หวงรักยัยตัวร้าย

116.0K · จบแล้ว
สิรี/evavy
27
บท
3.0K
ยอดวิว
9.0
การให้คะแนน

บทย่อ

“หมู” “หื้ม” ฉันตอบรับในลำคอเบาๆ แต่ไม่ได้หันไปมองเพราะกำลังตั้งใจถ่ายสไลด์บนหน้าจอโปรเจคเตอร์ที่อาจารย์บอกว่าไม่มีในชีทเรียน คือย้ำบ่อยมากจนฉันคิดว่ามันต้องออกสอบแน่นอนเลยหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ คนอื่นๆก็ทำแบบฉันนะ ขี้เกียจจะใช้มือจด เยอะขนาดนี้จดไม่มีทางทันหรอก อาจารย์เปลี่ยนก่อน วิชาอื่นฉันก็ใช้เทคนิควิธีนี้เหมือนกัน มันง่ายและสะดวกดี “หมู” “ว่าไง เรียกแล้วทำไมไม่พูดล่ะ” ฉันหันไปมองแวบหนึ่งแล้วรีบมองไปหน้าห้องเรียน ฉันไม่อยากพลาดการถ่ายรูปเก็บเอาไว้เพื่อความอุ่นใจไปสักสไลด์ เพื่อนคนอื่นไม่ได้ทำความรู้จักไว้ ต้องเพิ่งตัวเองนี่แหละ คนข้างๆนี่อย่าหวังเลย ไม่เจ๊าะแจ๊ะฉันก็เล่นเกมส์ ลากมาด้วยได้ก็ดีเท่าไหร่แล้ว แต่ถ้าดื้อแพ่งจะไม่มาแล้วฉันจะมาคนเดียวในวิชานี้ก็ไม่ยอมปล่อยนะ สรุปก็ต้องตามก้นฉันมาอยู่ดี “ก็เมียไม่ยอมสนใจ เอาแต่จ้องไอ้จอสี่เหลี่ยมกับหน้าอาจารย์” เสียงทุ้มพูดสะบัดในช่วงท้ายหน่อยๆ ถ้าไม่สนใจสิ่งที่อยู่ตรงหน้าเวลาสอบใครจะช่วย ต่อให้สนิทกับลูกชายเจ้าของมหาวิทยาลัยมากแค่ไหนใช่ว่ามันจะอุ่นใจได้ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนดีที่สุด ฉันขยับมุมปากขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้หันไปมองหรอก เพราะยังไม่ว่างมานั่งเอาใจคนขี้งอนที่ชอบให้ฉันมองตัวเองอยู่ในสายตาตลอดเวลา ยกเว้นตอนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน ซึ่งถ้าไม่นับตอนเรียนหรือตอนที่ขุนต้องทำงานเราก็ตัวติดกันเสมอ คู่รักบางคู่อาจจะเซ็งหรือเบื่อที่ไม่มีเวลาส่วนตัวหากแฟนทำตัวติดแจ แต่ฉันชอบนะที่เป็นอยู่อย่างนี้ เพราะนั่นหมายความว่าเราสำคัญสำหรับเขามาก “ไม่ใช่ว่าไม่สนใจ หมูแดงกำลังทำอะไรอยู่อยู่ขุนก็เห็นอยู่นี่นา” นี่ฉันจะหลุดขำออกมาแล้วนะ อะไรจะอ้อนแรงเบอร์นี้คะทูนหัว เอาคางมากระแทกหัวไหล่ฉันจึกๆอย่างเรียกร้องความสนใจ สุดฤทธิ์ โถ ไอ้หมาน้อยเอ๊ย!

