ฉันจะไม่ทน (1/2)
บทที่ 2 ฉันจะไม่ทน
เมื่อรู้ว่าตนเองได้ทะลุเข้ามาในนิยายเรื่องไหนไลลาลินก็รีบเดินกลับไปที่ห้องของเธอเพื่อคุยกับลูคัสทันที
“นี่ลูคัส ฉันรู้แล้วนะว่านิยายที่ฉันได้เข้ามาอยู่คือเรื่องไหน ชื่อเรื่องพิสรัลใช่ไหม” เธอถามออกไปด้วยความมั่นใจ
“คุณรู้ได้ยังไง!” ลูคัสมองเธอด้วยความตกใจ
“ก็เรื่องนี้เป็นนิยายเรื่องล่าสุดที่ฉันอ่านนี่ อีกอย่างทุกรายละเอียดก็เหมือนเรื่องนั้นหมดเลยด้วย”
“ผมนึกว่าคุณไม่สนใจนิยายพวกนี้ซะอีก” เขาบ่นอุบอิบเพราะลูคัสตั้งใจจะทำให้เธอทายว่าเธอได้ทะลุเข้ามาในนิยายเล่มไหน
“ปกติฉันก็ไม่ได้สนใจนิยายพวกนี้หรอกแต่ครั้งแรกที่ได้อ่านนิยายเรื่องนี้ก็ทำให้รู้สึกมีทั้งความสุขและเศร้าไปพร้อมกับตัวละคร แปลกจริง ๆ”
ลินพึมพำกับตัวเองด้วยความสงสัยใคร่รู้ เนื่องจากปกติเธอทำงานตลอดไม่มีเวลาว่างมาสนใจนิยาย แต่ครั้งแรกที่เธอได้เห็นนิยายทั้งสามเล่มนั้นกลับสนใจขึ้นมาดื้อ ๆ
“อีกอย่างถ้าฉันจำไม่ผิดในนิยายแม่ของเหล่าพระเอกเสียชีวิตตอนพวกเขาอายุหกขวบสินะ”
“ใช่ เธอเสียชีวิตด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ น่าเศร้าจริง ๆ”
“อย่างนั้นเหรอ ทุกคนต้องตายอยู่แล้วขึ้นอยู่กับว่าช้าจะเร็วเท่านั้น” เธอตอบเขาด้วยท่าทีที่ไม่รู้สึกอะไร
“คุณไม่สงสารเธอเลยเหรอ ใจร้ายเกินไปแล้วนะ!” เฮ้อ ผู้หญิงคนนี้เย็นชาเกินไปแล้ว
“แล้วฉันพูดถูกไหมล่ะ”
“เฮ้อ ก็จริงตามที่คุณพูด” ถึงคำพูดของเธอจะโหดร้ายไปหน่อยแต่สิ่งที่เธอพูดมาก็เป็นความจริง
“แล้วเธอชื่ออะไรเหรอ ในนิยายบอกแค่ว่าเธอเสียชีวิตไม่ได้บอกอะไรเกี่ยวกับเธออีกเลย”
“เธอชื่อไลลาลินเหมือนคุณเลย ชื่อเล่นก็ลินเหมือนกันด้วย”
“จริงเหรอ โลกกลมขนาดนั้นเลย?” ลินถามด้วยความสงสัย
“จริงสิแต่โลกไม่ได้กลมขนาดนั้นหรอกเพราะคนละนามสกุลน่ะ” เขาพูดพร้อมกับมองมาที่เธอด้วยสายตาเวทนา
เฮ้อ เจ้าระบบบ้านี่ต้องโดนดีเข้าสักวันๆ
“จ้า รู้แล้วจ้า” เธอตอบกลับเขาไปด้วยความเอือมระอา แต่ถึงอย่างนั้นเธอก็รู้ว่าไม่มีทางที่นามสกุลเดิมของผู้หญิงที่ได้แต่งงานกับมหาเศรษฐีจะเหมือนกับนามสกุลกลางของสถานสงเคราะห์แบบเธออยู่แล้ว
ใช่แล้ว เธอเป็นเด็กกำพร้า เธอถูกเลี้ยงดูโดยสถานสงเคราะห์มาตั้งแต่เด็กเมื่อโตขึ้นเธอพยายามตั้งใจเรียนและทำงานอย่างหนักเพราะรู้ว่าตัวเองไม่มีต้นทุนชีวิตเหมือนคนอื่น นั่นจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เธอบ้าทำงานอย่างหนักเพื่ออนาคตที่ดีของตัวเอง จะพูดอีกอย่างก็คือเพราะความจนมันน่ากลัวเธอจึงต้องดิ้นรน
