บทที่ 2
ภายในห้องตรวจโรคเวลานี้ สองย่าหลานกำลังนั่งประจันหน้ากันมีเพียงโต๊ะทำงานเล็กๆ ข้างกัน แต่มันก็ไม่สามารถกำบังสายตาเอาเรื่องของผู้เป็นย่าที่มีต่อหลานชายได้เลยแม้แต่น้อย และดูเหมือนคนเป็นหลานเองก็ไม่อินังขังขอบหรือเกรงกลัวผู้อาวุโสกว่าเลยสักนิด แวบหนึ่งที่เอาออกจะทำหน้าเบื่อหน่ายเสียด้วยซ้ำเมื่อนึกรู้ว่าย่ามาหาเขาด้วยเรื่องซ้ำๆ เดิมๆ
“ผมขอเถอะครับคุณย่า ถ้าคุณย่าจะมาต่อว่าผมด้วยเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนก็อย่าเลยครับ ผมฟังพ่อด่าจนหูชาไปแล้ว” เขมรัฐดักคอคุณหญิงที่กำลังจะอ้าปาก ‘ด่า’ เขาอีกคน แต่มีหรือที่คนอย่างคุณหญิงวิไลรัตน์ซึ่งไม่ยอมลงให้ใครง่ายๆ ต่อให้เป็นหลานรักก็เถอะจะยอม
“ก็ถ้าไม่อยากถูกฉันกับพ่อแกด่า ก็เลิกทำตัวเหลวไหลสักทีสิตาเขม ถามจริงๆ เถอะมันสนุกนักหรือไงที่เห็นผู้หญิงเขาตบตีกันเพราะเราน่ะ”
“คุณย่าก็อย่าไปคิดมากสิครับ คิดซะว่าหลานชายคุณย่าออกจะเฟอร์เฟ็กต์ก็เป็นธรรมดาที่จะมีสาวๆ มารุมล้อมแย่งชิง” คนเป็นหลานยังยอกย้อนอย่างสบายอารมณ์ ร่างใหญ่เอี้ยวตัวน้อยๆ ไปคว้าเอาหูตรวจฟังมาคล้องที่คอเตรียมจะไปเดินตรวจคนไข้บนตึก
“แกภูมิใจแต่ฉันนี่สิขายหน้า ไม่รู้หรือปิดหูปิดตาไม่รู้กันแน่ฮะตาเขมว่าใครต่อใครเขาหาว่าแกมั่วผู้หญิงขนาดไหน หุ้นส่วนบริษัทแล้วก็ตำหนิพฤติกรรมของแกมา เขม...แต่เป็นว่าที่ผู้สืบทอดโรงพยาบาลนี้ต่อจากย่านะ ทำตัวให้มันดีๆ หน่อยไม่ได้หรือไง”
“โธ่...คุณย่า ไอ้การสืบทอดกิจการอะไรนี่มันอาศัยความสามารถนะครับ ต่อให้ผมภาพลักษณ์ดีแต่บริหารงานแย่ โรงพยาบาลก็คงเจ๊งไม่เป็นท่าเหมือนกัน” คนเป็นหลานย้อนเข้าให้ “แล้วอีกอย่าง คุณย่าก็รู้ไม่ใช่หรือครับว่าผมไม่ได้มั่ว คุณย่าครับ ผมว่าคุณย่าอย่าไปแคร์พวกปากหอยปากปูพวกนั้นเลยดีกว่า ผมเป็นผู้ชายมันก็ต้องมีควงคนนั้นคนนี้บ้างเป็นธรรมดา แต่ผมก็ไม่เคยละเลยหน้าที่ของหมอนะครับ ผมรักษาคนไข้อย่างสุดความสามารถที่ผมมี รับผิดชอบต่อหน้าที่ตัวเองอย่างไม่ขาดตกบกพร่อง แค่นี้ก็น่าจะพอแล้วนี่ครับ ผมทำงานเครียดๆ ก็ต้องหาเรื่องผ่อนคลายบ้างเป็นธรรมดา”