นิยายรักโรแมนติกรักหวานๆรักวัยรุ่นรักแรกพบโรงแรม/มหาลัยโรแมนติกนักศึกษาฟินๆ

PROLOGUE

มหาวิทยาลัย G

วันนี้เป็นวันเปิดเทอมขึ้นปีสองวันแรกหลังจากปิดภาคเรียนไปสามเดือนเต็มและเทอมนี้ฉันก็ต้องลงเรียนวิชาจิตวิทยาทั่วไปเป็นวิชาเลือกในหมวดสังคมเพียงแค่คนเดียว เพราะว่าเพื่อนสนิทอีกสองคนมันดันลงทะเบียนวิชานี้ไม่ได้เนื่องจากมันเต็มเลยกระเด็นหลุดโผต้องไปลงวิชาอื่นแทน ซึ่งมันทำให้ฉันเซ็งมากถึงมากที่สุดเลยแหละ และตอนนี้ก็ต้องมานั่งแกร่วเป็นเล่นเกมส์ในมือถือไปพลางๆ เพราะเปิดประตูเข้าห้องเรียนมาเป็นคนแรก เพื่อนร่วมคลาสคนอื่นๆ ก็ยังไม่มีใครโผล่มาให้เห็นหน้าเลยสักคนเดียว ชักช้ากันจังเลย แล้ววิชานี้ต้องเรียนรวมกับทุกชั้นปีแบบไม่จำกัดคณะ สาขาวิชาอีกด้วยสิ คือมันไม่ดีตรงนี้นี่แหละค่า คนไม่มีเพื่อนมาเรียนด้วยเช่นฉันคงหงอยเหงาเศร้าสร้อยเป็นนกปากเจ็บแน่เลย จะมีคนรู้จักมาเรียนบ้างไหนหนอคงต้องรอดู

นี่ก็เหลือเวลาเข้าเรียนตามตารางสอนอีกประมาณยี่สิบนาทีเห็นจะได้ ไม่ใช่ว่าฉันเป็นคนขยันจัดหรือรักเรียนเป็นชีวิตจิตใจหรอกนะ ฉันกลัวรถมันจะติดต่างหากเลยรีบออกทั้งที่คอนโดกับมหาลัยไม่ได้ไกลกันมากมายอะไร คือด้วยความที่เป็นวันเปิดเทอมวันแรกไง สิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์มันจะคึกคักกันเป็นพิเศษ คนเยอะ รถแยะ ปีหนึ่งเข้ามาใหม่สถานที่กว้างขวางจะกลายเป็นเล็กไปถนัดตา การจราจรในบริเวณใกล้เคียงก็พาลติดตามไปด้วยเลยต้องพาตัวเองมาให้เร็วไว้ก่อน แต่พอเวลาผ่านไปได้สักระยะก็จะเข้าสู่สภาวะปกติ ความตื่นเต้นทั้งหลายก็จะหายไปด้วย ฉันเรียนรู้มันมาแล้ว รับน้องเหรอ กิจกรรมบลาๆ เหรอ ไม่บังคับให้ทำหรอกที่นี่อ่ะ ใครใคร่สมัครใจอยากเข้าร่วมสนุกก็เข้าไปเถอะ ถ้าไม่สนก็ไม่ต้อง เอาใจโดยแท้จริง มีเพียงชมรมเท่านั้นที่จะบังคับให้นักศึกษาทุกคนเข้าร่วมเพื่อให้ได้รู้จักกันมากขึ้น ไม่อย่างนั้นจะเอาแต่พวกพ้องที่เรียนด้วยกันเท่านั้น ฉันว่าก็ดีเหมือนกันนะแนวความคิดนี้ ไม่งั้นต้องเรียนและเรียนเพียงอย่างเดียว

“ขอให้ฉันมีมิตรดี น่ารักๆ ในวิชานี้ด้วยเถิดนะเจ้าคะ สาธุค่ะ” ฉันภาวนาขอในใจแล้วยกมือท่วมหัวกันเลยทีเดียว ไม่ใช่ว่าฉันกลัวการอยู่เพียงลำพังคนเดียว แต่ฉันคิดการณ์ไกลไปถึงอนาคตภายภาคหน้านับต่อจากนี้ต่างหาก เพราะการเรียนรู้ๆ กันอยู่ว่ามันต้องมีงานมีการบ้านที่อาจารย์สั่ง เพื่อเอาในส่วนนั้นมาช่วยเสริมกับคะแนนสอบอีกที ฉันเลยอยากมีคนที่คอยถามไถ่อะไรได้บ้าง อย่างน้อยสักคนหรือสองคนก็ยังดีกว่าไม่มีเลย

ปัง!

