บทที่ 3
หลังจากนั่งตั้งสติอยู่พักใหญ่ แพมจึงได้ลุกขึ้นมาปรับเปลี่ยนห้องที่ใช้หลับนอนเสียใหม่ สภาพความเป็นอยู่ตอนนี้มันไม่น่าเรียกว่าบ้านได้เลย หญิงสาวก้มลงมองสร้อยคอวิเศษอีกครั้งก่อนจะถอนหายใจออกมา อย่างน้อยมีเจ้านี้อยู่ก็ไม่ต้องอดตายแล้ว ทว่าในตอนที่กำลังจะละสายตาไปทางอื่น แพมกลับเห็นตัวอักษรส่องแสงวูบวาบขึ้นมาครู่หนึ่ง หลิวเสี่ยวถิง
“แกชื่อหลิวเสี่ยวถิงหรือ อย่างนั้นฉันก็จะชื่อเดียวกับแกก็แล้วกันนะเจ้าสร้อยวิเศษ” ในเมื่อได้ใช้ชีวิตใหม่แล้ว เธอก็ควรจะมีชื่อที่เข้ากับที่นี่สิถึงจะถูก เช่นนั้นก็ใช้ชื่อนี้แล้วกัน ไม่ต้องคิดชื่อใหม่ให้ต้องปวดหัว
“ก่อนอื่นต้องทำความสะอาดบ้านหลังนี้ก่อนสินะ พรุ่งนี้ค่อยคิดหาทางเอาตัวรอดต่อไปก็แล้วกัน” ร่างบางบ่นพึมพำกับตนเอง นับแต่นี้จะไม่มีคนชื่อแพมอีกต่อไป เธอจะเป็นคนใหม่จะมีเพียงหลิวเสี่ยวถิงคนนี้เท่านั้น เพราะชีวิตที่ผ่านมาก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายสักเท่าไร ไม่มีความอาลัยอาวรณ์ อยู่ไปก็เหมือนตัวคนเดียว แต่ที่นี่อย่างน้อยเธอก็มีของวิเศษ
การทำความสะอาดครั้งใหญ่ก็แทบจะทำให้เธอหมดแรง ทั้งกวาดเช็ดถู แม้จะเป็นบ้านหลังเล็ก ๆ ชั้นเดียว แต่ดูจากสภาพบ้านแล้วคงไม่ได้ดูแลรักษา หลิวเสี่ยวถิงจัดการลากเอาเตียงไม้ผุพังออกมานอกตัวบ้าน ยังดีที่มันเป็นเพียงเตียงทำจากไม้ไผ่จึงไม่ได้หนักมาก พอจะลากมันออกมาได้ด้วยตัวเอง
หลังจากขนของที่ไม่จำเป็นออกมาด้านนอกจนหมด เสี่ยวได้เปลี่ยนเตียงใหม่เป็นเตียงไม้สักอย่างดีขนาดนอนได้สองคนอย่างสบายออกมา มันช่างน่าทึ่งเหลือเกิน เพียงแค่นึกคิดสิ่งที่นางต้องการก็ปรากฏออกมาอยู่ตรงหน้าแล้ว เมื่อเห็นว่าของวิเศษใช้ได้จริง หญิงสาวจึงจัดการนำของใช้ที่นางต้องการออกมาจัดวางในบ้านให้ดูเป็นระเบียบขึ้น ตู้เสื้อผ้า ไม้แขวน จัดการติดผ้าม่านแบบหนาพิเศษเพื่อป้องกันรังสีจากแสงแดด การมีของวิเศษสารพันนึกมันช่างสะดวกสบายอะไรเช่นนี้
แต่สิ่งที่ขาดไม่ได้เมื่อมีเตียงแล้วก็ต้องมีที่นอนนุ่ม ๆ ส่วนล่างเป็นสปริงด้านบนเป็นท็อปเปอร์ทำจากยางพาราอย่างดี หมอนใบใหญ่ พร้อมหมอนข้างอีกสองใบ ผ้าห่มนวม พร้อมปูด้วยผ้าปูสีหวานตามแบบที่ตนเองชอบ ในบ้านหลังนี้มีเพียงสองห้อง นั่นคือห้องโล่ง ๆ ที่นางใช้นอน และมีห้องเล็ก ๆ ที่ใช้ทำเป็นห้องครัว ส่วนห้องน้ำน่ะหรือ เป็นแค่เพิงหมาแหงนเล็ก ๆ ติดกับห้องครัวเท่านั้น ดูจากสภาพห้องน้ำแล้วคงจะสร้างขึ้นเพื่อ
“เฮ้อ งานหนักเลยนะเนี่ย”
หญิงสาวยืนเท้าสะเอว หลังจากเปิดประตูที่ทำจากไม้ไผ่มีใบไม้ปิดไว้เพื่อบดบังสายตาเพียงเท่านั้น สงสัยอยู่ว่ามันเป็นบ้านเคยมีคนพักอาศัยอยู่จริงหรือ ราวกับว่าเป็นเพียงที่พักชั่วคราวเท่านั้นเอง
หลังจากพิจารณาอยู่นาน เสี่ยวถิงจึงได้ตัดสินใจถางหญ้าที่ขึ้นรกออกให้หมด ก่อนจะนำแผ่นไม้ปูพื้นสำหรับตกแต่งสวนวางเป็นพื้นแทน เสียแต่ว่าผสมปูนทำพื้นเองได้นางก็คงจะทำไปแล้ว หลังจากปูพื้นเสร็จหญิงสาวได้เอาฉากกั้นไม้แบบทึบอย่างดี กั้นไว้ชั้นในอีกรอบ ป้องกันการมองเห็นจากสายตาคนภายนอก ส่วนด้านนอกหญิงสาวไม่ได้รื้อออก เพราะยังอยากจะคงสภาพเดิมไว้ หากเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดก็คงจะแปลกตาสำหรับผู้พบเห็น อีกทั้งยังไม่รู้ว่าบ้านร้างหลังนี้เป็นของใครกันแน่ มีเจ้าของอยู่หรือไม่ จึงทำเพียงปรับเปลี่ยนเฉพาะด้านใน เพื่อให้ตนเองใช้พักอาศัยอย่างไม่ลำบากนัก
หลังจากปูพื้นวางฉากกั้นเสร็จ เสี่ยวถิงได้นำถังน้ำออกมาวาง นางใช้ถังพลาสติกสีฟ้าอันใหญ่จะได้ไม่ต้องเติมน้ำบ่อย พร้อมกับใส่น้ำในถังไว้จนเต็ม จากนั้นก็จะเป็นส่วนของใช้จำเป็น จำพวกสบู่ยาสีฟัน โฟมล้างหน้า ขันตักน้ำ และที่ขาดไม่ได้คือกระจก ก็เป็นอันเสร็จในส่วนของห้องน้ำ
ไม่คิดว่าการทะลุมิติมาวันแรกนางก็ต้องใช้แรงมากถึงเพียงนี้ เมื่อทำงานเหนื่อยท้องก็เริ่มหิว หญิงสาวจึงได้กลับเข้าบ้านอีกครั้ง ตักข้าวจากในโถใส่ถ้วยก่อนจะตักผัดกะเพราหมูชิ้นราดหน้า ก่อนจะนำไปนั่งกินข้างหน้าต่างเพื่อรับลมเย็น เสี่ยวถิงตักข้าวเข้าปากคำแรกก็รู้สึกว่ามันช่างอร่อยกว่าทุกครั้ง อากาศไม่ค่อยร้อนอีกทั้งยังมีสายพัดลมเอื่อยมาเป็นระลอก นางชักจะถูกใจที่นี่เสียแล้วสิ
หลังจากเติมพลังด้วยข้าวพูนจานจนอิ่มท้อง เสี่ยวถิงคิดว่านางต้องไปอาบน้ำแล้วเพราะตอนนี้รู้สึกเหนียวตัวเหลือเกิน วันนี้จะเข้านอนแต่หัวค่ำ พรุ่งนี้ต้องเข้าไปในหมู่บ้านเสียหน่อย สำรวจพื้นที่ที่ไม่คุ้นเคยและผูกมิตรกับชาวบ้านไว้ก็น่าจะดี นางตัวคนเดียวอาจจะต้องพึ่งพาคนอื่นอีกมาก
ยามเฉิน (07.00-08.59)
ถึงยามเช้าหลังจากหาของกินลงท้องอิ่ม เสี่ยวถิงจึงเตรียมตัวเพื่อเข้าไปในหมู่บ้าน ยังดีที่ท่านเทพพอจะให้ความรู้เกี่ยวกับโลกนี้อยู่บ้าง ไม่ปล่อยให้นางต้องดิ้นรนหาคำตอบด้วยตนเองไปเสียทุกอย่าง ที่ดินที่นางมาอาศัยอยู่อาจจะเป็นที่ว่างเปล่าไม่มีเจ้าของ หากต้องการไว้ในครอบครอง นางจะต้องเข้าไปหาผู้นำหมู่บ้าน เพื่อสอบถามหากเป็นที่ดินว่างจริงจะได้เจรจาติดต่อขอซื้อเป็นขั้นตอนต่อไป คือปัญหาอีกอย่างของนางในตอนนี้ ไม่รู้ว่าจะไปหาเงินจากที่ใด และต้องใช้เงินมากน้อยแค่ไหนถึงจะได้มาเป็นของตนเอง
ร่างบางเดินถามทางไปเรื่อย ๆ แม้จะถูกมองราวกับเป็นเหมือนของแปลกก็ตาม แต่เจ้าตัวก็ไม่ได้สนใจเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตาตามหาบ้านผู้นำ ในสายตาของเสี่ยวถิงคนในหมู่บ้านนี้ดูเหมือนจะมีความเป็นอยู่ลำบากกันไม่น้อย สังเกตจากการแต่งตัวไม่ต่างอะไรกับตนเองก่อนจะได้ของวิเศษมาเลย พอจะเข้าใจแล้วเหตุใดชาวบ้านถึงได้มองนางไม่วางตา เรียกได้ว่าเดินผ่านต้องเหลียวหลังมองทุกคน ก็เพราะอาภรณ์ที่สวมใส่ดูดีเกินกว่าจะเป็นชาวบ้านธรรมดา เห็นทีกลับบ้านไปคงจะต้องหาใหม่ที่ดูเก่ากว่านี้เสียแล้ว
“ท่านป้าเจ้าคะ พอจะบอกข้าได้หรือไม่บ้านท่านผู้นำหมู่บ้านไปทางไหน” หลังจากเดินวนอยู่นาน เพราะหลงทางมาหลายเค่อ เสี่ยวถิงจึงตัดสินใจถามสตรีวัยกลางคนที่กำลังนั่งพักอยู่ข้างทาง ดีจริงนางกำลังต้องการใครสักคนเพื่อบอกทางพอดี
“เพิ่งมาอยู่ใหม่หรือนางหนู อย่างลืมไปขอลงทะเบียนรายชื่อไว้ละ เดินตรงไปทางนั้นแล้วเลี้ยวซ้าย บ้านหลังใหญ่ที่สุดนั่นแหละบ้านผู้นำฉวน” นางเส้าหยวนชี้ไปตรงทางเดินด้านหลังหญิงสาว ก่อนจะบอกทางไปบ้านผู้นำหมู่บ้าน นางไม่ค่อยแปลกใจสักเท่าไรนักที่มีคนแปลกหน้าถามทาง เพราะช่วงนี้เกิดภัยสงคราม มักจะมีผู้อพยพมาขอลี้ภัยเสมอ ช่วงข้าวยากหมากแพงมีอะไรก็ต้องช่วยกันไป
“ขอบคุณเจ้าค่ะท่านป้า ข้าให้ตอบแทนน้ำใจเจ้าค่ะ” หญิงสาวยื่นถุงกระดาษภายในมีซาลาเปาลูกใหญ่สามลูก เป็นซาลาเปาเจ้าดังที่นางอยากกินมานานแล้ว ซาลาเปาถูกอัดแน่นไปด้วยเนื้อหมูเน้น ๆ พร้อมกับไข่เค็มด้านใน เพื่อตอบแทนน้ำใจที่ท่านป้าบอกทางและช่วยแนะนำเป็นอย่างดี
“เจ้าเป็นบุตรสาวผู้ดีหรือดูชุดที่เจ้าใส่ก็คงจะเป็นคนมีเงิน ระวังตัวด้วยนะนางหนูเดินไปไหนมาไหนคนเดียวมันอันตราย ไม่ต้องให้ข้าหรอก มันดีเกินไปเจ้าเก็บเอาไว้กินเถอะ” จากการแต่งกายก็คงจะเป็นบุตรสาวเศรษฐีผู้ดีสักจวนกระมัง นางก็อยากจะรับไว้อยู่หรอก หลาน ๆ ไม่ได้กินอิ่มท้องมาหลายวันแล้ว แต่ก็เกรงใจเพราะดูแล้วคงจะเป็นของดีราคาแพง
“ไม่ใช่เจ้าค่ะท่านป้า ชุดนี้ข้าขโมยมาจากบ้านเศรษฐีตอนหนีสงครามเจ้าค่ะ ข้าก็แค่ชาวบ้านธรรมดาคนหนึ่ง ท่านรับไปเถอะข้าทำเองไม่ได้ซื้อเจ้าค่ะ” เสี่ยวหลิวแก้ตัวไปตามสถานการณ์ ก่อนจะยัดถุงกระดาษใส่มือท่านป้าไป ในใจก็ได้แต่ก่นด่าท่านเทพที่เอานางมาไว้ยุคสงครามได้อย่างไรกัน ไม่เห็นบอกนางก่อนเลย นี่มิใช่ว่าจะยิ่งลำบากกว่าเดิมอีกหรือ
“ข้ายิ่งรับไว้ไม่ได้ เจ้าเก็บไว้กินเถอะ ยามนี้ใคร ๆ ก็ลำบากกันทั้งนั้น” มือเหี่ยวย่นพยายามยัดห่อซาลาเปาคืน แม้จะอยากได้เอาไปให้หลาน ๆ ได้กินอิ่มสักมื้อ แต่ก็ไม่อยากจะเอาเปรียบผู้อื่นในยามลำบากเช่นกัน
“ท่านยาย”
ในระหว่างที่ทั้งสองพยายามจะให้อีกฝ่ายรับถุงซาลาเปากลับไป ได้มีเด็กน้อยชายเด็กหญิงวิ่งหน้าตั้งเข้ามาเกาะแขนนางเส้าหยวนกันคนละฝั่ง เด็กทั้งสองหน้าตามอมแมม มีน้ำมูกเกาะติดตามใบหน้าเกรอะกรัง ทว่าก็ไม่อาจจะปิดบังความน่ารักน่าชังได้เลย
“ท่านป้ารับไปเถอะเจ้าค่ะ เด็ก ๆ น่าจะหิวกัน ที่บ้านข้ายังพอมีอีกหลายลูกท่านไม่ต้องเกรงใจ ไว้พบกันใหม่นะเจ้าคะ” เพื่อตัดปัญหาเสี่ยวถิงจึงรีบเดินหนีทันที เพราะเกรงว่าพวกเขาจะไม่ยอมรับซาลาเปาของนาง
นางเส้าหยวนน้ำตาซึมซาบซึ้งในน้ำใจ แม้จะเพิ่งพบกันเป็นครั้งแรก แต่อีกฝ่ายก็ยินดีแบ่งปันอาหารให้อย่างไม่นึกเสียดาย ไม่รู้จะตอบแทนเช่นไรดี พวกตนมีกันแค่สามคนยายหลาน บุตรชายกับลูกสะใภ้ก็มาตายในภัยสงคราม นางที่แก่เฒ่าก็ได้แต่เก็บผักหาเลี้ยงหลาน ให้กินประทังความหิวไปวัน ๆ เท่านั้นเอง
“อาหย่อย” เด็กสาววัยสามหนาวกัดซาลาเปาลูกขาวอวบเข้าปากคำโต คำแรกที่ได้สัมผัสมันทั้งนุ่มและหอมกลมกล่อมในปาก นางไม่เคยกินอะไรที่อร่อยเช่นนี้มาก่อนเลย
“ท่านยายเนื้อมีแต่เนื้อเต็มไปหมดเลยขอรับ ท่านยายกินสิขอรับ” เด็กชายวัยห้าหนาวซึ่งเป็นพี่ชาย กัดเข้าไปคำแรกถึงกับตาโตเช่นกัน ไส้ด้านในมีแต่เนื้อและไข่อัดแน่นเต็มไปหมด เพราะกลัวว่าหากเย็นแล้วจะไม่อร่อย เขาจึงคะยั้นคะยอให้ท่านยายรีบก่อนจะเย็นชืด
“ได้ ๆ ยายจะกินเดี๋ยวนี้” เป็นครั้งแรกตั้งแต่เกิดมา ที่นางได้กินเนื้อเต็มปากเต็มคำถึงเพียงนี้ อีกทั้งได้เห็นหลาน ๆ กินของดี ๆ สักครั้นในชีวิต เท่านี้นางก็ตายตาหลับแล้ว เพราะตนเองคงจะไม่มีปัญญาหาให้พวกเขาได้
“ท่างยาย พี่ฉาวต้องเป็นเทพธิดาแน่เยย” เด็กสาวยิ้มแฉ่ง ปลาบปลื้มกับรสชาติแสนอร่อยไม่เคยกินที่ใดมาก่อน
“ใช่แล้ว อาคุณ อากุ้ย ภายภาคหน้าอย่าลืมตอบแทนบุญคุณพี่สาวเข้าใจหรือไม่ เอาละกินอิ่มกันแล้วใช่ไหม เรากลับบ้านกันเถอะ”
“ขอรับ”
“เจ้าค่ะ”
สามคนยายหลานหลังจากกินซาลาเปาหมด ก็ได้กระเตงกันกลับบ้าน ในระหว่างทางนางเส้าหยวนได้สั่งสอนให้ชายหลานสาว ให้รู้จักตอบแทนบุญคุณ ถึงแม้จะไม่รู้จักชื่อเสียงเรียงนาม แต่ถ้าหากอีกฝ่ายมาอาศัยอยู่หมู่บ้านอันเล่อจริง สักวันคงต้องได้เจอกัน