เเม่ทัพหลิ่งกวาง
เมืองหลวง
"ดูเเลตัวเองดีๆ…เเล้วเจอกันใหม่'' ข้ากล่าวก่อนที่ทั้งสามชีวิตจะออกไปจากป่าเเละพุ่งเข้าไปในเมืองหลวง นั่นก็คือเจ้าเสือขาว หลินเฟยที่นั่งอยู่บนหลังของเสือขาวเเละคนสุดท้ายก็คือเหวินเจี้ยน เขาต้องการที่จะไปลาออกจากตำเเหน่งเเม่ทัพ เเละจะเป็นผู้ติดตามของข้าอย่างเต็มตัว เขามั่นใจว่าข้าจะสามารถพาเขาไปทำอะไรที่น่าเหลือเชื่อเเละช่วยผู้อื่นได้มากกว่าเป็นเเม่ทัพที่รับคำสั่งจากพวกขุนนางชั้นสูง
"ท่านก็เช่นกัน'' เหวินเจี้ยนคำนับให้ข้าก่อนจะออกตัวตามทั้งสองไป
"หลบไป!!!'' เมื่อถึงบริเวณหน้าเมืองเหวินเจี้ยนก็ได้ตะโกนเสียงดังในทันที ทำให้ขบวนที่รอคัดคนเข้าเมืองต่างเเตกตื่นเเละเเยกทางให้กับทั้งคู่ ซึ่งเมื่อทหารเฝ้าเมืองรับรู้ว่าคนที่เสียงดังรวมถึงบุคคลที่ขี่อสูรระดับสัตว์ประหลาดขั้นสูงเป็นใครถึงกับหลีกทางเเละได้ส่งสัญญาณเรียกทหารมาช่วยคุ้มกัน
"หึ…'' ข้าหัวเราะออกมาเล็กน้อยก่อนที่จะเปลี่ยนร่างเป็นเล่อปิง รวมถึงชุดของข้าเเละสิ่งที่เกี่ยวข้องกับร่างโพธิ์ดำทั้งหมด เก็บเข้าไปในเเหวนมิติ
“เเม้เเต่พวกเเม่ทัพก็เข่าร่วมกับฝ่ายองค์ชายลำดับที่หนึ่ง”
"ก็ได้…เช่นนั้นเเล้วพวกเจ้าต้องเจอกับข้าสักหน่อย'' ข้ากล่าวเมื่อได้รับรู้หลายๆอย่างระหว่างเดินทางมาที่นี่จากหลินเฟยเเละเหวินเจี้ยน ซึ่งเหวินเจี้ยนเป็นเเม่ทัพคนเดียวที่ไม่ยุ่งเกี่ยวเรื่องราชวงศ์ เขาถอนตัวออกมาช่วยเหลือประชาชนอย่างสุดความสามารถ โดยที่เขาไม่สามารถเข้าไปช่วยหลินเฟยเฟิ่งได้เช่นกัน เพราะโดนเเม่ทัพทั้งสามเเละเหล่าขุนนางขู่มาอีกที
ณ วังหลวงราชวงศ์หลิน
"เจ้าทราบหรือไม่ว่ากลุ่มใดที่ไล่ล่าพวกเจ้า?'' ฮ่องเต้ที่นั่งอยู่ที่พำนักสูงสุดกล่าวถามลูกชายของตนที่เพิ่งจะบาดเจ็บกลับมา ซึ่งทั้งชุดที่ขาดเเละบาดแผลพวกนั้นต่างเป็นเล่อป๋อที่สร้างมันขึ้นมา โดยที่เล่อป๋อได้สะกดจุดให้ข้าไม่เจ็บชั่วครู่ ในตอนนี้ถึงเเม้ข้าจะเห็นพวกพี่ๆมีสีหน้านิ่งเฉย เเต่ในใจกลับมีหลากหลายอารมณ์นัก ส่วนหลินเฟยเฟิ่งที่เห็นข้ากลับมาที่วังหลวงอย่างปลอดภัยพร้อมกับเหวินเจี้ยนก็ยกยิ้มทันที
“ส่วนเจ้า…เเม่ทัพเหวินเจี้ยน”
“เจ้าเป็นหนึ่งในสี่…ของคนที่เเข็งเเกร่งที่สุดของกองทัพ”
"ถ้าหากเสียเจ้าไป…ก็เหมือนเสียกำลังหลักในการโค่นเทพอสูรลง'' ฮ่องเต้กล่าวพยายามยื้อไม่ให้เหวินเจี้ยนออกจากการเป็นเเม่ทัพ
“ข้าน้อยยังคงยืนยันเช่นเดิม…"
“เเละข้าน้อยต้องการไปตามหาศิษย์เซียนสวรรค์”
"ศิษย์เซียนสวรรค์เขาได้ช่วยชีวิตข้าน้อยเเละองค์รัชทายาทหลินเฟยเอาไว้ในป่า”
“เขาพยายามยื้อศัตรูเอาไว้จนภาพสุดท้ายที่ข้าน้อยเห็นคือท่านศิษย์เซียนสวรรค์บาดถูกโจมตีจนบาดเจ็บ”
"ชีวิตนี้ข้าน้อยต้องตอบเเทนบุญคุณเขาให้ได้!'' เหวินเจี้ยนกล่าวอธิบาย ซึ่งทำให้หลินเฟยเฟิ่งหุบยิ้มลงเเละคิดอะไรหลายๆอย่าง เเละทำให้ฮ่องเต้ถึงกับตกใจ เพราะศิษย์เซียนสวรรค์เขาจะเป็นเเสงสว่างของมนุษย์ที่จะเป็นคนทำลายเทพอสูร เเต่เขากลับมาบาดเจ็บเพราะช่วยชีวิตรัชทายาท ถ้าหากเขาตาย อีกกี่ร้อยปีจะมีคนอย่างเขา?
