EP 5 : คิดไม่ตก
พิษร้ายพ่ายรักมาเฟีย : ตอนที่ 5
@มหาวิทยาลัยรัฐบาลแห่งหนึ่ง
"ลิน!!!" เสียงหญิงสาวร้องเรียกชื่อเพื่อนสนิทที่นั่งอยู่หน้าห้องเรียนพร้อมกับรีบเดินด้วยท่าทางกระหืดกระหอบ
"ใจเย็นๆ ไม่ต้องรีบ" ฉันหันไปตามเสียงเรียกของเพื่อนสาวคนสนิททันทีหลังจากได้ยินเสียงเรียก วันนี้ฉันมานั่งรอเรียนเร็วกว่าปกติ เพราะถ้าให้นั่งอยู่ที่ห้องนอนคงคิดแต่เรื่องฟุ้งซ่าน ฉันพยายามคิดหาทางออกแต่มันกลับมืดแปดด้าน
"ทำไมวันนี้มาเร็วจัง"
"วันนี้เราเลิกงานเร็ว"
"เอ๋? ทำไมปิดMaskจนแทบจะถึงตาขนาดนั้นล่ะ" ทิวาเอียงคอถามด้วยความสงสัย
"อ่อ คือ...เราไม่ค่อยสบาย กลัวหวัดจะไปติดคนอื่น" ฉันต้องปั้นคำโกหก เพราะรอยแดงจากแรงตบเมื่อกลางวันยังคงเด่นหราอยู่บนแก้มฉันเหมือนเดิม และเหมือนจะแปลเปลี่ยนเป็นสีแดงอมม่วงช้ำๆแล้วด้วย ถ้าเกิดทิวาเห็นขึ้นมาก็คงกลายเป็นเรื่องใหญ่ ไม่ใช่ทิวาจะไปหาเรื่องผู้หญิงคนนั้นนะ แต่ฉันต้องตอบคำถามเธอไม่รู้จบ ด้วยเครื่องสำอางที่ตัวเองไม่เคยได้สัมผัสมันสักครั้ง ทำให้ฉันหาอะไรกลบรอยพวกนี้ไม่ได้เลย มีเพียงหน้ากากอนามัยที่หาซื้อได้ง่ายที่สุด
"อ๋อๆ ถ้าไม่ไหวบอกเรานะ หรือถ้าง่วงก็ฟุบนอนไปได้ ถ้าอาจารย์ถามเดี๋ยวเราบอกเองว่าลินไม่สบาย"
"ขอบใจน่ะ"
"วันนี้ได้ยินเพื่อนพูดกันว่าจะมีนัดมาวันอาทิตย์เก้าโมงเช้า จะมีบริษัทดังๆมาดึงตัวเด็กเก่งเข้าทำงานตอนเรียนจบ"
"ปีสี่ทั้งรอบปกติและรอบสมทบทั้งหมดอะเหรอ" ฉันถามด้วยความสงสัย เพราะฉันก็พึ่งรู้เรื่องตอนที่ทิวาบอกเนี่ยแหละ ภาคปกติคือนักศึกษาทั่วไปที่มาเรียนตามตารางปกติ ส่วนภาคสมทบคือฉันที่มาเรียนช่วงค่ำ
"ใช่ๆถ้าได้ทำบริษัทพวกนี้คงได้เงินเดือนหลายหมื่นเลย"
"เราไม่ค่อยสนใจเท่าไหร่หรอก คิดว่าจบแล้วจะกลับไปหางานทำที่ต่างจังหวัดดีกว่า อย่างน้อยได้อยู่ใกล้พ่อกับแม่ ได้กินข้าวบ้าน"
"แต่มันคือโอกาสเลยนะลิน ไม่ลองทำไปสักปีสองปีหาประสบการณ์ก่อนล่ะ แล้วค่อยเอาประสบการณ์กลับไป เราสามารถเรียกเงินเดือนเองได้ด้วยนะ ยิ่งเรามาจากบริษัทชั้นนำของประเทศยังไงเงินเดือนก็เรียกได้สบายๆอยู่แล้ว"
"....." คำพูดของทิวาทำเอาฉันนิ่งไป มันถูกอย่างที่ทิวาพูดทุกอย่าง และทุกคนมักทำกันแบบนี้ แต่ยังอีกหลายเดือนกว่าฉันจะจบ ตอนนี้มีเรื่องอื่นที่สำคัญกว่าและฉันยังหาทางแก้ปัญหากับเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ได้
หลายชั่วโมงผ่านไป...
