ความเเข็งเเกร่งของข้า...
หลายวันผ่านไป
‘ในที่สุดนางก็หายดีเเล้ว’
‘เเต่ชื่อเสียงของข้านี่สิ…ดังไปทั่วสี่เมืองเเล้วมั้ง’
‘ก็นั่นล่ะนะ…ศิษย์เซียนสวรรค์…ผู้นำพาเเสงสว่างมาให้เหล่ามนุษย์' ข้าคิดในใจหลายๆอย่างพลางนั่งจิบชาในโรงเตี๊ยม ที่จริงพวกเขาจะหาที่อยู่ดีๆกว่านี้ให้เเต่ข้าสะดวกที่นี่มากกว่า ซึ่งในประโยคที่ว่า ‘ผู้นำพาเเสงสว่างมาให้เหล่ามนุษย์’ โดยปกติเเล้วผู้ที่ได้เป็นศิษย์ของเหล่าเซียนจะถูกยกย่องว่าเป็นผู้กล้า ผู้ที่จะช่วยเหลือมนุษย์ในการฆ่าล้างพวกอสูรที่บุกรุกเมืองของพวกเรา ซึ่งผู้ที่เป็นศิษย์ของเซียน หรือมหาเทพมันก็นานมาเเล้วเป็นร้อยปีตั้งเเต่มหาศึกสงครามเทพอสูร เเละใช่ ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นศิษย์ของเซียน ความหวังของมนุษย์ได้ตายไปเพราะการขับไล่เทพอสูร หลังจากนั้นก็ไม่มีศิษย์ของเซียนอีกจนมาถึงตอนนี้
เพราะพวกศิษย์เซียนสวรรค์ว่ากันว่าจะได้รับพรจากสวรรค์ในด้านต่างๆ เพื่อมากำจัดเทพอสูรเเละช่วยเหลือมนุษย์ สำหรับพวกเขาคนอื่นๆอาจจะใช่ เเต่สำหรับข้าท่านอาจารย์ได้มอบหมายเป้าหมายมาให้เเล้วนั่นก็คือการขับไล่พวกนอกโลกไม่ใช่พวกอสูรกระจอกพวกนี้ ที่จริงข้าเองก็ยังไม่ทราบถึงความเเข็งเเกร่งของมันเพราะไม่ได้สัมผัสด้วยตัวเอง เเต่ในสงครามนั้นเราต้องสูญเสียคนระดับเทพยุทธไปถึงสองคน ขั้นไร้เทียมทานอีกหลายสิบคน เทพสงครามอีกเป็นร้อย ถือว่าเป็นการสูญเสียที่มากที่สุดในประวัติศาสตร์ เเต่ถึงกระนั้นเเล้วเราก็ได้ฟื้นฟูกันกลับมาได้ จากที่ฟังๆมาดูเหมือนมันก็น่าจะเเข็งเเกร่งเเหละมั้ง
ติดเพียงอย่างเดียวคือวิชาที่พวกเขามีบางคนไม่ได้ถ่ายทอดให้ใคร ทำให้มนุษย์เริ่มอ่อนเเอลงเรื่อยๆ พวกเขาต่างหวังให้ข้าไปยังเมืองเฟยเทียนเพื่อช่วยตระกูลหลงในการทำสงครามกับพวกอสูร พวกมันมาบุกเเทบจะทุกวัน กำเเพงเมืองชั้นนอกเริ่มจะต้านพวกมันไว้ไม่อยู่ มันเริ่มบุกถี่ขึ้นทุกๆวัน บางวันมาถึงสองครั้งด้วยกัน
"ท่านศิษย์เซียนสวรรค์'' ผู้คนที่เดินผ่านข้าต่างคำนับข้าก่อนจะเดินไป ไม่ว่าจะเข้าหรือออกจากโรงเตี๊ยม เมื่อฮ่องเต้ทราบถึงการปรากฏตัวของข้า ฮ่องเต้ไม่รอช้าที่จะรับสั่งให้รัชทายาทมาเชิญข้าไปยังวังหลวง เพื่อเข้ารับตำเเหน่ง หรือพูดง่ายๆก็คือต้องการจะควบคุมข้า ข้าเพียงเเค่ได้ยินข่าวว่ารัชทายาทจะมาที่นี่ เเต่ก็ยังไม่พบ หรือน่าจะกำลังเสด็จมา เเต่เดี๋ยวนะ เขาเป็นน้องของศิษย์น้องของข้านี่ เด็กเนี่ยนะจะมาเชิญข้า?
