิทธิ์แทน แต่บัณฑิตาก็ยังมายืนรอเพื่อนหน้าบ้านหลังเก่าของตัวเอง
“แกนี่เก่งจังเลยว่ะ อยู่คนเดียวได้” ปณิตารู้ว่าพี่ชายของเพื่อนเสียชีวิตแล้ว จึงเอ่ยทักขึ้น
“อืม...” บัณฑิตาเออออห่อหมก ถ้าเพื่อนรู้ว่าเธออยู่บ้านหลังเดียวกับกายสิทธิ์เป็นเรื่องแน่ ๆ
ก่อนจบมัธยม’หก เธอต้องปิดเรื่องนี้เป็นความลับ พอขึ้นมหาวิทยาลัยเมื่อไหร่เธอก็ได้เป็นไทแล้ว เพราะถ้าหากว่าสอบเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่อื่นได้ ไม่ใช่อยู่ในจังหวัดนี้แล้ว เธอก็ไม่ต้องสนใจอีกว่าใครจะรู้หรือไม่รู้
“เอาไว้ถ้าแกเหงาหรืออยากให้ฉันมาอยู่เป็นเพื่อน ฉันมานอนเป็นเพื่อนแกได้นะ”
“เฮ้ย! ไม่ต้อง” บัณฑิตาที่เดินเข้าไปในโรงพยาบาลกับเพื่อนรีบหยุดกึก พลางส่ายหน้าไปมาด้วยท่าทีตกใจ
“แกเป็นอะไรของแกวะไอ้เบอร์รี ทำหน้าแตกตื่นยังกับกลัวอะไร” ปณิตาเอ่ยถามอย่างสงสัย
“เปล๊า ฉันก็แค่ไม่อยากรบกวนแกไง บ้านของแกเข้มงวดจะตายไป ไม่อยากให้ไปนอนค้างอ้างแรมที่ไหนไม่ใช่เหรอ”
“ถ้าเป็นแกไม่เป็นไรหรอก ครอบครัวของฉันรู้จักแกดี”
“ไม่เป็นไร ฉันเกรงใจ”
“แกคงอยากอยู่คนเดียว อิสระเนอะ ฉันนี่อยู่กับครอบครัวอึดอัดชะมัด เข้มงวดจนน่าอึดอัด นี่จะมาเยี่ยมยายส้มจี๊ดต้องโทร. เช็กกับเพื่อนคนอื่นว่ายายส้มจี๊ดเข้าโรงพยาบาลจริงไหม”
“นั่นไง พวกท่านไม่อยากให้แกไปนอนที่ไหนหรอก แกไม่ต้องมานอนเป็นเพื่อนฉันหรอก ฉันเกรงใจ”
“ไม่นอนก็ไม่นอน แต่ถ้าแกเหงาอยากให้ฉันมานอนด้วยก็บอกได้นะ ฉันเบื่อไม่อยากอยู่บ้าน”
“แกมีพ่อแม่ก็ดีแล้ว ฉันสิไม่มีใคร ถึงท่านจะบ่นท่านก็รักแก เชื่อฉันสิ”
สองสาวเดินมาหยุดยืนหน้าห้องของสารภี พอเข้าไปถึงก็เห็นว่าเพื่อนนอนปากซีดอยู่บนเตียงสีขาวสะอาดตา มีบิดามารดาคอยดูแลอยู่ไม่ห่าง
บ้านของสารภีค่อนข้างมีฐานะ อีกฝ่ายจึงค่อนข้างเหยียดคนที่ฐานะด้อยกว่าตน
“สวัสดีค่ะคุณพ่อคุณแม่” ปณิตากับบัณฑิตายกมือไหว้บิดามารดาของสารภี
“ไหว้พระเถอะจ้ะ เพื่อนมาเยี่ยมแบบนี้ เราคงอยากคุยกับเพื่อน เดี๋ยวพ่อกับแม่จะลงไปซื้อของนะจ๊ะ คุยกันตามสบายเลย” มารดาของสารภีเป็นคนพูดขึ้น
