บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 ทางเลือกอื่นมีแต่จะเลือกทางนี้ 1

“แม่คะ น่านรู้ว่าแม่ไม่ชอบความวุ่นวายในกรุงเทพ แต่ตอนนี้เราไม่มีทางเลือกอื่นแล้ว ไว้น่านหาบ้านเช่าดีๆ ได้น่านจะกลับมารับแม่นะคะ ส่วนข้าวของเราค่อยๆ ทยอยขนไปเท่าที่ไหว อะไรทิ้งได้ก็ทิ้งไปนะคะ”

“แม่ขอโทษที่ทำให้น่านต้องลำบากนะลูก” นภาเอ่ยกับลูกสาวคนโตด้วยสีหน้าเปื้อนคราบน้ำตา

ด้วยความสัตย์จริง...การที่สามีแอบไปมีเมียน้อยจนกระทั่งหนีไปด้วยกันนั้นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกเสียใจได้มากเท่าการที่เธอทำให้ลูกสาวต้องตกที่นั่งลำบาก น่านนารากำลังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสามแล้วแท้ๆ อีกไม่นานก็จะเรียนจบ แต่เพราะหนี้ก้อนโตที่ต้องหามาจ่ายในแต่ละเดือนนั้นมากเกินกว่าที่จะแบกรับคนเดียวไหว เธอรู้ดีว่าน่านนาราจะต้องพักการเรียนเพื่อมาหาเงินจ่ายหนี้ช่วยเธอแน่ๆ แม้ว่าจะต้องละทิ้งการเรียน แต่น่านนาราก็ยังไม่ปริปากบ่นหรือต่อว่าพ่อชั่วช้าหรือแม่ที่โง่งมอย่างเธอแม้แต่คำเดียว

นั่นยิ่งทำให้เธอสงสารลูกสาวคนโตมากขึ้นและมันก็ยิ่งทำให้เธอเกลียดแค้นเคืองอดีตสามีคนนั้นมากยิ่งขึ้นเป็นพันเท่า

“อย่ากังวลไปเลยค่ะแม่ ทำจิตใจให้ปลอดโปร่งเข้าไว้นะคะ น่านไม่เชื่อหรอกค่ะว่าเราจะผ่านเรื่องร้ายๆ นี่ไปไม่ได้”

น่านนาราเอ่ยบอกกับมารดาก่อนจะสวมกอดอีกฝ่ายแน่นๆ จากนั้นก็เดินขึ้นรถตู้โดยสารไปเพื่อมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพมหานคร

ก่อนหน้านี้นพพลพ่อของเธอมีอาชีพเป็นวิศวกรอยู่ในบริษัทแห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรีอันเป็นบ้านเกิด นอกจากนั้นพ่อของเธอยังรับจ้างทำงานฟรีแลนซ์อื่นๆ อีกหลายต่อหลายที่ ดังนั้นแล้วด้วยเงินเดือนของเขารวมกับเงินที่ได้จากงานฟรีแลนซ์ที่มีเข้ามาให้ทำเป็นประจำอยู่เรื่อยๆ พ่อของเธอจึงสามารถเลี้ยงดูภรรยาและลูกสาวอีกสองคนได้อย่างไม่นับว่าลำบาก

แถมยังมีเงินเหลือไปเลี้ยงผู้หญิงอีกคนหนึ่งได้โดยที่แม่ของเธอไม่เคยรู้มาก่อนอีกด้วย

น่านนาราเป็นลูกสาวคนโต ปีนี้เธออายุย่างยี่สิบเอ็ดและกำลังจะขึ้นปีสี่ในอีกไม่ถึงสองสัปดาห์ข้างหน้า ทว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นอันต้องหยุดชะงักไปเมื่อครอบครัวของเธอดันเกิดเรื่องบ้าบอนั่นขึ้นเสียก่อน

“เธอตัดสินใจดีแล้วเหรอที่จะดรอป มันน่าเสียดายมากเพราะผลการเรียนของเธอมีโอกาสได้เกียรตินิยม”

น่านนาราถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะยืนยันคำตอบเดิมตามความตั้งใจของเธอ ไม่ใช่ว่าเธอไม่เสียดาย ใบปริญญาอยู่แค่เอื้อมมือเท่านั้นเธอจะไม่เสียดายได้อย่างไร แต่เมื่อลองเทียบดูแล้วหากเธอฝืนที่จะเรียนต่อโดยที่ไม่มีเงินและมีหนี้ร้อนจ่อก้นอยู่เธอจะเรียนต่อไปได้ยังไง

ดรอปเอาไว้ก่อนสักปีนั่นแหละดีแล้ว...