ฉันฟังอาจารย์อธิบายไม่เข้าใจเลยสักคำเดียว ไม่รู้แม้แต่กระทั่งตอนนี้เรากำลังเรียนเรื่องอะไรอยู่ ถึงแม้ฉันจะไม่หลับ แต่สมองฉันมันเหม่อลอยออกไป ตั้งแต่เรียนมาอาการแบบนี้มันพึ่งเคยเกิดขึ้นกับตัวเอง
"เรื่องที่อาจารย์สอนก็มีเท่านี้ แล้วมีอีกหนึ่งเรื่องที่อาจารย์จะแจ้งคือ วันอาทิตย์นี้อยากให้ทุกคนเข้าร่วมสัมมนาของบริษัทยักษ์ใหญ่ที่จะมาเป็นแมวมองหาเด็กของเราร่วมทำงานด้วย ถ้าใครไม่ติดธุระอะไรช่วงเช้าของวันอาทิตย์ก็เข้ามาฟังแนวคิดและวิธีการทำงานของบริษัทใหญ่ๆกัน เวลาอยู่ในองค์กรระดับประเทศเขาทำตัวกันยังไง เห็นว่ามีบริษัทที่มีเครืออยู่ต่างประเทศก็เข้าร่วมสัมมนาครั้งนี้ด้วย มันคือโอกาสที่ทุกคนควรคว้าเอาไว้ ฝากนักศึกษาทุกคนด้วยนะคะ ส่วนอลินดามาพบอาจารย์ที่ห้องพักอาจารย์หน่อยนะ อาจารย์มีเรื่องจะคุยด้วย"อาจารย์พูดด้วยรอยยิ้มก่อนจะเดินออกจากห้องเรียนไป
"คะ?...หนูเหรอคะ" เหมือนได้ยินชื่อตัวเองแว่วเข้ามาในหูก็ทำเอาฉันลุกลี้ลุกลนถามด้วยความสงสัย
"ก็ลินนะสิ จะใครได้ล่ะ อาจารย์เขาบอกให้ลินไปหาที่ห้องพักอาจารย์ เหม่ออะไรอยู่ได้ หรือว่า....ลินมีความรัก" ทิวายิ้มแป้นพยายามหยอกล้อเพื่อนสาว
"บ้าเหรอทิวา เรานี่นะจะมีความรัก"
"ก็เห็นลินเอาแต่เหม่อตั้งแต่อาจารย์สอน จนอาจารย์เดินออกจากห้องไปแล้วลินพึ่งรู้สึกตัว นึกว่าเหม่อถึงแฟนหนุ่มซะอีก"
"ไปกันใหญ่แล้ว เราแค่คิดเรื่องงานนิดหน่อย" ฉันถึงกับส่ายหัวกับสิ่งที่ทิวาพูดเพราะมันไม่เป็นความจริงเลยสักนิด
"โอเคๆ ไม่แกล้งแล้วก็ได้ วันนี้เราต้องรีบกลับบ้านงั้นเราลงไปก่อนนะ เดินกลับห้องคนเดียวระวังๆด้วยล่ะ"
"เดินกลับตั้งแต่ปีหนึ่งจนจะเรียนจบอยู่แล้วไม่ต้องห่วง ทิวาขับรถกลับบ้านดีๆนะ ถึงแล้วไลน์มาบอกเราด้วย"
"รับทราบค่ะแม่"
@ห้องพักอาจารย์
พอทิวาเดินออกจากห้องไปก่อน ฉันก็รีบเก็บของแล้วมาห้องพักอาจารย์ทันที
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
"ขออนุญาตค่ะ" ฉันเคาะประตูสองสามทีก่อนจะเปิดประตูชะโงกหน้าไปขออนุญาต แต่ก็เห็นอาจารย์นั่งรอฉันอยู่ก่อนแล้ว
"เข้ามาอลินดา"
"อาจารย์เรียกหนูมาอีกเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ" ฉันรีบเดินไปนั่งโต๊ะตรงข้ามอาจารย์ด้วยท่าทางนอบน้อมเวลาเข้าหาผู้ใหญ่
"จบแล้วเราอยากทำงานที่ไหนลองคิดไว้บ้างหรือยัง"
"หนูคิดว่าคงกลับต่างจังหวัดไปหางานบริษัทแถวนั้นทำเอาค่ะ อยากอยู่ใกล้พ่อแม่ด้วยค่ะ"