“หนูอยากกินอะไรอร่อยๆ จังเลยค่ะ ซื้อมาให้หนูด้วยนะคะ” สารภีอ้อนมารดา
“ลูกยังกินอะไรไม่ได้ กินได้แค่อาหารอ่อน ๆ เอาไว้หายดีพ่อกับแม่จะพาไปกินของอร่อย ๆ นะจ๊ะ”
“ค่ะ” สารภีรับคำอย่างเบื่อหน่าย พอบิดามารดาออกไปจากห้องแล้ว เธอก็หันไปคุยกับเพื่อนร่วมชั้นทั้งสองอย่างตื่นเต้น
“แกอาการหนักจนถึงกับต้องเข้าโรงพยาบาลเลยเหรอ” ปณิตาเอ่ยถาม
“ก็หนักอยู่นะ แกรู้เรื่องบ้านครูกายไฟไหม้หรือยัง”
“บ้านครูกายไฟไหม้ ไม่เห็นไหม้นะ ฉันไปรับยายเบอร์รีก็ไม่เห็นไหม้”
“อ้าวจริงเหรอ” เพื่อน ๆ หลายคนพอจะรู้ว่าบัณฑิตาอยู่บ้านใกล้กับกายสิทธิ์ แต่หลายคนก็ไม่ได้สนใจเพราะกายสิทธิ์ไม่ชอบให้ใครเข้าไปยุ่มย่ามหรือก้าวก่ายที่บ้านของตน
“จริงสิ”
“แต่ตอนฉันออกมาจากบ้าน ไฟไหม้บ้านครูกายนะ”
“แกไปบ้านครูกายเหรอยายส้มจี๊ด” ปณิตาเอ่ยถามอย่างสงสัย เพราะปกติกายสิทธิ์ไม่อนุญาตให้ลูกศิษย์ไปที่บ้านหากไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายจริง ๆ
“ใช่น่ะสิ เพราะฉันเป็นคนพิเศษยังไงล่ะ” ประโยคของสารภีทำให้บัณฑิตากลอกตาไปมา
แหม... นังส้มจี๊ด ถ้าไม่เพราะเธอแอบแทรกตัวเข้ามาในบ้าน ทั้ง ๆ ที่กายสิทธิ์ไม่ได้อนุญาต ก็คงไม่ได้เข้าไปเหยียบในบ้านของเขาหรอก
ฉันนี่เหยียบทุกวัน ยังไม่เคยขี้โม้เหมือนแกเลย ชิ!
“ยังไง ไหนแกเล่าสิ”
“พอไฟไหม้ฉันก็หนีออกมา เจอกับยายฟ้าใส เลยซ้อนท้ายมอเตอร์ไซค์รถยายฟ้าใสจะไปแจ้งตำรวจให้มาช่วยดับไฟ แต่ดันขี้แตกคารถยายฟ้าใส ยายฟ้าใสเลยพาฉันมาส่งโรงพยาบาลแทน”
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า” สองสาวหัวเราะลั่นห้อง
“ขอโทษทีส้มจี๊ด ฉันหยุดหัวเราะไม่ได้จริง ๆ ว่ะ” ปณิตาหัวเราะจนท้องแข็งไปหมด
คนบ้าอะไรไฟไหม้แล้วจะไปแจ้งตำรวจ เขาต้องไปแจ้งดับเพลิง ยายซื่อบื้อเอ๊ย! บัณฑิตที่หลุดขำออกมาด่ายายเพื่อนในใจ
“หยุดเดี๋ยวนี้นะ” สารภีตวาดเพื่อนด้วยความโมโห
“เออ ๆ หยุดก็ได้” ปณิตาพยายามกลั้นหัวเราะอย่างสุดฤทธิ์สุดเดช
“ถ้าจะมาหัวเราะออกไปเลย” พอสารภีพูดด้วยความโมโห ประโยคนั้นก็ทำให้คนทั้งสองหยุดหัวเราะกึก