‘ข้าคงต้องหาอะไรทำ…เพื่อเเสดงจุดยืนของข้าเเล้วสินะ' ข้าคิดในใจเเละก็นึกอะไรมันส์ๆขึ้นมาได้
"ท่านคงจะลำบากใจไม่น้อย'' เเม่ทัพเหวินเจี้ยนกล่าว ในตอนนี้เขากลายเป็นผู้ติดตามของข้าชั่วคราวในสิ่งที่เขาได้ท้าทายข้าไป ฮ่องเต้ทรงกริ้วมากเมื่อรับทราบว่าเขาได้ท้าทายข้า ซึ่งเเม่ทัพเหวินเจี้ยนยอมรับผิดทุกข้อด้วยตัวเอง ทั้งยังเป็นคนกล่าวด้วยตัวเองเพิ่มเติมว่าข้าก็เตือนเขาเเล้ว ทำให้ฮ่องเต้ทรงลงโทษเขาเพิ่ม ซึ่งเเม่ทัพเหวินเจี้ยนก็ไม่ได้เเย้งอะไร เขายอมรับผิดเเละรับโทษเเต่โดยดี และนั่นทำให้ข้าพอใจในความซื่อสัตย์ของเขา
"เเล้วเจ้าลำบากใจหรือไม่?…ที่ต้องมารับใช้ข้า'' ข้ากล่าวถามออกไป หลังจากที่ลองสั่งการเขามาสี่วัน ซึ่งเขาก็ทำตามทุกอย่าง อย่างเคร่งครัด เเละไม่เถียงเเม้เเต่คำเดียว
"ไม่เเม้เเต่น้อย…ข้ายินดีอย่างมาก'' เเม่ทัพเหวินกล่าวออกมาก่อนจะก้มหัวคำนับให้ข้า หลังจากที่เขารู้ว่าข้าเป็นใครเขาก็เคารพข้ามาก ที่จริงก็เป็นทุกคนที่เคารพข้า เเต่กับเเม่ทัพเหวินเเล้วเขาเคารพข้ามากที่สุดอย่างเห็นได้ชัด ราวกับข้าเป็นนายของเขาจริงๆ
"เงยหน้าขึ้น…เจ้ามีคำถามจะถามข้าหรือไม่?'' ข้ากล่าวถามตรงๆ เพราะที่ผ่านมาพรรคพวกของหนิงเอ๋อได้มารายงานข้าว่ามีสายสืบของเเม่ทัพเหวินพยายามหาข้อมูลเกี่ยวกับตัวข้าเเละหญิงสาวที่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้ ดูเหมือนเเม่ทัพเหวินต้องการจะโยงตัวข้าให้เป็นหญิงสาวผู้นั้น
"มีขอรับ…ท่านเป็นเผ่าเซียนหรือไม่?'' เขากล่าวถามข้ามาตรงๆเช่นกัน ทำให้ข้ายกยิ้มมุมปาก เเละหยิบเงินออกมาวางไว้บนโต๊ะ
"เถ้าเเก่!…ไม่ต้องทอน'' ข้าตะโกนเรียกเจ้าของโรงเตี๊ยมก่อนจะลุกขึ้นเเละเดินออกจากร้านไป ซึ่งเเม่ทัพเหวินก็ตามข้ามาติดๆ ต่อให้ข้าไม่ตอบคำถามเขา เขาก็ไม่ตื้อที่จะต้องการคำถามจากข้า
"ใช่…ข้าคือเผ่าเซียน'' เมื่อออกมาจากโรงเตี๊ยมข้าปลดปล่อยเเรงกดดันทางจิตออกไป เพียงเเค่ระดับเซียนเพียงชั่วครู่ เเต่เเรงกดดันของข้าทุกคนสามารถสัมผัสถึงมันได้ ไม่ว่าจะคนที่เดินอยู่บนถนน หรือจะเป็นในโรงเตี๊ยม เเม้เเต่ผู้คนในร้านข้างๆก็สัมผัสได้เช่นกัน เมื่อทุกคนเห็นข้าที่เป็นศิษย์เซียนสวรรค์ ทุกคนก็เข้าใจทันทีว่าใครเป็นคนปล่อยเเรงกดดันนั้นออกมา
"ข้าคิดว่า…เจ้าคงจะมีคำถามจะถามข้าอีกมากมาย''