ดังนั้นเมื่อรู้ว่าตนเองได้ทะลุเข้ามาในนิยายเธอก็ตั้งสติได้อย่างรวดเร็ว เพราะในโลกเดิมของเธอไม่มีอะไรต้องห่วงแต่ถึงอย่างไรเธอก็อยากกลับไปที่โลกเดิมของเธอเพราะที่นั่นเป็นที่ที่เธอเติบโตขึ้นมา
“แล้วตอนนี้เด็กพวกนั้นอายุเท่าไหร่เหรอ”
“ตอนนี้พวกเขาอายุสี่ขวบกว่า ๆ แล้วถึงแม้จะอายุน้อยแต่อย่าได้ดูถูกพวกเขานะ เพราะแม้อายุเท่านี้แต่ก็พูดคุยและเข้าใจหลายเรื่องแล้ว” เขาเตือนเธอ
“ฉันรู้น่า” เธอรู้ว่าถึงเด็กทั้งสามแม้จะอายุไม่มากแต่ทั้งสามก็มีความฉลาดในตัวเอง ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะเป็นพระเอกในนิยายได้อย่างไร
“พวกเขามีนิสัยต่างกันมากเลยนะ นายว่าไหม”
“ผมก็คิดเหมือนคุณเลย! ชินดูเย็นชา นิ่ง ๆ แล้วก็ดูสุขุมมาก จินดูใจร้อนโผงผาง ส่วนตินเขาทั้งตัวเล็กและเอ่อ…”
“ขี้แย แล้วสาเหตุที่ตัวเล็กน่าจะมาจากร่างกายอ่อนแอ คงเพราะตอนที่อยู่ในท้องเขาได้รับสารอาหารน้อยกว่าเด็กอีกสองคน”
เธออธิบายให้เขาฟัง ลินรู้เพราะในโลกเดิมของเธอเพื่อนร่วมงานได้ตั้งครรภ์แฝดสองแต่เด็กทั้งสองกลับมีสุขภาพที่แตกต่างกัน คนหนึ่งสุขภาพแข็งแรงส่วนอีกคนสุขภาพอ่อนแอน้ำหนักตัวน้อยเพราะช่วงที่อยู่ในครรภ์ได้รับสารอาหารไม่เพียงพอ
"ใช่เลย! เขาร้องไห้บ่อยมากจริง ๆ เขาน่ะ-"
ก่อนที่ลูคัสจะพูดจบ จู่ ๆ ลินก็ตัดบทเขาเนื่องจากเธอนึกขึ้นได้ถึงเรื่องสำคัญที่ต้องพูดกับเขา เพราะมัวแต่คุยสัพเพเหระกับเขาทำให้เธอไม่ได้คุยประเด็นที่สำคัญสักที
“จริงด้วยสิ ในนิยายบอกว่าแม่ของเด็ก ๆ จะเสียชีวิตตอนพวกเขาอายุหกขวบและตอนนี้พวกเขาอายุสี่ขวบแล้ว ถ้าเป็นอย่างนั้นจริง ฉันก็ต้องอยู่ที่นี่ประมาณสองปีแล้วก็จะสามารถกลับโลกเดิมได้ใช่ไหม”
“คุณรู้ได้ยังไงว่าคุณจะได้กลับไปโลกเดิมของคุณ” เขาถามเธอด้วยความสงสัย
“ก็ร่างกายของฉันยังอยู่ดี ไม่ได้ตกน้ำ โดนรถชน โดนแทงหรือป่วยตายเหมือนในนิยายเรื่องอื่นนี่”
อย่าได้ดูถูกเธอเด็ดขาด ถึงแม้ว่าจะยุ่งกับงานแต่เมื่อมีเวลาว่างเธอก็จะอ่านนิยายแนวทะลุมิติอยู่เป็นประจำทำให้รู้ว่าสาเหตุที่นางเอกนิยายหลาย ๆ เรื่องกลับโลกเดิมไม่ได้เพราะไม่มีร่างกายในโลกเดิมแล้ว นางเอกนิยายจึงเลือกที่จะอยู่ในโลกที่ได้ทะลุมิติไป
“โอ้โห คุณคงเป็นแฟนพันธุ์แท้นิยายทะลุมิติสินะ” เขาคิดในใจว่าเธอฉลาดไม่เบาเลย