“เเม่ทัพเหวินเจี้ยน…เช่นนั้นเเล้วเจ้าก็มิจำเป็นต้องออกจากการเป็นเเม่ทัพ"
“เจ้าสามารถอยู่ต่อเเละขอลาไปช่วยเหลือศิษย์เซียนสวรรค์ได้”
"หรือต่อสู้เคียงข้างเขาในฐานะเเม่ทัพก็ได้'' ฮ่องเต้กล่าวออกมาพยายามยื้อบุคคลที่มีความสามารถอย่างเหวินเจี้ยนให้อยู่ต่อ เพราะฮ่องเต้เองก็มีแผนว่าจะดึงเขาเข้ามาร่วมฝ่ายเดียวกับหลินเฟยเฟิ่ง
“กราบเรียนฝ่าบาท…ในตอนที่ข้าพ่ายเเพ้ให้กับศิษย์เซียนสวรรค์”
"ข้าก็ได้กลายเป็นผู้ติดตามของเขาไปเเล้ว!''
"ข้าไม่สามารถเป็นเเม่ทัพได้อีก…ข้าไม่มีคุณสมบัติเพียงพอ!'' เหวินเจี้ยนกล่าว เขายังคงปฏิเสธฮ่องเต้อย่างต่อเนื่อง ก็ใช่ว่าฮ่องเต้จะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเหวินเจี้ยน เขาถูกบีบบังคับมาหลายครั้งเเละเอือมระอากับการกระทำของเหล่าขุนนาง
“หากเจ้ายืนยันเช่นนี้…ข้าก็จะไม่ยื้อเจ้าอีกต่อไป”
"ที่ผ่านมาข้าในนามฮ่องเต้…ขอขอบคุณเจ้าที่ช่วยเหลือราษฎรมาตลอด!'' ฮ่องเต้กล่าวพร้อมกับเหวินเจี้ยนที่คำนับให้กับฮ่องเต้
"เช่นนั้นเเล้วเราต้องการเเม่ทัพคนใหม่โดยเร็ว…เมืองเฟยเทียนกำลังถูกกดดันอย่างหนัก'' ฮ่องเต้กล่าวเผื่อใครจะมีความคิดดีๆ
“ข้าคิดว่าควรจัดงานประลองขึ้น”
"ผู้ชนะจะได้เป็นเเม่ทัพ'' หลินเฟยกล่าวออกมา ซึ่งเเน่นอนว่าไม่มีใครเเย้ง กลับกันพวกองค์ชายที่เหลือต่างยิ้มอยู่ในใจ ถ้าเป็นเช่นนี้เเล้วพวกเเม่ทัพก็จะถูกพวกเขาควบคุมทั้งหมด เพราะเขาจะให้คนของเขาเข้างานประลองเเละช่วยกันผลักดันให้ได้รับตำเเหน่งเเม่ทัพ
‘เเบบนี้…’ หลินเฟยเฟิ่งรู้สึกกดดันเป็นอย่างมาก ถ้าหากเเม่ทัพทั้งสี่คนสนับสนุนองค์ชายลำดับที่หนึ่ง พวกเราเเย่เเน่
"เป็นตามนั้น''
"อีกสามวันเราจะจัดการประลองขึ้น!'' ฮ่องเต้กล่าวจบก็ทรงรับส่งให้เตรียมจัดงานให้ทันที