“แล้วแกจะหาเรื่องผ่อนคลายไปถึงไหนกันล่ะ อายุก็ปาเข้าไปสามสิบกว่าแล้วนะ ยังไม่คิดจะลงหลักปักฐานกับใครอีกหรือไง”
“อ้อ...ผมรู้แล้วครับ ที่คุณย่าด่าผมอยู่ทุกวี่วันเรื่องผู้หญิงเป็นเพราะคุณย่าอยากให้ผมแต่งงานมีหลานตัวน้อยๆ ให้คุณย่าเลี้ยงนี่เอง...ใช่มั้ยครับ” คราวนี้คนเป็นหลานเริ่มจับจุดย่าได้ ริมฝีปากหยักลึกกระตุกยิ้มอย่างผู้มีชัยเมื่อเห็นสายตาหลุกหลิกของคุณหญิงวิไลรัตน์ แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเขาจับถูกจุด อย่าว่าล่ะนะ...ถ้าภาษาปากเขาก็อาจจะเรียกได้ว่า ‘คนแก่อยากอุ้มหลาน’ นี่ขนาดย่าเขามาทำงานที่โรงพยาบาลทุกวี่วันทั้งที่อายุล่วงเข้าเลขหกอีกไม่กี่ปีก็จะเลขเจ็ดแล้วก็ยังไม่วายเหงาอยากจะมีหลานไว้คอยเล่นคอยอ้อน แต่จะทำอย่างไรได้เล่าในเมื่อเวลานี้เขายังสนุกกับชีวิตโสด พอใจกับอิสรเสรี อยากจะทำอะไรควงผู้หญิงคนไหนก็ได้โดยไม่ต้องมาคอยกังวลถึงเรื่องวันครบรอบนู่นนี่นั่น แล้วเรื่องอะไรเขาจะต้องหาห่วงมาผูกคอตัวเองกันเล่า
“เอาเป็นว่า ถือว่าฉันขอ ถ้าแกไม่อยากแต่งงานก็ช่วยเพลาๆ เรื่องผู้หญิงลงหน่อยก็แล้วกัน นึกถึงหน้าพ่อหน้าย่าเอาไว้บ้างก็แล้วกัน” คุณหญิงเริ่มหาทางตัดบทเมื่อรู้สึกว่าตัวเอง ‘แพ้’ ให้แก่หลานชายตัวร้ายอีกครั้ง...อยากจะรู้จริงๆ เชียวว่าจะมีใครบ้างมั้ยนะที่สามารถจัดการกับพ่อตัวแสบของนางได้อย่างเด็ดขาด ถ้ามีล่ะก็นางจะยอมถวายหัวถวายชีวิตให้เลยเชียว ขอแค่มากำหลาบเขมรัฐให้อยู่มือ “อีกอย่างนะตาเขม” คุณหญิงที่ทำท่าลุกจากเก้าอี้หมายเดินออกจากห้องกันมาจ้องหน้าหลานชายอย่างเอาเรื่องอีกครั้ง “เนตรนภา ย่าขอเตือนแกไว้ก่อน ที่ย่ายอมให้ผู้หญิงคนนี้เข้ามาทำงานที่โรงพยาบาลก็เพราะแกขอร้อง แล้วก็เห็นว่าครอบครัวเขากำลังลำบาก แต่...”
