26. ไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเชื่อ
ผู้มาเยือนจากไปแล้ว นายบ่าวจึงหารือกัน
“ฮูหยินเป็นเช่นที่คุณชายทั้งสองคาดการณ์เอาไว้เลยนะเจ้าคะ มีคนมาส่งข่าวเรื่องนี้จริง ๆ” แม่นมกุ้ยเอ่ยกับผู้เป็นนาย ยามนี้ก็ยังคงนั่งนิ่งเพราะกำลังครุ่นคิด
“ข้าไม่รู้ว่าต้องเชื่อใครกันแน่” เอ่ยออกมาเสียงเหนื่อย ก่อนจะถอนหายใจยาว เพราะสิ่งที่ชินหลิงเอ่ยมันก็มีมูล
บุตรชายนั้นเปลี่ยนไปมากจริง ๆ แม้แต่คราแรกที่เห็นนางก็ยังคิดว่าเฟิงซีถูกมนต์ดำเช่นที่ชินหลิงเอ่ย เขาไม่เคยเสียงแข็งใส่นางเลยสักครั้ง ทว่าท่าทีที่เปลี่ยนไป ก็ยังมีเรื่องราวดีดีให้เห็น นั่นคือบุตรชายยิ้มง่ายกว่าแต่ก่อน พูดจามากขึ้น รู้จักออดอ้อนตนจนน่าเอ็นดู
“แต่ข้าน้อยว่าท่านแม่ทัพเป็นคนมีสติดี คงไม่ถูกหลอกง่าย ๆ เป็นแน่ อีกอย่างคุณชายสามก็รับรองเช่นกัน รอยแผลที่ท้องก็น่าจะมาจากอาวุธชนิดนี้นะเจ้าคะ ไหนจะคำพูดของเหล่าองครักษ์ทั้งแปดอีก พวกเขาต่างก็เป็นคนที่นายหญิงเห็นมาตั้งแต่เด็ก จะถูกสตรีผู้นั้นหลอกเอาจริง ๆ หรือ คำพูดคำจาของนางก็ไม่เห็นจะหวานหู ออกจะโผงผางเสียด้วยซ้ำ แต่ข้าน้อยกลับมองว่าจริงใจมากกว่าคนปากหวานก้นเปรี้ยวนะเจ้าคะ” แม่นมกุ้ยร่ายยาวถึงสิ่งที่ตนเห็น ผู้เป็นนายก็ตั้งใจฟัง ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“แต่ทั้งหมดอาจจะถูกมนต์ดำของนางก็ได้ แม้แต่เจ้า” คนแก่เชื่อยากยังคงเสียงแข็งในเรื่องนี้
“หากเป็นเช่นนั้นจริง เหตุใดนางไม่ทำใส่นายหญิง หล่ะเจ้าคะ น่าจะง่ายกว่าทำใส่ข้าน้อยนะ” แม่นมยังไม่วายเตือนสติผู้เป็นนายให้คิดตาม กู้ฮูหยินนิ่งไปในทันที มันก็จริง หากซือซือร่ายมนต์ดำใส่ตนน่าจะง่ายกว่าทำกับผู้อื่น ทว่านางก็ยังคงแคลงใจกับเรื่องนี้อยู่ดี
“อีกอย่างจางเหวิ่นบอกว่าทั้งคู่อยู่ด้วยกันทุกคืน ไม่ใช่ว่ายามนี้นางตั้งครรภ์ทายาทของสกุลกู้แล้วนะเจ้าคะ” ได้ฟังคำของคนสนิท กู้ฮูหยินก็หันขวับมาหาทันที
“แม่นมกุ้ย” นางไม่อาจเอ่ยสิ่งใดได้ ทำเพียงแค่ยกมือทาบอกตนเอาไว้ เกรงว่าคำพูดของคนสนิทจะเป็นจริงขึ้นมา ถึงยามนั้นสกุลกู้คงจบสิ้นแล้ว ได้สะใภ้ที่มีมารดาอยู่ในหอนางโลม และยังถูกสงสัยว่าเล่นมนต์ดำอีก