“แน่นอน ถึงฉันจะงานยุ่งขนาดไหนแต่ก็ต้องแบ่งเวลาไปทำสิ่งที่ชอบได้ด้วย” เธอตอบอย่างภูมิใจเพราะข้อดีของเธออย่างหนึ่งคือการแบ่งเวลาเป็นยังไงล่ะ
“…” ไม่คิดจะถ่อมตัวเลยสินะ
“อย่าเปลี่ยนเรื่อง ตอบคำถามของฉันมาก่อน” เกือบหลงกลเขาอีกแล้ว
“เอ่อ คุณถามผมว่าอะไรนะ”
ลินเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่านิสัยที่ชอบเปลี่ยนเรื่องคุยไปเรื่อยของเขาเป็นสิ่งที่เขาตั้งใจหรือเป็นนิสัยจริง ๆ ของเขากันแน่
“ฉันถามว่า ฉันก็ต้องอยู่ที่นี่สองปีแล้วถึงจะสามารถกลับโลกเดิมได้ใช่ไหม”
“ใช่ ๆ อีกสองปีคุณจะเลือกได้ว่าจะอยู่ที่นี่ต่อหรือกลับโลกเดิมก็ได้”
“ถ้าฉันอยากกลับตอนนี้ล่ะ นายช่วยฉันไม่ได้เหรอ” เธอถามพร้อมกับทำหน้าตาน่าสงสาร
“ขอโทษนะครับคุณผู้หญิง ถึงคุณจะทำหน้าตาน่าสงสารยังไงผมก็ช่วยคุณกลับโลกเดิมไม่ได้ ภารกิจของผมคือให้การช่วยเหลือคุณในช่วงสองปีนี้เท่านั้น ผมไม่มีอำนาจมากพอที่จะส่งคุณกลับหรอกนะ”
“เฮ้อ นายนี่มัน…” เธอบ่นเขา
“อะไร ผมมันอะไร!” เขารีบตอบกลับเธอด้วยความโมโห
“เปล่า ไม่มีอะไรหรอก” ช่างเถอะ ชีวิตที่นี่ก็น่าจะดี โอกาสใช้ชีวิตแบบคนรวยสองปีใช่ว่าจะหาได้ง่าย ๆ เพราะงั้นการอยู่ที่นี่ถือว่าเป็นการพักผ่อนละกัน
“แล้วตอนนี้เวลาที่โลกเดิมของฉันหยุดไว้งั้นเหรอ”
“หยุดแน่นอน คุณไม่ต้องห่วงนะถ้าอีกสองปีข้างหน้าคุณเลือกที่จะกลับไปที่โลกเดิม ตอนที่คุณตื่นขึ้นมาก็จะเป็นวันที่คุณจะได้เลื่อนตำแหน่งงานตามที่คุณคาดหวังไว้”
“ฉันเข้าใจแล้ว” ลินมีเวลาอยู่ที่โลกนี้สองปีจากนั้นเธอก็ต้องเลือกว่าจะอยู่โลกนี้ต่อไปหรือกลับโลกเดิมของเธอ
“อ้อ อีกอย่างนะลูคัส ที่นายบอกว่านี่เป็นครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ ฉันไม่คิดว่าครอบครัวนี้จะเป็นแบบนั้นหรอกนะ”
เมื่อถูกจับได้ว่า ‘ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ’ ที่เขาเคยพูดไว้ไม่ใช่แบบนั้น เขาจึงพูดความจริงกับเธอแทนว่าครอบครัวนี้จริง ๆ แล้วเป็นแบบไหน
“จริง ๆ ก็ไม่ใช่ครอบครัวที่สมบูรณ์แบบหรอก เพราะเด็กทั้งสามคนไม่เคยใกล้ชิดกับแม่ของพวกเขาเลยส่วนพ่อก็ทำงานตลอดเวลา เจ้าของร่างเดิมถูกบังคับให้มาแต่งงานกับคุณศิระเพื่อธุรกิจ เมื่อเจ้าของร่างเดิมคลอดลูกเธอก็ไม่ได้สนใจพวกเขามากนัก ช่วงแรกเด็ก ๆ ก็พยายามเข้าหาแม่ของเขาแต่ได้รับความเฉยชากลับมาเด็กทั้งสามจึงค่อย ๆ ห่างกับเธอไปส่วนความสัมพันธ์ระหว่างเจ้าของร่างเดิมกับคุณศิระก็เป็นเพียงสามีภรรยาแค่ในนามเท่านั้นทั้งสองคนไม่ได้รักกันเลย”
