บทที่ 1 ทางเลือกอื่นมีแต่จะเลือกทางนี้ 2
“ที่บ้านของฉันมีหนี้สินจากการล้มละลายเมื่อปีที่แล้ว ตอนนี้ก็เลยต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างทำงานโดยมีข้อแม้ว่าแต่ละคนจะต้องส่งเงินให้พ่อแม่เพื่อใช้หนี้ทุกเดือน”
“...” น่านนาราได้ยินอย่างนั้นแล้วก็พลันรู้สึกว่าตนเองกำลังเดจาวู...ไม่คิดเลยว่ารูมเมทของเธอจะมีชะตากรรมเดียวกับเธอในเวลานี้
“แต่เธอก็รู้ว่าฉันยังเรียนไม่จบแล้วจะไปหาเงินจากไหนส่งไปช่วยที่บ้านใช้หนี้ ทางเดียวที่จะทำได้ก็คือหางานตอนกลางคืนทำ”
“นี...เธอกำลังจะบอกฉันว่าเธอทำงานกลางคืนเหรอ?”
“เธอรังเกียจฉันเหรอ?”
“เปล่านะ! ไม่ใช่แบบนั้น ฉันไม่ได้หมายความอย่างนั้น” น่านนารารีบร้องปฏิเสธจนลิ้นแทบจะพันกัน “ฉันไม่ได้รังเกียจเธอนะ ที่ฉันถามก็เพราะว่าฉันตกใจที่เด็กเรียนอย่างเธอจะไปทำงาน ฉันเข้าใจว่าเธอเรียนอย่างเดียวซะอีก”
“งานอะไรที่ได้เงินฉันก็ทำหมดแหละ”
น่านนาราได้ยินประโยคนั้นก็คล้ายกับว่าถูกความจริงทุบลงที่ศีรษะอย่างแรงจนรู้สึกชาวาบไปทั่วทั้งร่างกาย ทุกอย่างเป็นจริงดังเช่นที่อรนีพูด งานอะไรที่ทำแล้วได้เงินเธอก็ควรจะทำไม่ใช่หรือ?
“ถ้างั้นคืนนี้เปลี่ยนจากที่เธอชวนฉันไปเที่ยวเป็นพาฉันไปสมัครงานได้ไหม?”
“...?”
“บ้านฉันก็มีหนี้เหมือนกัน พ่อฉันเพิ่งทิ้งฉันกับแม่แล้วก็น้องสาวไป เหลือเอาไว้แต่หนี้ก้อนโตที่ไม่รู้ว่ากี่ชาติจะใช้หมด ในเมื่อมีหนี้ให้ต้องหาเงินจ่าย งานอะไรที่ทำแล้วได้เงินฉันก็ไม่ควรเกี่ยงไม่ใช่รึไง?”
อรนีพยักหน้ารับเบาๆ “ก็ใช่...ถ้าอย่างนั้นก็ขอต้อนรับเธอเข้าสู่สมาคมคนหาเงินใช้หนี้นะ สมาคมที่มีแค่เธอกับฉัน”
“อืม” น่านนารายิ้มรับ รู้สึกเบาใจไม่น้อยที่คืนนี้เธอจะมีงานทำสักที
โยนเรื่องศักดิ์ศรีห่าเหวอะไรนั่นทิ้งไปซะเถอะ!
เพราะศักดิ์ศรีอะไรนั่นไม่ได้ช่วยให้เธอมีเงินมาเพื่อจ่ายหนี้ธนาคารเลย ซ้ำหนี้ก้อนนั้นยังเป็นชื่อของแม่เธอ หากไม่มีจ่ายเขาก็แจ้งความและส่งฟ้อง เธอไม่ต้องการเห็นแม่อายุสี่สิบกว่าต้องเข้าออกสถานีตำรวจหรือต้องขึ้นโรขึ้นศาลหรอกนะ
“ขอบคุณนะนี คราวนี้ฉันเป็นหนี้น้ำใจเธอแล้ว”
แล้วคืนนั้นสองสาวก็พากันไปที่ไนต์คลับแห่งหนึ่งย่านใจกลางกรุงเทพ ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากหอพักที่พวกเธอสองคนอาศัยอยู่เท่าไหร่นัก นั่งแท็กซี่ไม่ถึงครึ่งชั่วโมงก็มาถึงสถานที่ทำงานของอรนีแล้วและด้วยความที่เป็นหอพักแห่งนั้นเป็นอพาร์ทเมนต์ที่ไม่ได้อยู่ในรั้วของมหาวิทยาลัยสองสาวจึงไม่ต้องกังวลเรื่องเวลาเข้าออกใดๆ
“เจ๊แขคะ ได้ยินว่าเจ๊อยากได้พนักงานเพิ่ม คืนนี้นีเลยพาเพื่อนมาสมัครดูเผื่อเจ๊จะรับพิจารณา” อรนีเอ่ยกับสาวใหญ่ทรงสวยคนหนึ่งที่ท่าทางจัดจ้านทั้งการแต่งตัว บุคลิกและวาจา
“ไหน? นี่เหรอ? ...อืม ก็ดูดีใช้ได้นะ หน้าตากลางๆ ไม่สวยเด่นแต่ก็ไม่ขี้เหร่ ชื่ออะไรล่ะเรา”
“หนูชื่อน่านค่ะ น่านนารา”
“ชื่อน่านเหรอ?”
