EP 1 : สู้ชีวิต
พิษร้ายพ่ายรักมาเฟีย : ตอนที่ 1
“ยืนงงอยู่ได้ ไปกัน ของกินเพียบเลยเยอะจนเลือกไม่ถูก ลินอยากกินอะไรเราเลี้ยง”
“ไม่ต้องเลี้ยงเราหรอก”
“ไม่ต้องปฏิเสธ ไม่ต้องเกรงใจ ถือว่าเป็นค่าครูที่ลินคอยติวข้อสอบให้เรา ถ้าปฏิเสธกันเราก็ไม่กล้าให้ลินติวให้แล้วนะ ชวนไปไหนก็ไม่ไป เลี้ยงข้าวก็ไม่เอา”
“โอเคๆ หยุดบ่นได้แล้ว บ่นซะเรารู้สึกผิดไม่ทันเลย” ฉันต้องรีบพูดแทรก เพราะถ้าปล่อยให้ทิวาบ่นคงยาวกว่านี้แน่นอน
ทิวาและฉันพากันเดินไปตามทางถนนคนเดิน ลองชิมนั่นชิมนี่ไปเรื่อยๆ ส่วนใหญ่ทิวาจะอยากกินไปซะทุกอย่าง และคนอย่างฉันก็ไม่เคยขัด ฉันเป็นคนกินง่าย อะไรก็ได้ เรียกได้ว่าอร่อยไปซะทุกอย่าง อย่างว่าชีวิตคนจนจะเลือกกินแบบคนรวยไม่ได้ มีอะไรให้กินนั่นแหละของอร่อย
1 ชั่วโมงต่อมา…
“อิ่มจนจะคลานกลับบ้านอยู่แล้ว” ทิวาบ่นอุบพลางใช้มือลูบท้องตัวเอง
“ก็แหงล่ะ ชิมกันแทบทุกร้าน ไม่อิ่มก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว” ริมฝีปากบางระบายยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของเพื่อนสาว
“งั้นเดี๋ยวเราขับรถไปส่งลินที่หน้าหอพักนะ มันดึกแล้วเดินกลับคนเดียวอันตราย”
“ไม่เป็นไร ใกล้แค่นี้เอง อีกอย่างคนก็ยังพลุกพล่าน นักศึกษาบางคนก็ยังเดินไปเดินมาไม่เห็นอันตรายเลย เรากะว่าจะเดินย่อยสักหน่อย ถ้ากลับไปนอนมีหวังท้องอืดแย่เลย”
“เอาไงก็เอา เราไม่บังคับลินแล้วล่ะ แค่ลินมาเดินเที่ยวกับเราก็ดีใจจะแย่อยู่แล้ว”
“งั้นแยกกันตรงนี้เลยละกัน พรุ่งนี้เจอกัน” ฉันโบกมือลาเพื่อนสนิทและแยกย้ายกันกลับ
ฉันพักอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัย เน้นเดินทางสะดวกไม่เน้นอยู่สบาย เรียกได้ว่ากลับจากงานสามารถเข้าห้องพักเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดนักศึกษาและเดินมาเรียนช่วงค่ำได้สบาย ไม่ต้องรีบอะไร
แกร่ก
แอ่ดดดด…
มันคือเสียงประตูห้องของฉันเองเวลาเปิดและปิด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าอพาร์ตเมนต์ที่ตัวเองอยู่มันสภาพเป็นแบบไหน อพาร์ตเมนต์นี้ถือว่าราคาถูกสุดในบรรดาย่านนี้แล้ว ถึงแม้จะไม่มีความปลอดภัยสักอย่าง แต่เรื่องลักขโมย จี้ปล้นก็ไม่เคยมี โชคดีที่นี่ยังมีเตียงเหล็กธรรมดากับตู้เสื้อผ้าให้ นอกนั้นก็ต้องขนมาเอง และไม่มีแม้แต่เครื่องปรับอากาศ ระบบของห้องฉันคือพัดลมเท่านั้น มันคือที่ซุกหัวนอนของจริง มีไว้นอนกับอ่านหนังสืออย่างเดียว เพราะไม่มีเวลาจะมานั่งชิลล์จิบกาแฟสวยๆอยู่ในห้อง ตื่นเช้าทำงาน ตกเย็นมาเรียนอีก ตกดึกถ้ามีสอบก็อ่านหนังสือ
อลินดารีบจัดการกับตัวเอง เปลี่ยนเสื้อผ้า อาบน้ำสระผมให้เรียบร้อย และเข้านอนให้เร็วที่สุด ช่วงนี้เป็นช่วงที่พึ่งเปิดเทอมได้ไม่นานไม่ต้องอ่านหนังสือเตรียมสอบ เวลานอนของเธอเลยมีมากขึ้น