"ขอบคุณท่านเเม่ทัพที่ช่วยดูเเลรัชทายาท'' เมื่อจบการพูดคุยหารือกัน หลินเฟยเฟิ่งก็ได้เข้าไปขอบคุณเหวินเจี้ยนพร้อมกับหลินเฟย
"มันเป็นหน้าที่สุดท้ายของข้าน้อย'' เหวินเจี้ยนคำนับให้กับองค์หญิงหลินเฟยเฟิ่ง
"ศิษย์เซียนสวรรค์…ข้าฝากท่านช่วยตามหาเขาด้วย'' หลินเฟยเฟิ่งกล่าว นางเองก็ยังไม่ทราบว่าสิ่งที่น้องชายของนางเล่านั้นเป็นเรื่องใจหรือเรื่องเเต่งขึ้น
"มิต้องห่วง'' เหวินเจี้ยนกล่าวก่อนจะมองตาของหลินเฟยเฟิ่งเเละพยักหน้าให้เล็กน้อย ทำให้นางยิ้มออกมาทันที เช่นนี้เเสดงว่าศิษย์พี่ใหญ่ของนางกำลังสร้างแผนการอะไรบางอย่างขึ้นมา เมื่อกลับที่พำนักเเล้วหลินเฟยน่าจะเล่าให้ฟังอย่างเเน่นอน
"เช่นนั้นข้าขอตัว'' หลินเฟยเฟิ่งกล่าวก่อนจะเดินกลับไปยังที่พำนักของนาง ส่วนรัชทายาทหลินเฟยถูกฮ่องเต้เรียกพบเพื่อพูดคุยเป็นการส่วนตัว
ผ่านไปสามวัน
"จอมยุทธ์ทั้งหลายเข้าสนามประลองได้!'' เสียงประกาศของเเม่ทัพคนนึงดังลั่น เขาก็คือเซียนหอก ถ้าหากเป็นวิชาหอกเเล้วเขาไม่เคยเเพ้ใคร ทั้งเขายังมีขั้นบ่มเพาะในระดับไร้เทียมทานขั้นสี่อีกด้วย ซึ่งกฏในการประลองครั้งนี้ก็คือต้องมีขั้นบ่มเบาะระดับผู้ครอบครองขึ้นไป เเละอายุไม่มากกว่าสามสิบห้าปี
"นางมาทำอะไรกัน?'' หลายคนสงสัยเมื่อได้เห็นหญิงสาวที่เข้ามาในสนามประลองด้วย ซึ่งสนามประลองนี้ก็คือสถานที่ฝึกองครักษ์นั่นเอง มันใหญ่มากๆ ซึ่งก็จะมีเหล่าขุนนางจนไปถึงฮ่องเต้ชมอยู่ข้างบนกำแพง
"มีหญิงสาวด้วยงั้นรึ?'' เหล่าองค์ชายพากันกล่าวเเละพูดคุยเกี่ยวกับนาง เเต่ในตอนนี้นางยังคงใช้ผ้าปิดปากอยู่ ทำให้ไม่สามารถเห็นหน้าตาอย่างชัดเจน
'นางช่างคุ้นเคยยิ่งนัก?' หลินเฟยเฟิ่งคิดในใจเมื่อใช้ปราณมองดูนางจากระยะไกล ซึ่งหลินเฟยเฟื่งเริ่มรู้สึกถึงปานโพธิ์ดำ
"เพื่อความว่องไว…เราจะมีเพียงสองบททดสอบเท่านั้น!''