“ลูกกับซือซือยังไม่ได้เกินเลยกันจะท้องได้เช่นไร ท่านแม่อย่ากังวลไป นางไม่ได้มีใจอยากเข้าหาลูกตั้งแต่แรก มีแต่ลูกที่ถูกชะตานางจนรั้งเอาไว้ไม่ยอมปล่อย ซือซือเป็นสตรีที่ดีนะขอรับท่านแม่ นางมีชีวิตที่น่าสงสารมากพอแล้ว ท่านแม่อย่าซ้ำเติมนางอีกเลย ท่านเมตตาบ่าวไพร่ในจวนได้ เหตุใดกับสตรีที่กำพร้าและมีบุญคุณต่อบุตรของท่าน ท่านกลับไม่เห็นใจนางบ้าง” เฟิงซีเอ่ยเสียงเครือ เขายืนฟังอยู่ด้านนอกนานแล้ว อยากรู้ว่าสตรีผู้นั้นจะมาเอ่ยอันใด และก็เป็นอย่างที่คาดคิดไม่มีผิด
กู้ฮูหยินมองหน้าบุตรชายที่ยืนอยู่ เสียงถอนหายใจดังขึ้นมาอีกครา ‘ดูท่าเรื่องนี้ข้าต้องคิดใหม่แล้วจริง ๆ สินะ’ นางนึกในใจเมื่อเห็นสีหน้าของเฟิงซี แม้จะเศร้าหม่นอยู่บ้าง ทว่ายังคงความสดใสของคนหนุ่ม ไม่มีลักษณะของคนที่ถูกมนต์ดำครอบงำแม้แต่น้อย
“เอาเถอะ รอให้สืบเรื่องชาติกำเนิดนางได้เสียก่อน ถึงยามนั้นค่อยมาว่ากันอีกที เจ้าเองก็รู้ว่ามีคนจ้องเล่นงานสกุลของเราอยู่ หากฝ่ายนั้นยกเอาเรื่องนี้มาอ้าง ไม่ว่าเจ้าจะเลือกทางใดไทเฮาและฝ่าบาทคงต้องลำบากใจมากเป็นแน่ ถึงยามนั้นต่อให้เจ้ายอมถูกบั่นคอ ก็คงไม่ใช่แค่คอเจ้าเพียงผู้เดียวแล้ว” ผู้เป็นแม่เอ่ยเสียงเรียบเพื่อเตือนสติเขา
หากเฟิงซีคิดจะยกย่องบุตรของสตรีในหอนางโลมเป็นฮูหยินจริง เขาก็ต้องโทษตามจารีตประเพณีของแคว้นอัน สตรีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องเช่นนี้ มีไว้ในเรือนได้เพียงฐานะอุ่นเตียง เรียกง่าย ๆ ก็เอาไว้บำเรอเท่านั้น ไม่อาจยกย่องให้มีฐานะอันใดได้แม้แต่อนุ
“ลูกทราบดีท่านแม่ เรื่องนี้ลูกจะกราบทูลฝ่าบาทและฮองเฮาเอง ขอท่านแม่อย่าได้กังวล” เอ่ยบอกก่อนจะเดินมายืนตรงหน้ามารดา และทำสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อน นั่นคือคุกเข่าลงแล้วกอดขานางอย่างออดอ้อน
“ท่านแม่ เมตตาซือซือเถอะนะขอรับ นางเป็นสตรีที่ดี แม้จะปากกล้าไปบ้าง เพราะเติบโตมาในยุคที่ต่างออกไป ลูกเล่าให้นางฟังว่าท่านแม่มักมีอาการไอจาม มีน้ำมูกในช่วงเช้า นางจึงฝากยานี้มาให้ นางบอกว่าท่านมีอาการของคนเป็นภูมิแพ้ ไม่ก็ในห้องหรือริมหน้าต่างอาจจะมีดอกไม้บางชนิดอยู่ใกล้จนเกินไป ทำให้ท่านมีอาการเช่นนี้” สิ้นคำเขาก็ยื่นกระบอกยาสีขาวให้มารดา
อีกฝ่ายรับมาแล้วก็พลิกดูไม่ต่างจากครั้งที่บุตรชายและคนสนิทเจอเป็นคราแรก พร้อมกับเขย่าด้วยความสงสัย เมื่อได้ยินเสียงก็ถึงกับหน้าตื่น รีบส่งกระปุกยาให้บุตรชายคืนทันที เพราะเสียงเม็ดยากระทบกันดังมาก ซ้ำสิ่งที่บรรจุยังประหลาดนัก จนนางเกรงว่ามันจะอันตราย