เสียงเปิดประตูดังปังเหมือนคนเปิดกำลังโกรธใครมาทำเอาฉันที่นั่งคิดอะไรเรื่อยเปื่อยสะดุ้งโหยงสุดตัวไม่กล้าหันไปมองเพราะกลัวจะไม่ส่งผลดีต่อชีวิตอันแสนสงบ และไม่นะ เสียงฝีเท้าเหมือนมีใครเดินมาตรงที่ฉันนั่งอยู่เลย หรือว่านี่คือคำขอที่เป็นจริงของฉันกันนะ โอ สวรรค์คงได้ยินคำอ้อนวอนฉันแล้วใช่ไหม

“นี่เธอ ที่ตรงนี้มีใครนั่งรึเปล่า”

เหลียวซ้ายแลขวาไม่เห็นว่ามีใครเลยเงยหน้าขึ้นไปมองแล้วก็แทบหยุดหายใจไปชั่วขณะ หล่อมาก คือคำสั้นๆเลยที่หัวสมองฉันคิดได้ในตอนนี้ ผู้ชายหน้าตาเกาหลีอปป้าเหมือนพระเอกซีรีย์มาถามฉันว่าที่ว่างข้างๆ ฉันมีใครนั่งไหม โอย แต่ฉันจะมาแสดงท่าทางว่าหลงใหลได้ปลื้มเขามากมายไม่ได้หรอก เดี๋ยวจะถูกมองว่าฉันบ้าผู้ชายจนขึ้นสมองน่าอายตายเลย

“มะ...ไม่ ไม่มีคนนั่งหรอก เชิญนั่งได้ตามสบายค่ะ” ที่นั่งมีตั้งเยอะแยะแต่เขาเลือกมานั่งตรงนี้ฉันควรดีใจใช่ไหมแม้นิสัยจะดูออกอันธพาลไปหน่อยเรื่องเปิดประตูน่ะนะ แปลกจังเรียนที่นี่มาปีนี้ปีที่สองแล้วทำไมฉันไม่เคยเห็นหน้าเขาเลยนะ ว่าแต่เรารุ่นเดียวกันรึเปล่าเนี่ยอยากรู้จังเลยแต่ใครจะกล้าถามก่อนล่ะ

“เธอสติดีใช่มั้ย ? ฉันเห็นเธอพึมพำๆอะไรคนเดียวเหมือนท่องบทสวด ว่าแต่มันคือคาถาไล่ผีหรือคาถาป้องกันตัวล่ะบอกหน่อยดิเผื่อได้ยืมไปใช้มั่ง” เลิกคิ้วมองแล้วกระตุกยิ้มตรงมุมปากเมื่อเห็นเธอทำหน้าเอ๋อๆ แถมยังอ้าปากซะกว้างเชียว ผมแค่แกล้งหยอกเธอเล่นไปอย่างนั้นเอง ขำๆ น่ะไม่ได้เห็นว่าเธอทำอย่างที่พูดหรอกแต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะเชื่อผมซะเต็มเปาเลยมั้งเนี่ยว่าตัวเองทำท่าเปิ่นๆออกมาจริง

อ้าปากค้างเติ่งเลยฉัน ถามแบบนี้หมายความว่าไง ? เขาคิดว่าฉันจิตไม่ปกติงั้นเหรอหรือว่าฉันแสดงท่าทางทุเรศๆ อะไรออกไปให้เขาเห็น เหอะๆ แต่เอาเถอะฉันจะไม่ถือสาหาความละกัน จะบอกว่าถ้าไม่สนิทด้วยอย่ามาตลก ฉันคงดูไม่ต่างจากนายนี่เท่าไหร่ เจอหน้ากันครั้งแรกและคาบแรกต้อนรับเปิดเทอมด้วย ไม่ควรมีเรื่องมีราวกับใครสุ่มสี่สุ่มห้าหมูแดง ท่องเอาไว้มีมิตรดีกว่ามีศัตรู อะไรยอมได้ก็ยอมๆ ไป อย่าเก็บใส่ใจเลยมองโลกในแง่ดีมันคงเป็นการสร้างความคุ้นเคยในฐานะเพื่อนร่วมคลาสในแบบของเขาละมั้ง