"เเต่ข้ามีวิธีที่เจ้าจะได้คำตอบมากที่สุด'' ข้ากล่าวก่อนจะหันไปหาเขาที่ยืนอยู่ข้างหลังข้าด้วยความตกใจในเเรงกดดันของข้า เพราะเขาได้รับมันเต็มๆ ซึ่งข้าก็ได้ถอดหน้ากากเเละลดมันต่ำลงเพื่อใช้มันเเทนผ้าปิดปาก ให้เขาเห็นหน้าตาของข้าเหมือนตอนที่เขาเห็นหญิงสาวที่เข้าช่วยเหลือพวกพรรคมาร เมื่อเขาเห็นเช่นนั้นเขาตาโตในทันที
ณ สนามฝึกใจกลางสำนักฝ่ามือเทวะ
"ข้าคือคนที่เจ้าคิดนั่นเเหละ'' ข้ากล่าวออกไปเมื่อมาถึงสถานที่นี้ เเละใช่ ข้าได้ให้เฟิงอวิ๋นพาศิษย์ทุกคนที่ฝึกอยู่ไปนั่งดูการต่อสู้ของข้าเเละเเม่ทัพเหวินเจี้ยนซะเเทน ดูเหมือนเเม้เเต่ผู้นำตระกูลเฟิงเเละเจ้าสำนักฝ่ามือเทพก็มาดูเช่นกัน ไม่จบเพียงเเค่นั้น พวกคนใหญ่คนโตในเมืองต่างก็มาดูการต่อสู้ครั้งนี้ด้วย พวกเขาอยากจะเห็นความสามารถ ความหวังของมนุษย์อย่างข้า
"เหตุใด…ท่านจึงช่วยพวกมารทั้งๆที่ท่านคือศิษย์ของเซียนสวรรค์'' เขากล่าวถามออกมาเบาๆ ก่อนจะปลดอาภรณ์ที่สวมใส่ทั้งหมดออก เหลือเพียงชุดสบายๆ เพื่อเตรียมต่อสู้กับข้า ข้ายังไม่บอกด้วยซ้ำว่าจะพาเขามาทำอะไร เเต่เขากลับรู้ดี เพราะเเน่นอนว่าคนที่ผ่านสนามรบอย่างเขาการต่อสู้กันจะเป็นการพูดคุยที่ดีที่สุด
"ทุกการกระทำ…มันมีเหตุผลของมัน'' ข้ากล่าวจบก็ปลดอาภรณ์ออกเช่นกัน เหลือเพียงเสื้อหลวมๆ เเละใช่ ข้าถอดเสื้อของข้าออกเพื่อจะได้ต่อสู้อย่างประสิทธิภาพมากที่สุด เผยให้เห็นร่างกายส่วนบนของข้าที่มีกล้ามเนื้อเเทบทุกส่วน เเละมีปานโพธิ์ดำบริเวณเอวข้างซ้าย ทำให้ทุกคนเริ่มเข้าใจเกี่ยวกับสัญลักษณ์บนหน้ากากของข้า
"ข้าหวังว่าเจ้าจะทำให้ข้าสนุกบ้าง'' ข้ากล่าวออกไปตรงๆ เพราะที่ผ่านมาข้ายังไม่ได้ต่อสู้กับใครที่เเข็งเเกร่งมานานมากเเล้ว เหล่าศิษย์น้องของข้าก็เหมือนเด็กอัจฉริยะที่เพิ่งฝึก ถึงจะเก่งขึ้นมากเเต่ก็ยังไม่เหมาะที่จะสู้กับข้า ส่วนท่านอาจารย์ไป่เพียงเเค่เขาหายใจข้าก็ทรุดลงกับพื้นเเล้ว เพราะในตอนนั้นร่างของข้ายังไม่เเข็งเเกร่ง รวมถึงจิตบำเพ็ญของข้าเช่นกัน เเละในตอนนี้เเม่ทัพเหวินถึงเเม้เขาจะไม่ได้เป็นเเม่ทัพที่เเข็งเเกร่งที่สุด เเต่เขาก็ไม่ใช่อันดับท้ายเช่นกัน
"ข้าเข้าใจเเล้ว…'' เขาเองก็ถอดเสื้อของเขาออกเช่นกัน เผยให้เป็นประสบการณ์ที่เขาผ่านมา รอยบาดเเผล บ้างก็เกิดจากการฝึกฝน บ้างก็ถูกอสูรโจมตี หรือก็มีต่อสู้กันเองกับมนุษย์ด้วยกัน ถ้าหากเป็นพวกไก่อ่อนเห็นคงจะสั่นกลัวไปหมดเเล้วอย่างเเน่นอน เเต่มันไม่ใช่กับข้า มันยิ่งทำให้ข้าอยากสู้มากขึ้น
