จอมเฉื่อยง่วงนอน
“มึงจะไปเร่งมันทำไม ไอ้เฉื่อยมันก็เป็นของมันแบบนี้ มึงรีบเดินไปจองโต๊ะก็สิ้นเรื่อง” แล้วฉันก็ต้องตาโตเมื่อเห็นว่าใครกำลังเดินมาทางนี้
มือสองข้างอยู่ในกระเป๋ากางเกงเดินเอื่อย ๆ ไม่สนใจใครจนเพื่อนต้องตะโกนเรียก ไอ้เฉื่อยมันสมฉายาเขาจริง ๆ แต่ถึงเขาจะเฉื่อยยังไง เขาก็สามารถดึงดูดผู้หญิงที่อยู่รอบตัวเขาได้ และฉันก็เป็นหนึ่งในนั้น รู้สึกเหมือนโดนตก
ฉันควรทำยังไงดี ฉันควรทักเขาดีไหม เขาจะจำฉันได้รึเปล่า
“มาแล้ว ก๋วยเตี๋ยวเจ้าอร่อย” ฉันละสายตาจากคนที่เดินเข้าไปนั่งร่วมโต๊ะกับเพื่อนเป็นคนสุดท้ายเมื่อเพื่อนฉันกลับมา
“พวกมึง นั่นพี่เวย์ที่อิหมวยอยากได้” กีกี้มันก็สังเกตเห็นเขาเหมือนกัน แต่ทำไมต้องเอาฉันไปร่วมด้วย
ฉันหันไปถลึงตาใส่มัน
“สมใจมึงแล้วสิ อยากเห็นก็ได้เห็น แล้วเอาไงจะเข้าไปทักพี่เขาไหม” วินเนอร์มันถามฉัน
“กูไม่กล้า”
“ตาย ต๊าย ความใจกล้าหน้าด้านของน้องหมวยเราไปไหนหมด”
“กูไม่ได้ด้านขนาดนั้นไหมวะ นี่เขาก็อ่านไลน์ แต่ไม่ตอบ” ฉันพูดอย่างอารมณ์เสีย
“ฮ่าๆ ๆ พี่เขาคนจริงว่ะ หรือเขาจะรู้ว่ามึงแรดแค่ไหน เลยไม่กล้ายุ่ง”
“อิเวร” หรือว่าเขาจะคิดแบบนั้นจริง ๆ ตอนนี้ฉันอยากจะตอบโต้กลับคนที่ตั้งฉายาพวกนี้ให้ฉันจริง ๆ
ติ๊ง
ติ๊ง
“นั้นไง พูดไม่ทันขาดคำ หนุ่มๆ มึงก็ไลน์เข้ามาเป็นแถว” ฉันกดเข้าไปดูในไลน์ ก็เห็นไลน์พวกผู้ชายที่ทักเข้ามา ถามว่ากินข้าวยัง ทำอะไรอยู่ ให้ไปกินข้าวเป็นเพื่อนไหม
ซึ่งฉันได้แต่ทำหน้าเซ็งๆ และไม่อยากตอบเหมือนทุกครั้ง เบื่อ คนที่อยากให้ตอบก็ดันไม่ตอบ
ฉันเหลือบตาไปมองที่โต๊ะของพี่เวย์ก็เห็นว่าเขากำลังกินข้าวอยู่เงียบๆ โดยไม่พูดอะไรกับใคร ทั้งที่เพื่อนนี่แทบจะตะโกนคุยกัน ทั้งเฉื่อยทั้งเงียบเหรอวะ
ฉันมองเขาไปด้วยแล้วก็กินไปด้วย จนกินเสร็จเขาก็ลุกจากโต๊ะเดินออกไปก่อนเพื่อน ไปไหนวะ
“พวกมึงเดี๋ยวกูมานะ” ฉันกินน้ำแล้วก็เช็ดปากคว้ากระเป๋าเดินออกมาโดนไม่สนใจพวกมันที่กำลังจะอ้าปากถาม
“ไปไหนแล้วนะไวจริง” ฉันมองหาคนที่เดินตามมา
“นั่นไง” เห็นหลังไวๆ ของเขา ก็รีบเดินตามไปทันที เขาเดินไปข้างๆ ตึก
“วิศวะมีที่แบบนี้ด้วยเหรอเนี่ย”
ข้างตึกจะเป็นคล้ายสวนน่ารักๆ มีต้นไม้สองสามต้นให้ร่มเงา พื้นหญ้าสีเขียวๆ ให้บรรยากาศร่มรื่นมาก ส่วนพี่เวย์ฉันก็เห็นเขายืนพิงต้นไม้ แล้วหยิบบุหรี่ออกมาสูบ