“ฉันโอเค สติดีไม่ได้ป่วยเป็นโรคจิตหรือกำลังท่องบทสวดอะไรอย่างที่นายคิดร้อยเปอร์เซ็นต์” ฉันนี่แทบจะกัดฟันตอบออกมาเลยล่ะถึงใจจะคิดว่าไม่ควรถือสาหาความ แต่มันอดไม่ได้ที่จะใช้สายตามองค้อนอย่างขุ่นเคืองไม่ได้ คือเจอหน้ากันครั้งแรกดันมาถามว่าฉันสติดีรึเปล่าเนี่ยนะ เชื่อเขาเลยแหละ มารยาทไม่สมกับหน้าตาหล่อเหลาที่ฉันชื่นชมสักนิด นี่ขนาดว่าฉันพยายามมองโลกในแง่บวก มองโลกแบบสวยๆแล้วนะแต่ก็ยังอดคิดอคติกับนายนี่อยู่เลย

“อือ ปกติก็ดีแล้วล่ะ ถ้าไม่ปกติเธอคงน่าสงสารตายชักเลย” ปากหยักแดงอย่างเป็นธรรมชาติคลี่ยิ้มเล็กน้อย ขณะที่สายตากำลังจดจ่ออยู่ที่หน้าจอโทรศัพท์ ฟังจากเสียงของคนข้างกายแล้วคงจะโมโหอยู่ไม่น้อย แต่ใครสนกันล่ะ

ฉันนั่งหุบปากเงียบไม่คิดตอบโต้อะไรอีก เพราะคิดว่านั่นคือประโยคบอกเล่าธรรมดาทั่วไป ถึงแม้มันจะทำให้ฉันรู้สึกอยากบีบคอของหมอนี่มากก็ตามที ดังนั้นเลิกสนใจดีที่สุด ในห้องเรียนตอนนี้ก็เริ่มมีนักศึกษาทยอยเดินเข้ามาจับจองที่นั่งบ้างแล้ว เลยไม่วังเวงและเงียบเหงาเหมือนก่อนหน้านี้

“นี่! ฉันชื่อขุนพล เรียนอยู่คณะบริหารปีสาม เธอชื่ออะไรและเรียนคณะอะไรล่ะ” เสียงทุ้มเอ่ยทำลายความเงียบและเลือกที่จะแนะนำตัวเองให้ยัยหน้าตาบ๊องแบ๊วที่มองตาปริบๆ ได้รู้จักก่อน ผู้หญิงบ้าอะไรวะหน้าตาน่ารักเหมือนตุ๊กตาชะมัด ตัวเล็กแต่ฟาร์มโคนมนี่ไม่เล็กตามรูปร่างเธอเลย เรียนที่นี่มาสามปีแล้ว ถึงจะมาบ้างไม่มาบ้างแต่ไม่เคยเห็นหน้ายัยนี่มาก่อนหรือจะเป็นเด็กปีหนึ่งเพิ่งเข้ามาเรียน อันนี้ก็มีความเป็นไปได้สูงเพราะหน้าเด็กฉิบหาย

“อ่อ ชื่อหมูแดง เรียนอยู่คณะนิเทศปีสองค่ะ ยินดีที่ได้รู้จักนะคะ” รุ่นพี่เขาเป็นรุ่นพี่ฉันหนึ่งปีแถมชื่ออย่างเท่ห์เลยขุนพล อ่า นี่ฉันควรผูกมิตรกับเขาดีไหมนะไหนๆก็นั่งข้างกันแล้ว แต่มันทำให้ความคิดฉันสะดุดเพราะก่อนหน้าที่เขาถามว่าฉันสติดีใช่ไหมนี่แหละ เป็นการถามที่ฉันอยากจะกรีดร้องออกมามาก