"ตอบแบบนี้เหมือนปิดกั้นโอกาสตัวเองเลยนะอลินดา มันเป็นเรื่องดีที่เราอยากกลับไปอยู่กับพ่อแม่ แต่เราลองเปิดใจอีกนิดถ้าเราทำงานมีเงินเยอะเราจะส่งเสียพ่อแม่ได้สบายๆเลยนะ อาจารย์ไม่ได้บอกว่าบริษัทต่างจังหวัดไม่ดีนะอลินดา แต่อาจารย์นึกถึงอนาคตเราด้วย สวัสดิการต่างๆมันคุ้มไหม ถึงอยู่นี่จะค่าใช้จ่ายสูงแต่ค่าตอบแทนที่ได้มันก็เกินคุ้ม บริษัทใหญ่เขาก็ทำงานจันทร์ถึงศุกร์ ส่วนเสาร์อาทิตย์เราก็กลับไปหาพ่อกับแม่ได้ เดี๋ยวนี้บินชั่วโมงเดียวก็ถึง เพราะเรามีเงินจ่ายค่าเครื่องบินไปกลับแล้วจริงไหม"
"อาจารย์พูดเหมือนมีบริษัทสนใจในตัวหนูเลยนะคะ"
"ไหวพริบของเรานี่แหละที่อาจารย์ชอบ เราสามารถเข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พูดได้"
พรึบ
อาจารย์ยื่นเอกสารมาตรงหน้าฉันด้วยรอยยิ้ม มีทั้งใบเกรดของตัวฉันเอง และเป็นใบรับรองของบริษัทหนึ่งแนบมาด้วย
"อาจารย์เห็นว่าเกรดเฉลี่ยเราดีมาโดยตลอด และเรายังเป็นคนมีความรับผิดชอบสูงไม่เคยขาดลามาสายเลยสักครั้ง อาจารย์เลยลองยื่นชื่อเด็กนักศึกษาที่มีผลการเรียนดีให้กับบริษัทยักษ์ใหญ่ไปพิจารณาเป็นพิเศษก่อน มีหลายบริษัทสนใจเด็กที่อาจารย์ส่งรายละเอียดไปให้ แต่มีบริษัทนี้เขาตอบรับเราเข้าทำงานทันทีเลยนะ ทั้งๆที่อาจารย์พึ่งส่งเอกสารไปวันนี้เอง พอตอนเย็นทางนั้นให้คนมาส่งเอกสารให้ถึงมหาวิทยาลัยเลย สงสัยจะสนใจตัวเราเป็นพิเศษ "
"คะ? หมายถึงรับหนูเข้าทำงานทั้งที่ไม่เคยได้สัมภาษณ์เหรอคะ"
"ใช่จ้ะ บริษัทนี้เป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์มีเครืออยู่ที่ต่างประเทศด้วยนะ อาจารย์เห็นว่ามันเป็นโอกาสที่ดีเราควรคว้าไว้ บริษัทนี้หลายคนอยากเข้าไปทำงานกันทั้งนั้น เงินเดือนหลักแสน"
"สะ แสนเหรอคะ" ฉันเบิกตาโพลงด้วยความตกใจกับเงินเดือนมากมายขนาดนี้ ฉันทำงานเป็นปียังไม่เคยได้จับเงินแสนเลย แต่นี่เดือนเดียวได้หลักแสน
"เขาการันตีเลยว่าเด็กใหม่เข้าไปยังไงก็เริ่มต้นที่หนึ่งแสน"
"เอ่อคืออาจารย์คะ ให้เขามาสัมภาษณ์หนูก่อนดีกว่าไหมคะ ถ้าเกิดเข้าไปทำงานจริงๆแล้วหนูทำไม่ได้มันจะเสียชื่ออาจารย์และมหาวิทยาลัยเปล่าๆนะคะ อีกอย่างหนูไม่มีประสบการณ์อะไรเลย ทุกวันนี้หนูก็ทำหน้าที่เด็กเสิร์ฟทั่วไป นั่งโต๊ะคอมทำงานจริงๆจังๆยังไม่เคยเลยนะคะ"
"ยังไม่ต้องรีบด่วนตัดสินใจ วันอาทิตย์นี้บริษัทนี้เขาก็มาสัมมนาที่มหาวิทยาลัยด้วย ถ้าเกิดสนใจเห็นว่ามันคือโอกาสอาจารย์อยากให้เราคว้าไว้ น้อยคนนะที่ยังไม่ทันจบก็มีที่ทำงานดีๆรองรับแบบนี้"
ฉันได้แต่พยักหน้าตอบรับอาจารย์ สายตาก็จับจ้องอยู่ที่เอกสารตรงหน้า วันนี้มันวันอะไรของฉันกันแน่เนี่ยทำไมมีแต่เรื่องให้คิดไม่ตกสักอย่าง เรื่องก่อนหน้านี้ก็ร้ายซะหมดหนทางแก้ไข แต่อีกเรื่องกลับดีซะจนเกินความคาดหมาย ทั้งสองเรื่องก็ทำเอาเส้นในสมองฉันกระตุกไม่หยุด