“ค่ะ”
“งั้นต่อไปนี้เรียกเธอนาราก็แล้วกัน”
“...”
“เอาล่ะ นารา เจ๊ดูแล้วว่าเธอคงไม่เคยทำงานแบบนี้มาก่อนใช่หรือเปล่า?”
น่านนาราพยักหน้ารับ เธอไม่เคยทำงานในสถานที่แบบนี้มาก่อนเป็นเรื่องจริง ลำพังแค่เข้ามาเที่ยวเฉยๆ ยังไม่เคยเลย ...ก็นะ ใครจะไปมีเงินเหลือกินเหลือใช้มากมายแล้วมาเที่ยวสถานที่แบบนี้กันล่ะ เมื่อก่อนเธอประหยัดเงินช่วยพ่อแม่มากเท่าไหร่ มาตอนนี้เธอก็ยิ่งต้องประหยัดเงินให้มากยิ่งกว่านั้น
เพราะเวลานี้เธอกลายมาเป็นหัวหน้าครอบครัวแทนพ่อที่ทิ้งไปคนนั้นเต็มตัวแล้ว
“ถ้าอย่างนั้นเจ๊ถามคำเดียว...วันนี้มาสมัครเป็นเด็กเสิร์ฟหรือพีอาร์? ถ้าตำแหน่งนอกเหนือจากนี้เจ๊ไม่รับแล้วนะ”
ในตอนที่นั่งอยู่ในรถแท็กซี่ อรนีเล่าให้เธอฟังว่าแล้วว่างานที่ตนเองทำนั้นมีลักษณะการทำงานอย่างไร น่านนารารู้ดีว่าตนเองไม่เก่ง บางครั้งเธอเองก็ซื่อจนเซ่อจนกลัวว่าจะไม่ทันเล่ห์เหลี่ยมของพวกหัวงูตัวปลาไหลทั้งหลาย
แต่ถึงเธอจะรู้ดีแก่ใจอย่างนั้น....ทว่าเธอก็อยากจะได้เงิน
เงินเท่านั้นที่จะช่วยบรรเทาทุกอย่าง
“หนูมาสมัครเป็นพีอาร์ค่ะ”
แขไขได้ยินคำตอบแล้วก็รู้สึกพอใจ...เด็กคนนี้มีอะไรบางอย่างที่เธอรู้สึกว่าอีกฝ่ายน่าสนใจไม่น้อยทีเดียว
ดวงตากลมโตพอดีภายใต้ใบหน้าเรียวเล็ก ปลายคางมนไม่แหลมเหมือนผู้หญิงคนอื่นๆ ที่เคยผ่านมีดหมอ โหนกแก้มสูงรับกับจมูกเล็กรั้นได้อย่างเหมาะเจาะ ถ้านี้ไม่ใช่ผู้หญิงที่จะเป็นที่ถูกตาต้องใจของบรรดาลูกค้ากระเป๋าหนักแล้วจะเป็นอย่างอื่นไปได้ยังไง?
“ถ้าอย่างนั้น...อนนี่ เธอพาเพื่อนเธอไปแต่งตัวซะสิ แล้วก็ทำหน้าที่พี่เลี้ยงให้นาราด้วย ในฐานะที่เธอทำงานนี้มาก่อนอีกทั้งยังรู้จักน้องใหม่คนนี้มากกว่าคนอื่นๆ”
“ได้ค่ะเจ๊ เดี๋ยวอนนี่ดูแลเอง สัญญาว่าจะไม่ทำให้ขายหน้าค่ะ” อรนีให้ความมั่นใจ
“ก็ลองดูสิ ถ้าเธอทำฉันขายหน้าไม่แค่นาราที่จะตกงาน เธอเองก็ต้องโดนไล่ออกเหมือนกัน” แขไขเอ่ยคำขู่ ทว่าคนถูกขู่อย่างอรนีกลับไร้ซึ่งความเกรงกลัวใดๆ ต่างจากน่านนาราที่เริ่มกลัวจนไม่กล้าแม้แต่จะหายใจแรง
...เอาวะ! เป็นไงเป็นกัน ชีวิตคนเรามันก็ไม่โรยด้วยกลีบกุหลาบเสมอไปนี่นา
เพราะอย่างน้อยๆ เธอก็เห็นว่าแล้วในอนาคตอันใกล้ของเธอนั้น เส้นทางข้างหน้าล้วนแล้วแต่เต็มไปด้วยตะปูเรือใบที่ทอดยาวออกไปจนสุดสายตา