“มิน่าล่ะ ตอนที่ฉันหอมแก้มเด็ก ๆ ก็ทำหน้าประหลาดใจ” เธอยังจำสีหน้าของเด็กทั้งสามคนนั้นได้ดี ถึงเธอจะเป็นเด็กกำพร้าแต่เธอก็รู้ว่าเรื่องนี้ควรเป็นเรื่องปกติในครอบครัวด้วยซ้ำแต่เด็กสามคนดูตกใจมาก ครอบครัวนี้คงไม่ใช่ครอบครัวทั่วไปเหมือนที่เธอคิดแล้ว
“เดี๋ยวนะ นายบอกว่าเธอถูกบังคับให้แต่งงานเพื่อธุรกิจอย่างนั้นเหรอ”
“ใช่ จากที่ผมได้ข้อมูลมาเหมือนเธอจะไม่ถูกกับครอบครัวของเธอด้วย เวลาเธอคุยโทรศัพท์เธอมักจะขมวดคิ้วและทำหน้าตาเคร่งเครียดเสมอ ช่วงไหนที่เครียดหนักเธอก็มักจะร้องไห้ออกมา”
“เธอคงต้องแบกรับภาระเยอะสินะ แต่นั่นก็ไม่ใช่เหตุผลที่เธอจะไม่สนใจลูกของตัวเองเลย”
เด็ก ๆ ไม่ได้ขอเกิดมาสักหน่อย ถ้าคิดจะมีลูกอย่างน้อยก็ควรพร้อมที่จะดูแล ให้ความรักและให้เวลากับพวกเขา ถึงเงินจะสำคัญมากแต่ถ้าจะเลี้ยงลูกให้เติบโตอย่างมีความสุขมีแค่เงินอย่างเดียวมันไม่พอจริง ๆ
ลินคิดในใจว่า ‘เพราะเป็นอย่างนี้ฉันถึงไม่อยากมีลูก ถึงตอนนี้ฉันจะมีเงินแล้วแต่ฉันไม่มีเวลา ความรัก ความพร้อมในการดูแลให้ได้ทั้งนั้น’
“น่าสงสารเด็ก ๆ พวกเขาไม่ผิดอะไรเลยนะ” เพราะการที่เห็นเด็กโดดเดี่ยวมันทำให้เธอนึกถึงตัวเองเมื่อยังเป็นเด็ก จากเด็กคนหนึ่งที่ต้องการความรัก ความอบอุ่น การโอบกอด การดูแลและหวังอย่างลม ๆ แล้ง ๆ ว่าสักวันเธอจะได้รับมันแต่เมื่อโตขึ้นความหวังที่เธอเคยมีก็ค่อย ๆ หมดไปเหมือนเทียนที่กำลังค่อย ๆ ดับลง ดังนั้นเธอจึงสัญญากับตัวเองไว้ว่าเธอจะไม่มีลูกเด็ดขาดถ้าเธอยังไม่พร้อมเพราะไม่ต้องการให้ลูกของเธอต้องมารับรู้ความรู้สึกแบบเดียวกันกับเธอ
เมื่อเห็นลินเงียบไปลูคัสรู้สึกเป็นห่วงจึงได้ชวนเธอคุยเรื่องใหม่ ๆ
“นี่ คุณรู้ไหมว่าอยู่ที่นี่คุณอยากทำอะไรก็ได้นะ!”
“หืม จริงเหรอ” เธอถามเขาด้วยความสงสัย
“ใช่ คุณจะทำอะไรก็ได้เพราะตอนนี้คุณรวยมาก”
“ซื้อของแบรนด์เนม?”
“ไม่สะเทือนเงินในบัญชีเลย”
“ซื้อรถหรู?”
“สบายมาก”
“สร้างคฤหาสน์?”
“ที่ไหนดีล่ะ”
“นี่ฉันเป็นหนูตกถังข้าวสารเหรอเนี่ย”
“เรียกว่าถังทองคำจะดีกว่า” ลูคัสพูดพร้อมกับรอยยิ้มที่ยียวนกวนประสาทของเขาแต่ลินก็มองไม่เห็นอยู่ดี
“นายรู้ไหมว่าเงินหายากขนาดไหน” เธอสงสัยจริง ๆ ว่าถ้าเทียบกับมนุษย์แล้วเขาอายุเท่าไหร่กันแน่
“ขนาดไหนก็ช่าง คุณไม่ได้หานี่ คุณแค่มีหน้าที่ใช้อย่างเดียว”
ลินหัวเราะให้กับคำตอบของเขาและตอบกลับว่า “เยี่ยมไปเลย”