เธอสามารถใช้เวลาจัดการตัวเองในเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
ฟุ่บ
หญิงสาวร่างเล็กล้มตัวลงนอนบนเตียงฟูกแข็งราวกับไม้กระดาน
“เฮ้อออ…คิดถึงพ่อกับแม่จัง อีกเทอมเดียวลินจะกลับไปหางานทำแถวบ้านเรานะจ๊ะ” ดวงตากลมโตมองรูปภาพที่ติดอยู่ที่ผนังกำแพง เป็นภาพฉันกับพ่อแม่ถ่ายรูปด้วยกัน ฉันยังจำวันนั้นได้ดี เป็นวันที่ฉันจบมัธยมปลาย พ่อกับแม่ถือช่อดอกไม้เล็กๆที่พอจะหาซื้อได้มายื่นให้… “ฮึก อึก…วันนั้นลินก็ร้องไห้แบบนี้ใช่ไหมจ๊ะ แค่ลินเห็นดอกไม้ช่อนั้นน้ำตามันก็ไหลออกมา พ่อกับแม่ก็รีบกอดลินและเราก็กอดกันร้องไห้ทั้งสามคนเลย อึก…ฮึก ลินอยากกลับบ้าน…แต่ลินจะไม่ทำให้พ่อแม่ต้องขายขี้หน้าใคร ลินต้องกลับไปพร้อมกับใบปริญญา อึก…”
เปลือกตาที่หนักอึ้งค่อยๆปิดลง ใบหน้าหวานยังเลอะไปด้วยคราบน้ำตา
ติ้ด ติ้ด ติ้ด…เสียงนาฬิกาปลุกต้อนรับเช้าวันใหม่
"อื้อ..." เสียงในลำคอดังขึ้นเบาๆ เมื่อถูกปลุกให้ตื่น ต่อให้ทุกวันต้องตื่นเช้าก็ยังไม่ชินอยู่ดี ร่างกายต้องการการพักผ่อนแบบนอนทั้งวัน แต่ก็ได้แค่ฝัน ดวงตากลมโตมองนาฬิกาที่วางอยู่ไม่ไกลบ่งบอกว่าเป็นเวลาเจ็ดโมงเช้าแล้ว
"ลาออกจากชื่ออลินดาสักวันได้ไหม" ลินบ่นตัวเองด้วยน้ำเสียงงัวเงีย ต่อให้ฉันบ่นยังไงสุดท้ายก็ลุกไปทำธุระส่วนตัวอย่างเช่นเคย และรีบไปทำงาน
หนึ่งชั่วโมงผ่านไป...ร่างบางกำลังประทินโฉมอยู่หน้ากระจกเงาหลังจากอาบน้ำแต่งตัวเรียบร้อยแล้ว เธอสวมชุดยูนิฟอร์มของร้านอาหารที่ตัวเองทำเลยเป็นเสื้อโปโลที่มีโลโก้ของร้านกับกางเกงขายาวสีดำเท่านั้น และรวบผมเป็นหางม้าเพื่อความเรียบร้อย ใบหน้าหวานมีเพียงแป้งเด็กตบๆเข้าที่ใบหน้าและลิปมันเปลี่ยนสีทำให้ปากดูชมพูระเรื่อ
"ไปๆ เดี๋ยวสาย"
@ร้านอาหารสุดหรู
"เฮ้อ..." ฉันถอนหายใจออกมาเบาๆ เมื่อมาถึงร้านอาหารสุดหรูที่ฉันทำงานอยู่ และนี่ก็คืออาชีพอีกหนึ่งอย่างที่ฉันทำมาตั้งแต่ปีหนึ่งคืออาชีพเด็กเสิร์ฟ ต่อให้เรียนมหาวิทยาลัยใช่ว่าจะได้ทำงานดีๆเพราะยังไม่ได้จบแบบจริงๆจังๆ ร้านอาหารนี้อยู่ไม่ไกลจากที่พักตัวเอง นั่งรถเมล์ต่อเดียวก็ถึง ฉันต้องมาเปิดร้านก่อนคนอื่นเพราะขอกับเจ้าของร้านไว้ว่าต้องกลับไปเรียนภาคค่ำ และเจ้าของร้านก็ใจดีกับฉันเสมอมา ให้ฉันมาเร็วและเลิกงานเร็วทำให้ไปเรียนทัน
ร้านอาหารที่ฉันทำเป็นระดับห้าดาว เรียกได้ว่าผู้คนที่มานั่งกินกันที่ร้านก็บรรดาคนมีเงิน และต้องจองล่วงหน้าเพราะมีเพียงสิบโต๊ะเท่านั้น แบ่งสัดส่วนชัดเจนไม่ต้องกลัวว่าโต๊ะอื่นจะรู้ ฉันรู้แค่ว่าคนมาที่นี่มักมาคุยกันแบบส่วนตัว และฉันก็มีหน้าที่แค่นำอาหารไปวางไว้ที่โต๊ะ และเก็บจานในตอนที่แขกกลับแล้วเท่านั้น
"มาเช้าขนาดนี้ มาเป็นรปภ.แทนลุงไหมลูก"