“หนึ่งคืออยู่รอดบนสนามประลองให้ได้คนสุดท้าย”
“เเละสองเมื่อยืนอยู่บนสนามประลองเป็นคนสุดท้าย”
"เจ้าจะต้องเเสดงฝีมือกับหนึ่งในเเม่ทัพทั้งสาม!'' เซียนหอกเป็นคนกล่าว ทำให้เหล่าผู้เข้าร่วมไม่พอใจกัน เพราะถ้าหากพลาดเพียงเล็กน้อยอาจจะตกสนามประลองและถูกตัดสิทธิ์ไปเลยก็ได้ เพราะศัตรูมีรอบทิศ
"เเม่นาง…ข้าว่ามันอันตราย…'' มีคนเข้าไปกล่าวกับเเม่นางคนนั้น เเต่นางก็ไม่ได้สนใจเขาเเม้เเต่น้อย กลับกันนางหยิบกระบี่ไม้ออกมาถือเตรียมไว้
"เริ่มได้!'' เซียนหอกกล่าวเพื่อไม่ให้มีการจับกลุ่มกันเกิดขึ้น เเละใช้ในตอนนี้ทั้งสนามประลองนัวเนียกันสุดๆ เพราะมีผู้คนมาสมัครกันเกือบหนึ่งพันคน โดยการวัดปราณที่ต้องมากกว่าระดับผู้ครอบครองขึ้นไป
‘งั้นหรือ…มีเพียงสามคน'' ข้ากล่าวเมื่อสัมผัสได้ถึงผู้เเข็งเเกร่งทั้งสามคนบนสนามประลอง หนึ่งคนสวมชุดมิดชิด อีกหนึ่งคือชายร่างใหญ่โต ส่วนคนสุดท้ายคือนักดาบ ดูเหมือนในสามคนนักดาบผู้นี้จะเเข็งเเกร่งมากที่สุด โดยที่ข้านั้นคิดในใจระหว่างหลบการโจมตีของพวกบ้ากาม พวกมันหยายามจะเเตะเนื้อต้องตัวข้าให้ได้
"นางมีทักษะที่ดี…'' เเม่ทัพที่เเข็งเเกร่งที่สุดกล่าวออกมา เขาคือมือกระบี่ที่เคยเป็นศิษย์หลักของนิกายกระบี่เทพ เเละได้ฉายาว่ากระบี่นภา เขามีขั้นบ่มเพาะในระดับไร้เทียมทานขั้นที่ 8
"หลิ่งกวาง…เจ้าก็คิดเช่นเดียวกับข้าใช่หรือไม่?'' เซียนหอกกล่าว พวกเขาทั้งคู่ต่างคิดว่าหญิงสาวผู้นี้จะต้องเป็นตัวเต็งในการประลองนี้อย่างเเน่นอน
‘ข้าต้องกำจัดเขาออกไปให้ไวที่สุด’ ข้าคิดในใจเกี่ยวกับชายที่ถือดาบคนนั้น เหวินเจี้ยนได้กล่าวไว้ว่าเขาคนนั้นคือคนของฝ่ายองค์ชายลำดับที่หนึ่ง
ฟึบ ฟิ้ววว
ข้าพุ่งตรงไปหาเขาในทันทีด้วยความเร็วสูงสุด ทุกคนถึงกับอึ้งในความเร็วของข้า เเละเมื่อเขาสัมผัสได้ถึงการมาของข้าเขาถึงกับเตรียมตัวรับการปะทะของข้าในทันที
"ผ่า…จันทรา!'' ข้าใช้ทักษะที่คุ้นเคยใส่เขา ซึ่งทำให้เขาที่ไม่รู้จักวิชานี้ไม่สามารถวางดาบเพื่อรอรับกระบี่ของข้าได้
ตุบ ฟิ้ววววว ตู้มม
ข้าได้ใช้ปราณห่อหุ้มกระบี่ของข้าก่อนกระบี่ไม้ของข้าจะถึงดาบของเขา ข้าคิดว่าดาบของเขาน่าจะเเข็งเเรงเเละทนทานอย่างมากถึงมันไม่หักเมื่อต้องปะทะกับกำลังเเละดาบไม้ของข้า ซึ่งเเน่นอนว่าเมื่อครู่ข้าก็ใส่ไปเต็มเเรงเช่นกัน เเต่ข้าทำได้เพียงให้เขาปลิวออกไปจากสนามประลองเเละปลิวไปติดอยู่ตรงกำเเพง กำเเพงที่พำนักของเหล่าองค์ชายถึงกับสั่นสะเทือนเลยทีเดียว
“บะ…บ้าน่า!' หลายคนไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง เมื่อครู่หญิงสาวผู้นี้เป็นคนทำงั้นหรือ? หญิงสาวร่างบอบบางนี้เนี่ยนะ?
