ตอนที่ 3
“อ๋อ…ลืมไป อีกอย่างที่ไม่เปลี่ยน…คุณยังหล่อเหมือนเดิม คุณทำให้ฉันหัวใจเต้นแรงได้ทุกครั้งที่อยู่ใกล้”
เธอกล่าวยิ้มๆ จ้องมองดวงตาสีนิล ใบหน้าคมคร้าม แก้มระคายเคราน่าลูบไล้ ขนที่หน้าอกรกรามเลยกระดุมเม็ดแรกที่ไม่ได้กลัดเอาไว้ ผิวสีน้ำตาลแดงอย่างคนที่เผชิญกับชีวิตกลางไร่ส้มมาอย่างโชกโชน แผงหนวดหนาเหนือริมฝีปากหยัก ยิ่งทำให้ใบหน้านั้นดูเข้มจนออกไปทางดุ ถ้าเขาไม่ยิ้ม
“ฟาร์มของผมยินดีต้อนรับคุณกับลูกสาวเสมอ” ชรัมภ์รีบเปลียนเรื่อง
อัญชันสังเกตเห็นรอยยิ้มอบอุ่นประดับไว้ตรงมุมปาก
“ขอบคุณมากชรัมภ์…”
“เล็กน้อยน่ะ…”
“ในบางครั้ง บางวันที่ฉันกำลังรู้สึกว่าตัวเองโดดเดี่ยว ไม่มีใคร อย่างน้อยฉันก็ยังมีเพื่อนที่แสนดีอย่างคุณ ขอบคุณเหลือเกิน” กล่าวพลางโผเข้าสวมกอดร่างสูงใหญ่ของเขา
“ถ้าในยามที่คุณเดือดร้อนแล้วผมช่วยเหลืออะไรคุณไม่ได้…เพื่อนอย่างผมต่างหากที่ควรจะรู้สึกผิด”
“ขอบคุณเหลือเกิน…ชรัมภ์”
น้ำเสียงซาบซึ้ง หยาดน้ำตาเคลื่อนคลอออกมาบางๆ
“โอ๋ๆ…อย่าร้องไห้ ไม่ว่าเวลาจะเปลี่ยนไปแค่ไหน คุณก็ยังเป็นนางเอกเจ้าน้ำตาเหมือนเดิม” เขาแกล้งว่า
“บ้า!...จำผิดคนแล้ว นางเอกเจ้าน้ำตานั่นอีกคนค่ะ ไม่ใช่ฉายาของฉันสักหน่อย” เธอทำหน้าง้ำ
“ผมล้อเล่น ใครจะลืมฉายาคุณได้ล่ะ ‘ดาวยั่วหน้าอกภูเขาไฟ…บั้นท้ายดินระเบิด’ ถูกต้องมั้ย”
“บ้า!...”
เธอทุบไปที่ปั้นไหล่กำยำของเขา ผิวขาวซ่านแดงไปด้วยสีของโลหิต ออกอาการเอียงอายน้อยๆ ยกมือข้างหนึ่งปาดน้ำตาที่ซึมคลอออกมา ครั้นแล้วจึงกล่าวต่อ
“ยี่สิบปีที่ผ่านมา ฉันปกปิดลูกสาวมาโดยตลอด ลูกไม่เคยระแคะระคายว่าในอดีตแม่เคยเป็นดารา กระทั่งความแตกก็ตอนเจอกับบรรดากองทัพนักข่าวที่สนามบิน”
“คุณปกปิดได้เก่ง”
ชรัมภ์กล่าว พลางเอื้อมไปรินวอดก้าลงแก้วให้เธอ
“ขอบคุณค่ะ”
มือเรียวเอื้อมรับแก้วเหล้าจากมือใหญ่ของเขา
เรื่องที่อัญชันอ้อนวอนให้ชรัมภ์ช่วย คืออยากให้ลูกสาวไปเก็บตัวเงียบๆอยู่ที่ฟาร์มของเขาสักพัก ในระหว่างที่เธออยู่เมืองไทย เพราะชรัมภ์เคยบอกว่าฟาร์มของเขากว้างขวาง เงียบสงบเป็นส่วนตัว เค้าเองก็ยังไม่มีครอบครัว บ้านช่องรึก็ใหญ่โตราวกับคฤหาสน์
ชรัมภ์เคยชวนให้อัญชันมาเที่ยวที่ฟาร์มของเขาอยู่บ่อยๆ ซึ่งเธอก็ไม่มีโอกาสได้มาเห็นสักที เพราะหลังจากคลอดลูก เธอก็ใช้ชีวิตอยู่ที่อเมริกาเรื่อยมา