"ไม่อยากแย่งหน้าที่คนหล่อหรอกค่ะ" ฉันตอบกลับลุงรปภ.ที่คอยดูแลร้านอาหารแห่งนี้ด้วยรอยยิ้ม ฉันกับลุงรปภ.จะเจอกันทุกเช้า จนกลายเป็นว่าฉันสนิทกับแกไปแล้ว
"พูดจาน่าฟังแต่เช้า" ลุงรปภ.ยิ้มชอบใจกับคำพูดของเด็กสาว
หลังจากพูดคุยกับลุงรปภ.ฉันก็ต้องรีบมาจัดเตรียมทุกอย่างภายในร้านก่อนที่พนักงานคนอื่นจะเข้างาน ถึงจะไม่ใช่หน้าที่ตัวเองแต่ก็ช่วยเหลือกัน เพราะตอนฉันเลิกงานร้านยังไม่ปิด และพอปิดร้านคนอื่นต้องเก็บของเข้าที่แทนฉัน
"มาเช้าจังเลยลิน"
"สวัสดีค่ะพี่ดาว มาเตรียมของแทนพี่ๆเขาเหมือนเดิมแหละค่ะ ตอนปิดร้านลินไม่ได้อยู่ช่วยพี่ๆเขา" ฉันรีบยกมือไหว้เจ้าของร้านอาหารด้วยท่าทางนอบน้อม ผู้หญิงวัยกลางคนตรงหน้าเป็นเหมือนญาติของฉันอีกคน เพราะดูแลฉันดีมาก ฉันสามารถตักข้าวที่ร้านกลับไปกินที่ห้องได้ ถือว่าประหยัดเงินค่าข้าวไปได้เลยทีเดียว เพราะพี่ดาวอนุญาตรู้ว่าฉันเป็นเด็กต่างจังหวัดและส่งตัวเองเรียน แต่ก็ไม่ได้เลือกปฏิบัติแค่ฉันคนเดียว คนอื่นก็สามารถทำได้เหมือนกัน ไม่งั้นป่านนี้ฉันคงโดนนินทาไปแล้ว
"ขยันตั้งแต่วันแรกจนถึงตอนนี้เลยนะเรา ว่าแต่นี่อยู่ปีสี่แล้วอีกนิดเดียวก็จะจบมองหาที่ทำงานดีๆหรือยังล่ะ"
"ก็ดูๆไว้หลายที่แล้วค่ะ แต่เป็นแถวบ้านที่ต่างจังหวัด ลินอยากกลับไปอยู่กับพ่อแม่แต่ไม่รู้เขาจะรับลินไหม อีกอย่างลินยังอยากทำงานที่นี่อยู่เลย คงใจหายเหมือนกันถ้าออกไปทำงานอื่น"
"อย่าคิดแบบนั้น ลินเป็นเด็กเก่งพี่เชื่อว่าทางโน้นต้องรับลินแน่นอน เราต้องก้าวหน้ามากกว่านี้นะลิน การที่ลินเรียนถึงปริญญาตรีจะมาเป็นแค่เด็กเสิร์ฟไม่ได้นะ ไปเติบโตข้างนอกเถอะเชื่อพี่"
"ค่ะ ขอบคุณนะคะที่สอนลิน" พี่ดาวมักสอนฉันแบบนี้เสมอ
"พี่จะมาบอกว่าวันนี้จะมีแขกคนสำคัญมาทานที่ร้านนะจ๊ะ เขาจะนั่งโซนในสุดของร้าน พี่บอกเด็กๆคนอื่นไว้เมื่อคืนหมดแล้ว เหลือแค่เรานี่แหละที่พี่ไม่ได้บอก"
"ทุกทีร้านเราก็มีแต่คนพิเศษมาทั้งนั้นไม่ใช่เหรอคะ" ฉันไม่ได้กวนพี่ดาวนะ แต่ร้านที่ฉันทำมันต้องคนยศสูงๆ มีหน้ามีตาทางสังคม มันคือเรื่องปกติอยู่แล้ว
"แต่คนนี้พิเศษกว่าทุกคนที่เคยมาจ้ะ เขาสั่งเหมาทั้งร้านเลย และจะมาช่วงเที่ยงนี้แหละ เราก็อย่าทำอะไรพลาดล่ะ อ่อ!แล้วอีกอย่าง ถ้าเห็นอะไรก็ไม่ต้องไปพูดต่อน่ะ"
"ค่ะ" ฉันพยักหน้าตอบอย่างงงๆ เอาจริงๆแค่จะมากินข้าวทำไมต้องกำชับขนาดนี้ แล้วเหมาทั้งร้านด้วย เอาจริงๆอาหารร้านนี้ก็ไม่ใช่จะถูกๆ แต่เพียงโต๊ะเดียวก็จ่ายเป็นหมื่น ถ้าเขากล้าเหมาทั้งร้านก็ต้องเหมือนเหมาค่าอาหารของโต๊ะที่เหลือไปด้วย ร้านจะไม่สามารถรับลูกค้าคนอื่นมานั่งได้เพราะต้องปิดต้อนรับเขาแค่คนเดียว แต่ช่างเหอะฉันก็ทำหน้าที่ตัวเองให้ดีที่สุด ก็แค่เสิร์ฟอาหารไม่ทำให้อาหารหกใส่แขกแค่นั้น