"เสียเวลา'' ข้ากล่าวก่อนจะเรียกปราณออกมาห่อหุ้มดาบอีกครั้ง จนครั้งนี้มันหนาเเน่นกว่าเมื่อครู่เสียอีก
"คลื่นสวรรค์!'' ข้าได้ใช้ทักษะอีกครั้งพร้อมกับคลื่นปราณสีฟ้าที่กำลังกวาดล้างเหล่าจอมยุทธ ถึงเเม้ปราณของข้าจะไม่ได้อยู่ในระดับสูง เเต่ข้าเชื่อว่าพวกเขาไม่สามารถรับเเรงจากคลื่นดาบของข้าได้อย่างเเน่นอน
ฟุบๆๆ
เเละก็เป็นอย่างที่คิด คลื่นสวรรค์ของข้าได้กวาดพวกเขาบางส่วนตกลงไปจากสนามประลอง การโจมตีของข้าเพียงครั้งเดียวสามารถกวาดล้างพวกเขาได้เกือบร้อยคน เหล่าองค์ชายเเละเเม่ทัพถึงกับนั่งไม่ติด ฮ่องเต้ให้ความสนใจกับข้ามาก ส่วนหลินเฟยเฟิ่ง…
‘พี่ใหญ่…’ นางยกยิ้มออกมาเมื่อได้เห็นทักษะของข้าเมื่อครู่นี้
‘พวกเขามีขั้นบ่มเพาะในระดับเดียวกับข้าซะส่วนใหญ่’
‘เเต่พวกเขาไม่ได้มีร่างกายที่เเข็งเเกร่งเช่นข้า’
‘เพราะฉะนั้นเเล้วข้าไม่ว่างมาเล่นปราณกับพวกเจ้าหรอกนะ’ ข้าคิดในใจก่อนที่จะตั้งท่าอย่างสงบนิ่ง
"นางจะทำอะไร!?''
"ข้าไม่เอาด้วยเเล้วไปดีกว่า!!'' เหล่าจอมยุทธที่เห็นข้าตั้งท่าเตรียมอย่างสงบ พวกเขาจึงคิดว่าทักษะของข้าในครั้งนี้คงจะรุนเเรงกว่าที่ผ่านมาอย่างเเน่นอน ทำให้พวกเขาพากันกระโดดลงไปจากสนามประลองด้วยตัวเอง เหลือเพียงสองคนนั้นเเละอีกไม่กี่สิบคน
‘เจ้ายักษ์นั่นเป็นหนึ่งในพวกองค์ชาย’
‘ส่วน…’ ข้ามองพยายามจับปราณของอีกคนนึง ซึ่งข้าก็ได้รับรู้ทันทีว่าเขาไม่ใช่ชาย เเต่เป็นหญิงเเท้ โดยที่นางมีระดับบ่มเพาะอยู่ที่ผู้ครอบครองขั้นที่สอง นางเป็นอัจฉริยะที่เหนือกว่าองค์ชายลำดับที่หนึ่งเสียอีก เเต่ด้วยจิตวิญญาณอันเเข็งเเกร่งของนางทำให้ข้ามั่นใจว่านางน่าจะเเข็งเเกร่งว่าระดับบ่มเพาะที่นางมี
"ตัดอากาศ!'' ข้าใช้ทักษะ ซึ่งในครั้งนี้ข้าได้พุ่งออกไปด้วยความเร็วในพริบตา ขนาดที่เหล่าเเม่ทัพอาจจะไม่สามารถมองเห็นทันได้ เมื่อข้าไปยังข้างหน้านางข้าจึงหยุดลง ปรากฏคนที่ข้าผ่านมาพวกเขาล้มลงไปนอนบนพื้น ข้ามั่นใจว่าอย่างน้อยจะต้องมีซี่โครงหักกันบ้างคนละหนึ่งท่อน ส่วนเจ้ายักษ์ข้าจัดหนักให้มันเลยทีเดียว มันล้มลงพร้อมกับรอยฟกช้ำตามร่างกายเต็มไปหมด กระบี่ของข้ามิได้ตัดหรือเฉือนร่างกายคน เเต่กระบี่ไม้ของข้ามีปราณอันเเข็งเเกร่งหุ้มอยู่ พร้อมกับเเรงของข้าที่สามารถฟันให้เหล็กงอหรือหักได้เลยทีเดียว
‘นางคงจะเป็นธิดาของเเม่ทัพหลิ่งกวาง’
‘แม่นางหลิ่งจี’ ข้าคิดในใจ นางเป็นหนึ่งในบุคคลที่มีพรสวรรค์เป็นอย่างมาก นางได้สืบทอดวิชาดาบมาจากพ่อของนาง นางจึงไม่ต้องไปร่ำเรียนที่นิกายกระบี่เทพด้วยตัวเอง พ่อของนางหวังจะให้นางมารับตำเเหน่งเเม่ทัพเเทนตนเองเมื่อนางพร้อม ด้วยสายลมที่รุนเเรงของนางทำให้นางโดดเด่นมากในเหล่าผู้ใช้ธาตุลม
"ข้าเห็นเจ้าเป็นหญิงเหมือนกัน…เจ้าจงลงไปเถิด'' ข้ากล่าว เพราะถ้าหากข้าทำอะไรนางข้าอาจจะต้องมีปัญหากับเเม่ทัพหลิ่งกวางในตอนนี้ก็เป็นได้ เขาเป็นเเม่ทัพที่เเข็งเเกร่งที่สุดในตอนนี้