“อืม นิเทศปีสองอย่างนั้นเหรอ งั้นก็ยินดีที่ได้รู้จักอย่างเป็นทางการนะครับน้องหมู” ขนาดชื่อยังน่ารักน่ากินเลยให้ตายเถอะว่ะ พ่อแม่ของยัยนี่ตั้งได้เข้าท่ามาก ‘หมูแดง’ แค่เรียกก็มีความอยากกินขึ้นมาแล้วสิ

“เอ่อ ชื่อหมูแดงค่ะไม่ใช่หมูเฉยๆ ช่วยกรุณาเรียกให้ถูกด้วยนะคะพี่ขุนพล” ฉันไม่ชอบให้ใครเรียกว่าหมูสั้นๆห้วนๆแบบนี้เลย คือไม่ได้กระแดะนะ แต่ฉันว่าหมูแดงเต็มๆ มันน่ารักกว่าเป็นไหนๆ ที่มาของชื่อก็คือเมื่อตอนแรกเกิดฉันตัวกลมปุ๊กลุ๊กมากและมีผิวขาวอมชมพูมาม๊ากับปาป๊าเลยตั้งชื่อลูกสาวคนสวยเพียงคนเดียวว่าหมูแดง ท่านเล่าให้ฟังอย่างภาคภูมิใจพร้อมมีภาพถ่ายเป็นหลักฐานให้ดูชัดๆ ไปเลย แต่ในปัจจุบันฉันหุ่นค่อนข้างดีในระดับมาตราฐานแล้วนะ ห่างไกลจากคำว่าหมูมานานมากแล้ว

“อือ ฉันรู้แล้วว่าเธอชื่อหมู ไม่ลืมง่ายๆ หรอก ชอบกินอยู่แล้วหมูเนี่ยของโปรดเลยนะจะบอกให้รู้เอาไว้” ขุนพลขยิบตาแล้วก้มหน้ากดโทรศัพท์ต่อ ที่บอกว่าชอบกินหมูเนี่ยเรื่องจริง เพราะมันคืออาหารและตอนนี้ก็ค้นพบอีกอย่างแล้วว่าคนชื่อหมูแดงก็กินได้เหมือนกัน คงจะอร่อยกว่าหมูไหนๆแน่นอน

ฉันขอเอาความชื่นชมและที่คิดว่าอยากผูกมิตรกลับมาคิดใหม่ก่อนนะ สายตายียวนมันกวนประสาทให้ฉันหงุดหงิดแล้วไหนจะรอยยิ้มเจ้าเล่ห์นั่นอีก เชอะ! ชอบกินหมูแล้วจะมาบอกฉันทำไมกันตาบ้าไม่เกี่ยวกับชื่อฉันสักหน่อยโยงเข้าไปได้ไงประสาท พยายามคิดให้เป็นอย่างอื่นแล้วนะ เพราะไม่อยากคิดตามอย่างตรงๆ อึ๋ย!! ขนลุกชันไปทั้งตัวเลยอ่ะ

“ไอ้ขุน!!”

“ไปเข้าห้องน้ำกันมาหรือว่ามึงสองคนแอบไปนอนหลับมาวะช้าฉิบหายเลยกว่าจะยอมโผล่หัวมากันได้เนี่ย” ผมมองเพื่อนรักที่ทิ้งตัวลงนั่งก่อนจะเลิกสนใจมันสองตัว

“ทำมาบ่นนะมึง”

“กูบ่นตรงไหนวะจิว”

“กวนตีนละมึงอ่ะไอ้ขุน”

