ตอนที่ 4
เมื่อลิฟต์ส่งเขาขึ้นมาถึงห้องที่อัญชันพักอยู่ เขาเห็นสะโพกของเธอเหวี่ยงไหวอยู่ไวๆ ขณะที่กำลังจะขยับริมฝีปากเรียก ร่างรัดรึงก็ลับหายไปตรงหัวมุมทางเดินที่แยกไปทางปีกซ้าย ครู่สั้นๆเขาก็ตามมาทันตอนที่เธอยืนอยู่หน้าประตูห้อง
“อัญ…”
เสียงทุ้มกังวานดังขึ้นข้างหลังเธอ
“ชรัมภ์”
เธอหันมาทำหน้าตกใจ ที่เห็นว่าเขายังไม่กลับ
“อ้าว!...ยังไม่กลับหรือคะ”
หัวคิ้วโค้งเรียวราวคันศร ชิดเข้าหากันเล็กน้อย
“คุณลืมกุญแจห้อง”
“ตายจริง!…ทำไมขี้หลงขี้ลืมอย่างนี้นะ”
เธอตำหนิตัวเอง พร้อมๆกับรับกุญแจมาจากมือของเขา ตรงเข้าไปไขประตู จากนั้นก็ชำเลืองมาที่ร่างสูงใหญ่ แสงไฟเพดานที่สาดจับเสี้ยวหน้าบางส่วนของเขา เผยให้เห็นเค้าโครงหล่อเหลาของใบหน้าซึ่งดูแข็งแกร่งราวกับประติมากรรมที่ประติมากรสลักเสลาได้อย่างสมบูรณ์แบบ ไร้ที่ติ
“คุณจะเปลี่ยนใจ เข้ามาข้างในก่อนมั้ยคะ” เธอชวน แววตาเย้ายวน
ชรัมภ์มีอาการลังแลจนอัญชันรู้สึกได้
“อย่างน้อยก็ชา…หรือกาแฟสักแก้ว ก่อนกลับ…นะคะ จะได้ไม่ง่วง”
เธอรบเร้าด้วยสายตาและน้ำเสียงหวาน ริมฝีปากอิ่มราวกับกลีบกุหลาบคลี่แย้ม ช่างดูเย้ายวน
ชรัมภ์รู้ดีว่าเสน่ห์ลึกลับที่ผู้หญิงคนนี้มี ไม่เคยเลือนหายไปจากความรู้สึกของเขา แม้จะผ่านมานาน ยืนยันด้วยช่วงเวลาสั้นๆที่ได้อยู่ใกล้กันเมื่อไม่กี่นาทีก่อนหน้า ก็พิสูจน์ชัดแล้วว่าอัญชันมีอำนาจเหนือความปรารถนาของผู้ชายชาตรีอย่างเขา
ชรัมภ์รู้อยู่แก่ใจว่าถ้าหากเขาเข้าไปในห้อง แน่นอนว่ามันคงไม่ใช่แค่ชาหรือกาแฟอย่างที่เธอว่า
‘เขาไม่ควรเข้าไป’
ชรัมภ์เตือนตัวเองอยู่ในใจ
แต่ในขณะที่กำลังจะขยับปากกล่าวอำลาและหมุนตัวกลัว
“เดี๋ยว…”
มือเรียวรีบเอื้อมมารั้งข้อมือของเอาไว้ ดึงให้ร่างสูงใหญ่เข้าไปในห้องของเธอ
ชรัมภ์ซึ่งอยู่ในอาการสองจิตสองใจ นึกตำหนิตัวเองที่ไม่มีเรี่ยวแรงขัดขืนเอาเสียเลย ทั้งที่รู้ดีว่าหากเขาขืนตัวเพียงนิด หนักแน่นกว่านี้อีกสักหน่อย เรี่ยวแรงมดของอัญชันไม่ทีทางฉุดเขาเข้าไปในห้องได้อย่างแน่นอน
เบื้องหลังประตูที่ปิดสนิท
เธอผลักลำตัวของเขาจนแผ่นหลังบึนหนาถอยไปกระแทกกับบานประตู จากนั้นอัญชันก็บดเรือนร่างรัดรึงเข้าหาเขาอย่างบ้าคลั่ง
“เอ่อ…!!! เดี๋ยว อัญ…คือว่า”
เขาตกใจ ทำสีหน้าแบ่งรับแบ่งสู้ หากความคึกแข็งของเขาที่บดคลึงอยู่กับหน้าขาของเธอก็ช่วยยืนยันว่าเขาต้องการเธอแค่ไหน