อีกอย่างนาวาเนตรน้องสาวของเธอก็เพิ่งจะเข้าปีหนึ่ง เวลานี้ไม่มีพ่อคอยส่งเสียแล้วเธอกับน้องจะเรียนไปพร้อมๆ กันได้อย่างไร ไหนจะหนี้สี่ล้านสองนั่นอีก

ตกเย็นน่านนาราก็กลับไปที่หอพัก เธอรื้อข้าวของของตัวเองออกมาจัดใหม่เป็นการใหญ่ด้วยเหตุผลที่ว่าเธอต้องการคลายความเครียด วันนี้เธอไปขอดรอปการเรียนแล้ว ลำดับต่อไปนั่นก็คือการหางานประจำทำ แต่เพราะคิดว่าจะหางานอะไรทำดีจึงจะพอจ่ายหนี้และส่งน้องเรียนรวมไปถึงค่ากินอยู่ของตัวเองกับแม่ ความเครียดในสมองก็ยิ่งเพิ่มขึ้น ไม่ต้องบรรยายถึงงานการสมัยนี้ว่าหายากแค่ไหน เอาแค่หางานให้ได้ก่อนยังลุ้นแทบตาย ยิ่งไปกว่านั้นการจะหางานให้ได้ที่คุ้มค่าเหนื่อยก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก

“น่าน ไปเที่ยวกันไหม?”

“ห๊ะ…หือ?”

“ฉันเห็นเธอเครียดๆ น่ะ เลยลองชวนไปเที่ยวด้วยกันดู” น่านนารากะพริบตาปริบๆ รู้สึกแปลกใจไม่น้อยที่ยัยแว่นรูมเมทของเธอเอ่ยปากชวนเธอออกไปเที่ยวในเวลาหนึ่งทุ่มครึ่ง

“แล้วเธอไม่กลับบ้านเหรอ? ปกติเวลาไม่มีเรียนฉันเห็นเธอกลับบ้านตลอด”

อรนีได้ยินแล้วก็ส่งยิ้มให้เพื่อน เธอไม่ได้เอ่ยตอบอะไรกับประโยคที่เพื่อถาม แต่เลือกที่จะเดินเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำแล้วกลับออกมาในสภาพผ้าขนหนูผืนเดียวพันกาย

“ความจริงแล้วฉันก็อยากกลับบ้านนะ แต่จนใจที่กลับไปบ่อยๆ ไม่ได้”

“หมายความว่ายังไง?”

เพราะเรียนกันคนละคณะตลอดเวลาสามปีที่ผ่านนอกจากเรื่องดินฟ้าอาการและผลัดกันบ่นเรื่องเรียนให้กันฟังเป็นบางครั้งคราวแล้ว น่านนารากับอรนีก็ไม่ค่อยได้พูดคุยอะไรกันมากมายนัก

น่านนารากับอรนีมีนิสัยอย่างหนึ่งที่คล้ายกันคือพวกเธอไม่ใช่คนที่ชอบยุ่งเกี่ยวเรื่องของคนอื่น ทั้งยังไม่ชอบถามนั่นถามนี่กับเรื่องที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ทำให้ตลอดเวลาที่ผ่านมาพวกเธอสองคนอยู่ร่วมห้องกันมาได้ด้วยความสงบ ต่างคนต่างสบายใจในพื้นที่ส่วนรวมที่มีร่วมกันและพื้นที่ส่วนตัวที่ไม่ถูกอีกฝ่ายล่วงล้ำโดยพลการ

ความสัมพันธ์ของน่านนารากับอรนีจึงนับว่าคบหากันอย่างสบายใจ เรียกไม่ได้ว่าไม่สนิท แต่ก็ไม่ถึงขั้นที่จะรู้ตับไตไส้พุงกันทุกขด ดังนั้นเมื่ออรนีเอ่ยปากออกมาว่าไม่ได้กลับบ้านบ่อยๆ อย่างที่บอกกับเธอเป็นประจำทุกสุดสัปดาห์ คราวนี้น่านนาราจึงอดที่จะสงสัยไม่ได้

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel