ฉันจะไม่ทน (2/2)
หลายวันต่อมาหลังจากที่ลินได้ทะลุเข้ามาในนิยายเรื่องนี้ เธอก็รู้ว่าในบ้านหลังใหญ่มีเพียงแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่อาศัยอยู่ มีศิระ เด็กทั้งสามคนและเธอเท่านั้น พ่อแม่ของสามีได้จากไปหลังจากที่พวกเขาแต่งงานกันได้ไม่นาน
ส่วนคุณยายอนงค์และคนอื่น ๆ จะอยู่บ้านอีกหลังหนึ่งและยังมีอีกคนหนึ่งเทียวไปเทียวมาระหว่างบ้านหลังนี้ นั่นก็คือ คุณเตชิต เลขาหนุ่มคนสนิทของคุณศิระ เขาเป็นหนุ่มสูง ขาว ตี๋ ดีกรีจบจากเมืองนอก ลักษณะภายนอกแทบจะเรียกได้ว่าแตกต่างกับศิระอย่างสิ้นเชิง
อีกสิ่งหนึ่งที่เธอได้รู้คือครอบครัวนี้เป็นครอบครัวเพียงแค่ในนามเท่านั้น นอกจากเวลาทานข้าวแล้วเธอก็ไม่เคยเห็นพวกเขาอยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันอีกเลย แทบจะเป็นคนแปลกหน้าแล้วด้วยซ้ำ เมื่อเด็กทั้งสามคนกลับถึงบ้านพวกเขาต่างก็เข้าไปในห้องตัวเองออกมาอีกทีก็เวลาทานข้าว ส่วนคนพ่อนะเหรอ ถ้าไม่กลับมาช่วงดึกดื่นก็คงนอนค้างอยู่ที่ทำงานตามระเบียบ
อ้อ! มีอีกสิ่งหนึ่งที่เธอได้รู้ ช่วงทานข้าวในวันแรกที่ได้ทะลุมิติมาเธอดันนั่งผิดที่ไปนั่งที่ของตินหรือลูกชายคนเล็กของบ้าน ส่วนเหตุผลที่เธอรู้ก็เพราะว่าวันที่สองเมื่อเดินมาถึงห้องอาหารก็เจอหนุ่มน้อยนั่งอยู่ที่ประจำของตัวเองแล้ว เธอเดินเข้าไปหาเขาพร้อมกับกล่าวทักทายแต่สิ่งที่เด็กน้อยตอบกลับมาคือ
“ที่ ที่ของผม~~~” พร้อมกับน้ำเสียงสั่นเครือและมือที่กำลังจับเก้าอี้ซึ่งเป็นที่นั่งเดิมของตัวเองไว้แน่นรวมทั้งน้ำตาที่กำลังจะไหลออกจากดวงตากลมโตของเขา ถึงจะไม่เห็นเท้าของเด็กคนนี้แต่ถ้าลินเดาไม่ผิดตอนนั้นเขาคงจิกเกร็งเท้าของตัวเองอยู่แน่ ๆ
ส่วนวันนี้ก็เป็นวันที่น่าเบื่อของเธอเหมือนเคยเพราะนอกจากดูคลิปทำขนมเธอไม่ได้ทำอะไรอีกเลย ปกติลินจะใช้เวลาหมดไปกับการทำงานเท่านั้นแต่เมื่อมาอยู่ที่นี่จู่ ๆ สาวบ้างานอย่างเธอก็กลายเป็นคนว่างงานและนั่นทำให้เธอเครียด!
“ฉันคิดถึงการทำงาน!” เธอทนไม่ไหวแล้ว จู่ ๆ ให้คนที่ทำงานมาทั้งชีวิตอย่างเธอหยุดทำงานดื้อมันเป็นไปไม่ได้
“แต่คุณไม่มีงานทำนี่”
“ถ้างั้นฉันก็จะไปทำงาน”
“อย่าลืมนะ คุณอยู่ในร่างของลินที่ไม่ได้ทำงานมาหลายปีแล้ว จู่ ๆ ก็อยากจะทำงานคุณไม่คิดว่าคนอื่นจะสงสัยเหรอ”
“นั่นสินะ ฉันลืมไปได้ยังไงเนี่ย” เธอบ่น
“…” ลูคัส
“โอ้ย จะบ้าตาย ฉันอยากทำงาน”
ในช่วงเวลาที่เธอบ่นกับตัวเองอยู่ทันใดนั้นเองก็มีเสียงชายคนหนึ่งดังขึ้น
“คุณอยากทำงานอย่างนั้นเหรอ”
“อืม ที่สุดในโลกเลย” เธอตอบกลับเสียงนั้น
‘เอ๊ะ เสียงนี้คุ้น ๆ’ เมื่อคิดได้ลินก็รีบหันกลับไปหาต้นตอของเสียงนั้นทันที
“คุณศิระ…” วันนี้เขาไม่ได้ไปทำงานสินะ
“อืม ผมเอง เมื่อกี้คุณพูดว่าอยากทำงานอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่ ฉันอยากทำงาน”
"ผมไม่อนุญาต"
“อะไรนะ ถ้าคุณไม่อนุญาตงั้นเหรอ คุณคิดว่าคุณเป็นใครถึงมาบอกให้ฉันทำหรือไม่ทำอะไรก็ได้”
“ผมเป็นสามีของคุณไง เผื่อคุณลืม” เขาพูดกับส่งสายตาเตือนมาให้เธอ