‘หึ…’ ข้าสัมผัสได้ถึงการมาของหนิงเอ๋อ นางเเอบซุ่มดูอยู่จากที่สูง เหมือนนางจะรู้เเล้วด้วยว่าเเม่ทัพเหวินรู้เกี่ยวกับตัวตนของข้าที่เข้าไปช่วยนาง ซึ่งนางเองก็เตรียมคนมาพร้อมเพื่อรอช่วยเหลือข้า ถ้าเกิดสถานการณ์ที่เลวร้ายขึ้น เเต่ข้าก็ส่ายหน้าให้กับนางทำให้เเม่ทัพเหวินจับพิรุธข้าได้
"ขอเพียงท่านไม่หนีไปก็พอ'' เเม่ทัพเหวินกล่าวเมื่อเริ่มเข้าใจสถานการณ์ในตอนนี้ ว่าอาจจะมีใครคอยดูการต่อสู้นี้อยู่ เเละอาจจะเป็นพวกพรรคมารที่เตรียมจะช่วยข้า
“ฮ่ะๆ…เจ้าเป็นคนฉลาด…เเม่ทัพเหวิน”
“ติดเพียงเจ้ามั่นใจในตัวเอง…เเละหยิ่งยโสเกินไปในบางครั้ง” ข้าหัวเราะเล็กน้อยก่อนที่ข้าเเละเขาจะเริ่มตั้งท่าเตรียม โดยที่เขาเองก็ไม่ใช่อาวุธเมื่อข้าไม่ใช้
"ท่านอย่าได้คิดว่าข้าจะออมมือให้'' เเม่ทัพเหวินเจี้ยนกล่าวก่อนจะดึงง้าวขึ้นมาเมื่อข้ากล่าวว่าเขา ง้าวของเขามีขนาดใหญ่กว่าปกติพอสมควร เเละมีลวดลายที่บ่งบอกได้เลยว่าไม่ใช่อาวุธธรรมดาๆอย่างเเน่นอน
"ข้าไม่อยากเป็นศัตรูกับเจ้า…'' ข้ากล่าวเป็นครั้งสุดท้ายก่อนที่ข้าเเละเขาจะเงียบลงเพื่อเพ่งสมาธิกับการต่อสู้ที่กำลังจะเริ่มขึ้นตรงหน้า
ฟึบๆๆๆ
เเละเมื่อข้าขยับ เขาก็ขยับเช่นกัน ไม่ต้องมีคนประกาศเริ่มการประลอง เขาได้พุ่งเข้าใส่ข้า เเต่ที่ข้าขยับเมื่อครู่ เเต่ข้าไม่ได้จะเข้าไปโจมตีเขา เป็นการตั้งรับ เมื่อเขาเข้ามาใกล้ข้า ข้ายังคงยืนนิ่งอยู่ สีหน้าของเขาบ่งบอกว่าเขากำลังประมาท คิดว่าข้าไม่สามารถตามความเร็วของเขาทัน
ฟิ้ววว ฟึบ ตุบ ตู้มม
เมื่อง้าวได้ถูกวาดมาจากระยะไกลเพื่อโจมตีข้า ข้าได้ใช้มือตบไปที่ง้าวของเขาขึ้นบนฟ้าเเละงัดกลับลงมาบนพื้นอีกที ง้าวของเขาปักอยู่ที่พื้นโดยที่เขายังคงตกใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นอย่างมาก เขาไม่ได้รับการบาดเจ็บใดๆ เพียงเเค่ล้มลงพื้นเท่านั้นเพราะเขาตั้งหลักไม่ทนคิดว่าจะลอยขึ้นไปบนฟ้า โดยที่เมื่อครู้ข้าใช้กำลังของข้าเพียงอย่างเดียวไม่ได้ใช้กำลังภายใน
‘ถ้าหากข้ามีกายระดับร่างพระเจ้า…พลังกายของข้าจะขนาดไหนกันนะ?’ ข้าคิดในใจก่อนที่เขาจะเรียกสติกลับมาเเละเริ่มโจมตีข้าอย่างหนักหน่วง ซึ่งข้าก็ยังไม่ได้สวนเขาไปเพียงเเค่จับง้าวของเขาในบางครั้งเพื่อหยุดการโจมตี เเละใช่ข้าจับด้วยมือเปล่า คนที่มาดูได้อ้าปากค้างกับสิ่งที่เกิดขึ้น พลังกายของศิษย์เซียนสวรรค์ เหตุใดมันถึงเเข็งเเกร่งถึงเพียงนี้กัน?
ฟึบๆ
"ท่านเเข็งเเกร่งมาก…'' เเม่ทัพเหวินเจี้ยนกล่าวด้วยความเหลือเชื่อ หลังจากที่ได้เเลกเปลี่ยนกระบวนท่ากันมาพอสมควร ซึ่งเขาได้ใช้ทักษะไปบ้างเเต่ก็ยังไม่สามารถกดดันข้าที่ไม่ได้ใช้อาวุธได้อยู่ดี
"หึ…ข้าจะให้เจ้าเห็น…ถึงความเเข็งเเกร่งที่เเท้จริงของข้า'' ข้ากล่าวก่อนจะหยิบกระบี่ที่ถูกวางเอาไว้ตั้งเเต่เริ่ม ก็เป็นข้านี่เเหละที่นำมาวางไว้เอง
"อึก…'' เเม่ทัพเหวินเจี้ยนเริ่มสั่นกลัวเมื่อข้าจับกระบี่ จิตของข้ารุนเเรงจนปะทุออกมาในทันที ผู้คนทั่วทั้งสนามถึงกับสั่นกลัว ก็เเน่ล่ะ ข้าฝึกจนไปถึงจุดสูงสุดของอาวุธประเภทดาบเเล้ว จิตดาบของข้าเองก็เช่นกัน
“ถ้าหากท่านสามารถรับการโจมตีสุดท้ายของข้าได้”
"ข้าจะรับใช้ท่านตลอดไป!'' เเม่ทัพเหวินกล่าวออกมาอย่างมั่นใจ ในตอนนี้เขาคิดได้เเล้วว่าข้าน่าจะไม่ไปทำอะไรไร้สาระอย่างการไล่ฆ่าไล่ปล้นคนด้วยกันเองอย่างเเน่นอน เเละหลังจากที่เขาได้รับใช้ข้ามาหลายวันรวมถึงการต่อสู้กับข้า เขาก็น่าจะพอรู้บ้างเเล้วว่าข้าเป็นคนแบบไหน
"ท่านพ่อ!'' ขุนพลเหวินโซ่วตะโกนเรียกพ่อของตน เพราะพ่อของตนไม่ใช่เเม่ทัพที่ไม่มีชื่อเสียง เขาเองก็เป็นที่รู้จักไปทั่วเช่นกัน เเต่การมาเป็นข้ารับใช้ของเด็กนี่มันออกจะเกินไปหน่อย ซึ่งเขาลืมไปหรือเปล่าว่าเด็กคนนี้เป็นเด็กที่ไม่ธรรมดา เพราะในอนาคตเด็กที่เขาว่าอาจจะมีตำเเหน่งที่ยิ่งใหญ่กว่าฮ่องเต้ด้วยซ้ำ
"มังกรเพลิง…'' เขากล่าวเพียงเเค่นี้ผู้ที่มีขั้นบ่มเพาะอันเเข็งเเกร่งได้ลงมาจากที่นั่งผู้ชมในทันที เเละช่วยกันใช้ปราณในการป้องกันการโจมตีของเหวินเจี้ยน ซึ่งหลังจากที่เขากล่าว ธาตุไฟที่เขามีก็เริ่มปกคลุมปลายง้าว ไฟที่รุนเเรงของเขาเริ่มมากขึ้น เยอะขึ้นจนน่ากลัวเเละเริ่มสัมผัสได้ถึงความร้อน
‘เเล้วเพลิงของหลินเฟยเฟิ่งล่ะ…จะรุนเเรงถึงเพียงไหน’ ข้าคิดเเละยิ้มออกมาอย่างพอใจเมื่อได้เห็นเปลวเพลิงอันน่ากลัวนี้
"พิโรธ!!!'' เเม่ทัพเหวินเจี้ยนได้วาดง้าวลงมาจากฟ้าบังเกิดไฟที่โถมเข้าใส่ข้าทั้งยังมีการโจมตีของง้าวด้วย
ฟูมมม เคร้ง!!!