“ว่าแต่คุณพร้อมวันไหน…ผมจะให้คนไปรับคุณกับลูกสาวทันที แต่ถ้าไม่ติดธุระอะไร ผมจะมารับด้วยตัวเอง” น้ำเสียงกระตือรือร้น บ่งบอกว่าเขาใส่ใจ ให้ความสำคัญกับธุระของเธอเป็นอันดับแรก
“ขอบคุณมาก”
คงมีเพียงคำพูดที่จะตอบแทนเขาได้
อัญชันไม่มีญาติที่เมืองไทย เธอเป็นลูกสาวคนเดียว พ่อแม่ของเธอเสียชีวิตไปแล้วทั้งคู่ ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ ตั้งแต่ตอนที่เธอเริ่มจำความได้
“มาพักที่ฟาร์มของผมดีกว่า ไม่เห็นจะต้องไปนอนโรงแรม” ชรัมภ์ชวน
ในวินาทีนั้นอัญชันรู้สึกได้ถึงความมีน้ำใจของเขา แม้ชรัมภ์จะเป็นผู้ชายที่เรียบง่าย รักชนบทเป็นชีวิตจิตใจ ทว่าความซื่อและจริงใจของเขานั่นเอง ที่ทำให้อัญชันแอบประทับใจมาตั้งแต่แรก
หลายๆครั้งที่เธอนึกชื่นชมกับมาดลูกทุ่งๆของเขา ชอบในความหล่อเหลาซึ่งไม่ได้เกิดจากอุปนิสัยรักความสำอางจนเกินเหตุ ไม่ได้ปรุงแต่งตัวตนจนเกินไป เหมือนพวกผู้ชายยุคใหม่ทุกวันนี้ ประกอบกับความเถื่อนดิบและความร้อนแรงลึกๆที่เธอสัมผัสได้ ล้วนเป็นเสน่ห์ลึกลับของชรัมภ์ ที่ทำให้ตัวตนของผู้ชายคนนี้แตกต่าง…ดูช่างน่าค้นหาอยู่เสมอ
“ตัดสินใจได้หรือยังครับ…ว่าจะให้ผมมารับวันไหน”
“วันมะรืนค่ะ…”
“วันมะรืนผมติดธุระ ต้องลงมากรุงเทพฯอีกครั้ง กว่าจะกลับก็สองวัน เอางี้…พอคุณถึงสนามบินเชียงใหม่ ผมจะให้คนมารอรับคุณกับลูกสาว เรื่องที่พักผมจะฝากให้แม่บ้านเป็นธุระจัดการให้” เขาออกความเห็น
“ยังไงก็ได้ค่ะ…ขอบคุณอีกครั้ง”
“เลิกขอบคุณผมได้แล้วอัญ…”
เขาเรียกชื่อเธอสั้นๆ ซึ่งอัญชันก็ชอบ เพราะมันดูเป็นกันเองมากกว่าตอนที่เขาเรียกชื่อเธอเต็มๆ การเรียกแบบนั้น ทำให้เธอรู้สึกราวกับว่าตัวเองได้ย้อนกลับไปสู่วัยสาวอีกครั้งหนึ่ง…ชรัมภ์เรียกเธอว่า ‘อัญ’ ตอนที่เขาพยายามจีบเธอใหม่ๆ
“แล้วเจอกันนะคะ”
เธอกล่าวยิ้มๆ จากนั้นก็หยัดร่างรัดรึงขึ้นจากเก้าอี้ ชรัมภ์ทอดสายตามองตามสะโพกผาย เธอช่างเป็นผู้หญิงที่เต็มไปด้วยเย้ายวนใจ ขณะที่เขาลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อจะกลับเช่นกัน พลันสายตาก็เหลือบไปเห็นกุญแจห้องที่อัญชันลืมเอาไว้ ไม่ทันที่จะหันไปเรียก เธอก็ขึ้นลิฟท์ไปเสียแล้ว
เขาหยิบกุญแจขึ้นมาจากโต๊ะ ผู้ชายอย่างชรัมภ์ไม่ได้ซื่อจนไม่ประสีประสากับสายตาและรอยยิ้มอันเต็มไปด้วยความหมายของอัญชัน เขาจึงตัดสินใจว่าจะเอากุญแจไปคืนเธอที่ห้อง