“ท่านแม่อย่าได้ตื่นกลัวไปขอรับ แม่นมท่านดูแล้วจำนะ ก่อนนอนจะได้เอาให้ท่านแม่กิน ตื่นมาอาการจะดีขึ้น แต่ถ้ายังมีอาการอยู่ รีบจัดการต้นไม้ที่มีดอกบริเวณรอบห้องเสีย เข้าใจหรือไม่” แม่ทัพหนุ่มออกคำสั่งกับคนเก่าแก่
เขาหมุนเกลียวเปิดกระปุกยาให้ทั้งสองดู เม็ดยาสีขาวขนาดเล็กนับร้อยถูกเทใส่ฝ่ามือใหญ่ ก่อนจะเทกลับเข้าไปอีกครั้ง สีหน้าของทั้งคู่ดูประหลาดใจยิ่งนัก
“เฟิงซี มันคือยาจริงหรือ ไยถึงมีสีขาวสะอาดตาเพียงนี้ มันอาจจะเป็นยาพิษก็ได้นะ” มารดายังคงความกังวลเมื่อเห็นสิ่งที่บุตรชายเทออกมา
“ท่านแม่มันเป็นยารักษาขอรับ ข้าจะกินให้ดู” ว่าพร้อมกับเทยาออกมาหนึ่งเม็ดแล้วยัดใส่ปากทันที โดยที่มารดาไม่ทันได้ห้ามด้วยซ้ำ
“เจ้าเชื่อใจนางเพียงนี้เชียว นางเอ่ยสิ่งใดเจ้าก็เชื่อหมด หากนี่เป็นยาพิษเจ้าจะทำเช่นไร” กู้ฮูหยินยังคงเอ่ยตำหนิเขา เมื่อเห็นบุตรชายไม่ลังเลเลยสักนิด
“ซือซือไม่มีวันทำร้ายลูก และไม่มีวันทำร้ายท่านแม่ หรือคนสกุลกู้ขอรับ ท่านแม่โปรดวางใจ” แม่ทัพหนุ่มยังคงเอ่ยเสียงหนักแน่นกับมารดา ผู้เป็นแม่จึงได้แต่ทอดถอนใจ เพราะบุตรชายก็ยังคงยืนกรานเช่นเดิม
“เอาเถอะ บอกให้นางอยู่แต่ในส่วนของเรือนหลัง อย่าออกมาเพ่นพ่านที่เรือนใหญ่ก็แล้วกัน” ออกคำสั่งเมื่อรู้ว่าทำสิ่งใดไม่ได้แล้ว หากนางยังคงใช้ไม้แข็งกับบุตรชาย คงต้องเสียเขาไปจริง ๆ เป็นแน่
“ขอบคุณท่านแม่ขอรับ” เสียงทุ้มอ่อนเอ่ยก่อนจะซบหน้าลงที่ขาของมารดาอีกรอบ มือเหี่ยวหมายจะยกขึ้นลูบหัว ทว่าหากทำเช่นนั้นก็เท่ากับนางแสดงให้เห็นว่าสิ่งที่เขาทำนั้นได้ผล จึงชักมือกลับแล้วออกปากไล่แทน
“กลับไปเสีย ข้าก็จะไปพักแล้ว” ถ้อยคำหางเหินเปล่งออกมา ก่อนจะดันหัวบุตรชายออก แล้วลุกขึ้นยืน ทว่านางก็ยังคงเหลือบมองผู้ที่คุกเข่าก่อนที่เฟิงซีจะถอยออกเปิดทางให้ และยังย้ำคำกับมารดาอีกรอบ
“อย่าลืมกินยานะขอรับ มันไม่ได้มีพิษร้ายอันใดแน่นอน ลูกเชื่อว่าวันพรุ่งท่านแม่จะไม่มีอาการนั้นเลย” ส่งเสียงตามหลังมารดา ซึ่งก้าวเดินไปไม่หันมามองเขาสักนิด
“ดื้อเหมือนใครกันนะ” พึมพำกับตนเองจบก็ลุกขึ้นเดินออกจากห้องทานอาหาร เพื่อกลับไปหาคนตัวเล็กที่ยามนี้คงกำลังอาบน้ำชำระร่างกายอยู่ เขาพึ่งจัดหาสาวใช้มาคอยดูแลซือซือ ซึ่งนางเป็นคนรักของเจิ้งเทา คนสนิทของน้องชาย สาวใช้ผู้นี้อยู่กับสกุลกู้มานาน และนางก็นิสัยดีอ่อนโยน เชื่อว่าต้องบอกสอนคนน้องให้มีกิริยาดีขึ้นได้