สโลแกนของที่นี่ก็คือ มหาวิทยาลัยไฮโซโก้เก๋ที่รวบรวมเหล่าบรรดาลูกเศรษฐีลูกคนดังทั่วฟ้าเมืองไทย แต่เอาเข้าจริงคือมันก็ไม่ได้ขนาดนั้นนะ คนธรรมดาทั่วไปก็มีเยอะแยะแต่ไม่รู้ใครเป็นคนแฮชแท็คประโยคนี้ขึ้นมา แต่เอาเถอะฉันว่ามันใช้ได้กับกลุ่มนี้แล้วล่ะ รวมแก๊งค์หนุ่มหล่อหน้าตาดีมากลากเสียงยาว

“มึงอุตริเกิดอยากนั่งแถวกลางตั้งแต่เมื่อไหร่ ปกตินี่ครองแถวหลังมาตลอด หรือมึงเห็นว่ามีสาวน้อยคนสวยนั่งอยู่ตรงนี้เลยอยากเปลี่ยนบรรยากาศวะ”

ฉันที่ตั้งใจฟังอาจารย์ผู้หญิงวัยกลางคนที่มีคำว่าด็อกเตอร์นำหน้าชื่อกำลังพูดนั่นพูดนี่อยู่หน้าห้อง และมมันเริ่มจะสติแตกขึ้นเรื่อยๆเพราะหูมันได้ยินแต่เสียงของพวกที่นั่งอยู่แถวเดียวกับฉันเนี่ยแหละ คุยกันกลบเสียงอาจารย์หมดเลย แต่ก็แปลกที่ท่านไม่ดุไม่ว่ากล่าวทำเหมือนไม่ได้ยินซะอย่างนั้น

“อย่าเสือกสิครับเคน คนอื่นเขาตั้งใจเรียนกันอยู่นี่ยเห็นไหม หุบปากด่วนๆ เลย คำว่าเกรงใจน่ะสะกดเป็นไหมครับ” เสือกเน้นๆ ใส่หน้ามันและตบท้ายด้วยนิ้วกลางอีกทีเป็นอันจบ

“อือ ก็ได้ๆ กูไม่ขอเสือกเรื่องของมึงแล้วก็ได้ขุน แต่กูจะจีบน้องเขามึงคอยดูนะไอ้เพื่อนยาก” เคนยักคิ้วให้เพื่อนสนิทแล้วฉีกยิ้มหวานให้สาวคนที่กำลังตกอยู่ในหัวข้อสนทนาของตนเองกับเพื่อน และก็มีอันต้องแสดงสีหน้าเหยเกขึ้นมาฉับพลันหลังจากยิ้มไปได้ประมาณสามวินาที แทบจะเห็นดาวเลยทีเดียว

ป๊าบ!

“ไอเพื่อนเวร ตบมาได้ เจ็บนะเว้ย!”

“กูจองเอาไว้แล้วเว้ยหมูแดงน้อยคนเนี้ย อย่าเสือกมายุ่งวุ่นวายไอ้สารเลวเคน หุบปากน่ารำคาญของมึงไปเลย ถ้าไม่อยากโดนตบหัวทิ่มอีกป๊าบสองป๊าบ” ผมชี้หน้าเพื่อนรักอย่างข่มขู่ แล้วจับมือของคนที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวใดๆด้วยขึ้นมาจูบที่หลังมือขาวสะอาด โชว์เคนที่ทำหน้ากวนประสาทใส่ได้น่าถีบให้หงายท้อง ส่วนหมูแดงน้อยน่ะเหรอ แม้แต่ตอนตกอยู่ในอาการใจยังน่าขย้ำเลยคิดดู ผู้หญิงคนนี้ทำให้หัวใจผมเต้นแรงกี่รอบแล้วก็ไม่รู้ตั้งแต่ได้พบกัน