“ผมทราบครับคุณย่า ผมกับเนตรเราจบกันไปตั้งนานแล้วครับ เราสองคนเป็นแค่เพื่อนกันเท่านั้น” ในเมื่อชายหนุ่มยืนยันหนักแน่น ผู้เป็นย่าก็ค่อยเบาใจ
“ก็ดี...แล้วฉันก็หวังว่าผู้หญิงคนนั้นจะคิดกับแกแค่เพื่อนเท่านั้นนะ บอกตามตรงฉันไม่ค่อยสนิทใจกับผู้หญิงคนนั้นสักเท่าไหร่ ตั้งแต่ที่พยายามจะจับแกด้วยการปล่อยข่าวลือเรื่องกำลังคบหากับแกถึงขั้นจะแต่งงานแต่งการ ไหนจะแสดงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเสียจนน่าเกลียด นี่ยังไม่นับไปเที่ยวไล่จิกนางพยาบาลคนอื่นๆ อีกนะ เหอะ!...” พูดจบสตรีวัยชราก็เดินออกจากห้องทิ้งให้เขมรัฐถอนหายใจหนักๆ ออกมาขณะโทรบอกให้หัวหน้าพยาบาลวีรดานำชาร์จคนไข้มาให้เขาก่อนจะกลับมาครุ่นคิดถึงคำพูดของผู้เป็นย่าอีกครั้งเรื่องของเนตรนภา
ใช่...เขากับเนตรนภาเคยคบกันมาระยะหนึ่งเมื่อไม่กี่ปีมานี้เอง ความสัมพันธ์มันเริ่มต้นขึ้นจากที่หญิงสาวเข้ามาทำงานในโรงพยาบาลในฐานะแพทย์ และเพราะด้วยดวงหน้าที่สวยคมสะดุดตากระมังถึงทำให้เขาพาตัวเองเข้าไปใกล้ชิดและบังเอิญว่าเธอเองก็ ‘เล่นด้วย’ ทำให้ความสัมพันธ์ค่อยๆ พัฒนาไปเรื่อยๆ จนเขาคิดว่าเธอน่าจะเป็นผู้หญิงที่เหมาะสมกับเขามากที่สุด และคงจะทำให้เขาหยุดที่เธอได้ด้วยฐานะทางครอบครัวที่แม้ไม่ได้ร่ำรวยมหาศาลแต่ก็รับราชการกันทั้งพ่อและแม่ การศึกษาที่เรียกว่าแม้ไม่ได้จบแพทย์จากมหาวิทยาลัยชั้นนำแต่ก็ถือว่ามีความทะเยอทะยานในการเรียน หน้าที่การงานนั้นยิ่งไม่ต้องพูดถึง ขึ้นชื่อว่า ‘หมอ’ ย่อมมีภาษีอยู่แล้ว แต่เพราะเธอเข้ามาในวันที่เขาไม่พร้อม และพยายามบีบให้เขาพร้อมด้วยวิธีการต่างๆ ตามล่าตามหึงหวงจนบรรดานางพยาบาลแทบไม่มีใครอยากร่วมงานกับเขา จนในที่สุดเขาก็ทนไม่ไหวและเป็นฝ่ายตัดสัมพันธ์ไป แล้วเธอก็หายหน้าหายตาจากเขาไปพักหนึ่งก่อนที่เมื่อปีที่แล้วเธอก็กลับเข้ามาพร้อมปัญหาครอบครัวที่ผู้เป็นพ่อซึ่งเป็นข้าราชการถูกดำเนินคดีข้อหาทุจริตเงินของทางรัฐที่แม้ผู้เป็นพ่อจะไม่ได้รับราชการตำแหน่งใหญ่โต แต่ก็เป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ทุกฉบับ เธอจำเป็นต้องลาออกจากโรงพยาบาลด้วยความอับอายและยอมแบกหน้ามาขอพึ่งเขาอีกครั้ง ซึ่งแน่นอนว่าในฐานะคนเคยคบหาและในฐานะเพื่อนคนหนึ่งเขาย่อมยินดีจะช่วยเหลือ เพราะนอกจากเห็นแก่เพื่อนแล้ว เขายังเสียดายความรู้ความสามารถของเธอ แน่นอนว่าช่วงที่คบหากัน เขาย่อมได้รู้ถึงความเก่งในการวินิจฉัยโรคที่แสนจะแม่นยำของเธอ...
...การมีหมอเก่งๆ อยู่ในโรงพยาบาล ย่อมเป็นสิ่งที่ดีต่อโรงพยาบาลและผู้ป่วยไม่ใช่หรือ...
“ชาร์จจนไข้ได้แล้วค่ะหมอ” วีรดา นางพยาบาลวัยสี่สิบต้นๆ เข้ามาในห้องพร้อมชาร์จคนไข้ตามคำสั่งของหมอหนุ่มก่อนจะพากันเดินออกจากห้องตรวจโรคเพื่อไปตรวจคนไข้ในความดูแลตามตึกต่างๆ ตามหน้าที่ของหมอ ทิ้งเรื่องของเนตรนภาไว้เบื้องหลัง ให้เป็นเพียงเรื่องราวในอดีต