เห็นดังนั้น…สองมือเรียวก็กอบโกยใบหน้าของเขา แล้วสอดซอกนิ้วไปตามเส้นผมด้านหลังท้ายทอย พร้อมๆกับรั้งใบหน้าของชรัมภ์เข้ามาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจรวยรินของเขาที่โน้มใบหน้าเข้าหาพวงแก้มซับสีแดงระเรื่อของเธอในอาการอยากจูบไซ้ เช่นเดียวกับชรัมภ์ที่รับรู้ได้ถึงลมหายใจร้อนผะผ่าวของอัญชันที่พ่นระบายไปตามซอกคอของเขา
“แสดงให้เห็นสิคะ…ว่าคุณยังต้องการฉัน”
เธอตะแคงใบหน้าท้าทาย นาบริมฝีปากเข้าหาเขา แม้ชรัมภ์ไม่ทันตั้งตัว แต่องศาของใบหน้าในขณะนั้นก็พร้อมที่จะค้อมลงมาบดคลึงริมฝีปากเข้าด้วยกัน ปลายลิ้นสากแลบเลียกันเป็นเชิงทักทาย ก่อนจะเกลี่ยวกระหวัดรัดเกลียวกันพัลวัน
“อัญ…”
เขาเรียกกระชากริมฝีปากออกจากกันด้วยความรู้สึกเสียดาย คล้ายสับสน เรียกชื่อเธอด้วยน้ำเสียงห้าวลึก แต่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน ทั้งที่คิดในใจว่า ใครคนใดคนหนึ่งควรจะเป็นฝ่ายหักห้ามความปรารถนา ใครคนใดคนหนึ่งควรจะ ‘หยุด’ ก่อนที่อะไรจะเลยเถิดไปกว่านั้น
“ชรัมภ์…จูบฉันอีก ได้โปรด”
“เอ่อ…เดี๋ยวครับอัญ ใจเย็นครับ”
เขารีบห้ามเธอ อีกนัยก็คือห้ามตัวเอง พยายามหยุดมือข้างหนึ่งของเธอที่ลูบล้วงต่ำลงใต้เข็มขัด ซอกซอนลำนิ้วไปตามความเครียดเขม็งของเขาหลังจากคลายซิบลงจนสุดแนว ขณะที่มืออีกข้างปลดกระดุมเสื้อของเขาด้วยความชำนิชำนาญ แลเห็นแผงอกรกไรขน และกล้ามท้องเรียงลอนสลวย
“ทำไมคะ”
เธอเงยใบหน้าขึ้นสบตาเขา
“เอ่อ…ผมไม่รู้ว่าคุณแน่ใจนะครับ ว่าเราจะ…คือว่าผมไม่รู้จริงๆว่าระหว่างที่คุณหายหน้าไปจากเมืองไทย คุณไม่มีคนอื่น เอ่อ…ผมหมายถึงสามีใหม่ ผมอยากให้คุณเข้าใจว่าสิ่งที่เรากำลังจะทำ สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ เราไม่ได้ทำผิดต่อใคร”
อัญชันได้ยินก็ยิ้ม นึกในใจว่า ‘นี่แหละคือตัวตนอันแท้จริงของเขา ชรัมภ์คือผู้ชายที่รับผิดชอบต่อผู้อื่นและตัวเองเสมอเขาไม่ใช่คนที่จะเอาเปรียบใครในทุกๆเรื่อง’
“ข้อนั้นสำคัญด้วยหรือคะ?”
“คุณก็รู้จักผมดี…ที่ผ่านๆมาผมไม่รู้ว่าคุณมีใครอื่นหรือไม่? แต่ถึงแม้จะไม่มี ผมก็ไม่อยากจะฉวยโอกาสเอาจากความว้าเหว่ของคุณ”
“ว้าเหว่…จริงของคุณ ฉันว้าเหว่ แต่คุณคงไม่รู้หรอกว่ายี่สิบปีที่ผ่านมา ฉันรู้ซึ้งถึงความหมายของคำนี้ดีกว่าผู้หญิงคนไหนๆในโลกนี้”
เธอตัดพ้อเป็นนัย ถึงอดีตที่เธอต้องข้ามผ่านมันมาพร้อมๆกับช่วงเวลาอันแสนเหว่ว้าทรมาน
“ทำไมล่ะชรัมภ์?...ฉันน่ารังเกียจ น่าขยะแขยงมากนักหรือคะ คุณถึงได้ปฏิเสธฉัน”
เธอกล่าวพร้อมๆกับถอยออกมาจากเขา เพื่อจะให้เขามองเธอได้ชัดๆ ไม่ได้หยุด แต่ค่อยๆปลดกระดุมเสื้อของตัวเองออกทีละเม็ด