“อย่ามาลวนลามฉันแบบนี้นะนายขุนพล” ฉันกระแทกเสียงใส่อย่างไม่พอใจแบบสุดๆ ต่อให้หล่อลากดินมากแค่ไหนแต่มือไวนิสัยแย่แบบนี้มันไม่โอเคเลยสักนิด มาหอมมือของฉันได้ยังไงกัน แล้วพูดกับเพื่อนว่าจองเจิงบ้าบออะไร และพอฉันจะชักมือตัวเองกลับหมอนี่ก็ยึดเอาไว้ไม่ยอมปล่อย “อย่ามาจับนะ นายมีสิทธิ์อะไรถึงมาทำกับฉันอย่างนี้ไอ้คนไร้มารยาท” ฉันสะบัดมือหวังให้หลุดออกจากการจับกุม แล้วขึงตาใส่สุดกำลัง แต่มันไม่ยอมปล่อยให้ฉันเป็นอิสระ ยังคงยึดจับเอาไว้อย่างเหนียวแน่น ถ้าฉันแหกปากโวยวายเสียงดังขึ้นมามันจะได้ผลดีหรือตรงกันข้ามกันแน่

“ทำไมถึงไม่เรียกพี่ขุน เรียกพี่เดี๋ยวนี้นะหมู อย่าให้ฉันต้องพูดซ้ำซากนะยัยตัวเล็กฤทธิ์เยอะ” ผมพูดเสียงดุอย่างไม่พอใจ นายนั่น นายนี่ขัดหูฉิบ อยากให้ยัยหมูนี่เรียกพี่ขุนมากกว่าแม้ว่าจะไม่ได้ยึดติดอะไรมากมายกับเรื่องแก่อ่อนตามลำดับอายุก็ตาม แต่เมื่อยัยหมูตัวน้อยนี่เรียก คือฟังแล้วมันรู้สึกดีไงไม่รู้

“ฉันไม่อยากจะเรียกนายว่าพี่แล้ว มีปัญหาอะไรไหม ปล่อย!” ฉันเม้มปากขัดใจเมื่อไม่เป็นไปตามต้องการ แต่ก็ยังคงพยายามดึงมือของตัวเองกลับอย่างไม่ยอมแพ้ ยื้อยุดกันไปมาสักใหญ่ แต่ไอ้บ้าขุนพลช่างดื้อด้านนัก รู้จักกันยังไม่ครบชั่วโมงก็ออกลายไม่น่าคบหาแล้ว

“อย่าแกล้งน้องหมูแดงมากสิวะขุน ปล่อยมือน้องซะ เดี๋ยวน้องเขาก็เกลียดหน้ามึงมากกว่านี้หรอก อืม พี่เป็นเพื่อนรักของไอขุนมันก็จริง แต่พี่จิวขออยู่ทีมน้องหมูแดงนะครับ” จิวทำมือเป็นไอท่าเลิฟยูส่งให้ ฉันเลยอมยิ้มแต่ก็แค่เดี๋ยวเดียวเท่านั้น

“เสือกอีกคนแล้วไงไอเวรจิว คนกับหมูเขาจะคุยกัน อย่าเสนอหน้าเข้ามายุ่ง ซี๊ดด โอ๊ยย” เจ็บจี๊ดถึงใจเลยครับ เมื่อปลายเล็บแหลมคมทั้งหยิกและจิกบนหลังมือเต็มแรง ย้ำว่าเต็มแรงไม่มีออมแรงเลย

“เหี้ย! ร้องอย่างกับมึงกำลังกรำศึกรักอยู่บนเตียงอย่างนั้นแหละ เป็นห่าอะไรของมึงวะขุน แหกปากสิบแปดบวกฉิบหายเลย เดี๋ยวอาจารย์แกก็เอาไมค์ปาหัวมึง โทษฐานตกใจหรอกไอ้ขุน” เคนสบถออกมาทั้งตกใจและขำไปพร้อมกัน

“หมูทำร้ายร่างกายกู สงสัยคงต้องจับปราบพยศสักหน่อยแล้วมั้ง” ผมส่งสายตาคาดโทษให้ยัยตัวดีน่าขย้ำที่จ้องหน้าผมตาเขียวปั๊ดเลย คงคิดว่าน่ากลัวมาก ถ้าไม่ติดว่าตอนนี้มีอาจารย์อยู่ด้วยนะพ่อจะถลกหนังหมูมากิน