"บะ…บ้าน่า!!''
"ไฟอันร้อนเเรงนั่นไม่สามารถทำอะไรเขาได้งั้นหรือ!?''
"ที่สำคัญคือเขาสามารถรับการโจมตีที่เป็นไม้ตายของเเม่ทัพเหวินเจี้ยนได้ด้วย!'' ทุกคนตกใจมาก มันคือท่าไม้ตายของคนที่เป็นหนึ่งในสี่เเม่ทัพอันทรงพลังของราษฎร ผู้ที่ยืนเคียงข้างตระกูลที่เเข็งเเกร่งเพื่อช่วยกำจัดพวกอสูรนอกกำเเพง เเต่การโจมตีนั้นกลับถูกหยุดได้อย่างง่ายดาย!?
วึบๆ
"นะ…นั่นมันคืออะไรน่ะ?'' หลายคนสงสัยเมื่อได้เห็นสิ่งแปลกๆบริเวณที่กระบี่ของโพธิ์ดำเพิ่งจะถูกวาดขึ้นไปบนฟ้า มันคล้ายกับมิติที่ถูกฉีกออกมา
"ทั้งความเร็วระดับนั้น…เเละความรุนเเรงที่สามารถฉีกกระชากมิติได้…'' หลายคนอยากจะทรุดลงกับพื้น ถ้าศิษย์ของเซียนสวรรค์เเข็งเเกร่งถึงเพียงนี้ เขาก็สมควรเเล้วที่จะเป็นเเสงที่สว่างที่สุดของมนุษย์ ในอนาคตจะต้องเป็นเขาที่สามารถกำจัดเทพอสูรได้อย่างเเน่นอน!
เคร้งๆ
"ท่านชนะ'' เเม่ทัพเหวินเจี้ยนปล่อยมือจากง้าว ทำให้ง้าวตกลงบนพื้น พร้อมกับโพธิ์ดำที่ใช้มือลูบมิติที่เปิดออก ทำให้มิตินั้นได้จางหายไป
"ความเเข็งเเกร่งของข้า…'' ข้ากล่าวพลางชูกระบี่ขึ้นสูงๆเเล้วพลิกกระบี่ไปมาเพื่อดูความทนทานของกระบี่ ซึ่งมันก็น่าจะเหลือไม่เยอะเเล้ว เเต่ก็พอที่จะโชว์อะไรให้พวกเขาดู
"ท่านจะได้ประจักษ์มันเดี๋ยวนี้!!!'' ข้าตะโกนพร้อมกับวาดดาบลงมาจากที่ชูขึ้นบนฟ้า ด้วยเเรงที่อยากจะปลดปล่อยออกมาทั้งหมด
ฟึบ ฉึบ เฉ้งงงงงง
กระบี่ของข้าได้ตัดผ่านพื้นรวมถึงพื้นดินกลายเป็นรอยเเยกลากยาวไปจนถึงสถานที่นั่งชมพอดี ก็ราวๆสิบห้าถึงยี่สิบเมตร นี่ยังไม่รวมถึงความลึกที่ไม่สามารถมองเห็นได้ ในตอนนี้ความเเข็งเเกร่งของโพธิ์ดำ ศิษย์เซียนสวรรค์ได้ประจักษ์ต่อหน้ามนุษย์เเล้ว จะใครก็ต่างนั่งไม่ติด ล้มลงไปนั่งบนพื้นสั่นกลัวด้วยความกลัว
‘นี่มันยังเป็นมนุษย์อยู่หรือไม่!?’ เเน่นอนว่าหลายคนต้องคิดในใจเช่นนี้
"ในอนาคต…ข้าคงต้องหากระบี่ที่เเข็งเเรงเเละทนทานกว่านี้'' เมื่อข้ากล่าว จากที่สายตาทุกคนได้จับจ้องรอยเเยกที่ข้าสร้างกลับมาจ้องมองกระบี่ของข้าที่เเตกหักไม่เหลือชิ้นดี ด้ามจับเองก็เละไปหมด เเม่ทัพเหวินเจี้ยนที่อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุมากที่สุดเขาหงายหลังลงไปนั่งบนพื้นตั้งเเต่เมื่อใดก็ไม่มีใครทราบ มีเพียงโพธิ์ดำที่รับรู้ทุกอย่างรอบตัวด้วยอาณาเขตของเขา