‘ไอ้หมอนี่…’ แน่นอนประโยคนี้เธอไม่ได้พูดออกไปทำได้แค่เพียงคิดอยู่ในหัวเท่านั้นแหละ
“ผมบอกไว้ตรงนี้เลยนะว่า ผมไม่อนุญาตให้คุณไปทำงานข้างนอกเด็ดขาด หน้าที่ของคุณคือแม่อยู่บ้านดูแลเด็ก ๆ ก็พอแล้ว” เขาเตือนเธอ
“ฉันไม่ได้ดูแลเด็ก ๆ ด้วยซ้ำ” เธอไม่ได้ประชดนะเธอพูดความจริง
“งั้นก็ช่วยทำหน้าที่ของตัวเองอย่างเต็มที่ด้วยนะครับ” พูดเสร็จเขาก็เดินจากไป
'เหอะ ผู้ชายคนนี้บ้าไปแล้วเหรอ ด่าฉันเสร็จก็เดินจากไปเนี่ยนะ' เธอคิดในใจ
“ลูคัส”
“ว่าไงครับ”
“ฉันจะหย่า พอจะมีทางไหนบ้างไหม”
“ห้ะ! หย่างั้นเหรอ คุณจะหย่าเหรอ!” เขาถามเธอด้วยความตกใจ
“ใช่ ฉันจะหย่า”
“ทำไมคุณถึงจะหย่าล่ะ แล้วพวกเด็ก ๆล่ะ”
“ก็สามีในนามของฉันอยากให้ฉันทำหน้าที่แม่ ‘อย่างเต็มที่’ ไม่ใช่เหรอ ตั้งแต่ได้มาอยู่ที่นี่ฉันก็รู้ได้เลยว่าหน้าที่ของฉันคือไม่ต้องทำอะไร แล้วพวกเขาไม่ได้เป็นครอบครัวจริง ๆ ส่วนเด็ก ๆ ก็ไม่ได้มีความรัก ความเคารพ ความผูกพันกับแม่ของพวกเขาเลยแล้วฉันจะอยู่ที่นี่ทำไมกัน”
“คุณไม่สงสารเด็ก ๆ เหรอที่เขาต้องขาดแม่ไป”
“ลูคัส เจ้าเด็กน้อยเอ๋ย บางครั้งคำว่าครอบครัวก็ไม่ต้องมีทั้งพ่อแม่ลูกหรอกนะ คำว่าครอบครัวสำหรับฉันคือการร่วมทุกข์ร่วมสุขไปด้วยกันแต่ครอบครัวนี้ไม่ใช่เลย อีกอย่างนะฉันไม่ได้อยากมาที่นี่ ที่โลกเดิมฉันก็มีชีวิตเป็นของตัวเองแต่อยู่ ๆ ก็โผล่มาที่โลกนี้ นายคิดจะให้ฉันทำใจได้แล้วก็กลายเป็นแม่ผู้ใจดีของเด็ก ๆ พวกนั้นเหรอ ขอโทษนะฉันทำให้ไม่ได้หรอก”
ต้องขอโทษด้วยที่เธอเห็นแก่ตัวโดยที่ไม่ได้สนใจความรู้สึกของเด็ก ๆ แต่การมาที่โลกนี้ก็ไม่ใช่ความยินยอมของเธอเช่นกัน เธอจึงไม่สามารถทำเพื่อคนอื่นโดยไม่สนใจความรู้สึกของตัวเองได้
“แต่เด็ก ๆ …”
“ทุกคนมีชีวิตและปัญหาเป็นของตัวเองลูคัส ต่อให้วันนี้จะพยายามหลีกเลี่ยงสักแค่ไหนวันหนึ่งนายก็ต้องเผชิญหน้ากับมันอยู่ดี ส่วนเด็ก ๆ สักวันหนึ่งแม่ของพวกเขาก็จะจากไปอยู่ดีและการที่ฉันมาอยู่ที่นี่ก็แค่ทำให้เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเร็วกว่าเดิมก็เท่านั้น”
เธอรู้ดีว่าอีกไม่เกินสองปีแม่ของพวกเขาจะเสียชีวิตและเหตุการณ์นั้นก็จะเปลี่ยนแปลงเหล่าพระเอกไปตลอดชีวิต หลังจากที่แม่ของพวกเขาได้จากไปก็ไม่มีใครห้ามหรือทำให้พวกเขากลัวได้อีกและพ่อของเหล่าพระเอกก็ทำแต่งานจึงไม่มีเวลาดูแลตักเตือนพวกเขามากนัก ทำให้ความสัมพันธ์ในครอบครัวค่อย ๆ ห่างไกลกันออกไป
แต่เมื่อเหล่าพระเอกเจอคู่ชีวิตหรือนางเอกของตัวเอง จากความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ห่างเหินก็ค่อย ๆ กลับมาใกล้ชิดกันและอบอุ่นมากขึ้น ดังนั้นทุกคนมีหนทางเป็นของตนเอง ความทุกข์ในวัยเด็กเป็นสิ่งที่เหล่าพระเอกต้องเผชิญแต่เมื่อโตขึ้นพวกเขาก็จะพบกับความสุขของตัวเอง
เมื่อคิดได้ดังนั้นเธอจึงลุกเดินออกจากห้องไปทันที
“แล้วนี่คุณจะไปไหน!” เขาถามเธอด้วยความร้อนใจแต่สิ่งที่เธอตอบกลับทำให้เขาร้อนใจยิ่งกว่าเดิมซะอีก
“ไปหย่า”