โอ๊ย เท่ซะไม่มี นี่พี่แกเล่นมิวสิววิดีโออยู่เหรอ
“ใคร” เสียงเรียบเย็นดังขึ้นทำให้ฉันได้สติ และอยากหายตัวไปจากตรงนี้ นี่ฉันเดินเข้ามาใกล้เขาขนาดนี้ตั้งแต่ตอนไหนนะ
“คือ”
“เธอเป็นใคร” เขาหันมาถามฉันเสียงเรียบ แล้วก็หันกลับไปดูดบุหรี่ในมือต่อ
“หนูชื่อหมวยค่ะ เป็นคนที่พี่ไปส่งเมื่อคืน คือหนูไลน์ไปหาพี่แต่พี่อ่านแล้วไม่ตอบ หนูอยากตอบแทน” ฉันอาศัยความใจกล้าหน้าด้าน และใส่คำพูดน่ารักๆ โดยแทนตัวเองว่า หนู ให้เขาได้เอ็นดู ทั้งที่กระดากปากตัวเองแทบตาย
และมันก็ได้ผลเมื่อเขาหันมองหน้าฉันตรง ๆ ไม่ตรงธรรมดานะแต่มองตั้งแต่หัวจรดเท้า คืออะไร
“ไม่ต้อง” เขาตอบกลับมาเสียงเนือยๆ แล้วไถลตัวนั่งลงบนพื้น จี้บุหรี่ในมือลงบนพื้นหญ้าให้ดับ เขาทำทุกอย่าง อย่างเฉื่อยชา แล้วก็ไม่สนใจฉันอีกเลยด้วย
“แต่ หนู”
“อยากตอบแทนเหรอ” ฉันยังพูดไม่ทันจบ เขาก็พูดแทรกขึ้น ฉันได้แต่พยักหน้ารัวๆ
“ค่ะ จะให้หนูออกค่าล้างรถให้หรือว่าเลี้ยงข้าวพี่สักมื้อดีคะ” ที่ทำอยู่นี่ฉันไม่ต้องการอะไรเลยนะ นอกจากตอบแทนเขา พูดจากใจจริง (เหรอหมวย)
“พวกนั้นไม่ต้อง มานี่หน่อย”
“ห๊ะ อะไรนะคะ” ฉันงง ที่อยู่ ๆ เขาก็เรียกให้เข้าไปหา
“มานั่งนี่” เขาตบลงบนพื้นหญ้าข้างตัว ท่าทีที่เขาพูดและการกระทำไม่ได้เร่งรีบหรือบังคับให้ทำตามทันที เขาบอกฉันอย่างใจเย็น เอื่อย ๆ ฉันเชื่อแล้วว่าเขาเฉื่อยจริง ๆ ใจเย็น ไม่โผงผาง ไม่พูดเยอะ เขาเป็นผู้ชายที่น่าสนใจมาก ซึ่งฉันก็ชอบผู้ชายที่ไม่พูดมาก
เอ๊ะ ไม่สิ ฉันไม่มีอะไรแอบแฝงทั้งนั้น และฉันก็ยังไม่ได้ชอบเขาด้วย
ฉันยอมเดินไปนั่งตามที่เขาบอก ใส่กระโปรงแบบนี้ฉันก็ต้องนั่งเป็นกุลสตรีหน่อย
“พี่มีอะไรรึเปล่าคะ” ฉันรู้สึกประหม่าเล็กน้อยที่อยู่ใกล้เขา หัวใจเต้นโครมครามแทบทะลุออกมาข้างนอก อาการแบบนี้ฉันไม่เคยเป็นมาก่อนตั้งแต่ใกล้ผู้ชาย เขาเป็นคนแรก
และการกระทำต่อมาของเขาก็ยิ่งทำให้ฉันแทบหยุดหายใจ ได้แต่อ้าปากค้างตาโตมองคนที่ไถลตัวลงนอนแล้วเอาหัวมาวางไว้บนตักฉัน ฉันยกมือทั้งสองข้างค้างอยู่กลางอากาศ มองคนที่หลับตาพริ้มหน้าตาเฉย อะไรของเขา
อิหมวยตายแน่ ตายแน่อิหมวย ฉันโบกพัดมือทั้งสองข้างแรงๆ เพื่อให้ลมตีหน้า ฉันหน้าร้อนใจสั่นไปหมดแล้วตอนนี้
“พี่คะ” ฉันเรียกเขาเสียงสั่น บอกเลยนี่เป็นเสียงที่คิดว่าไม่คิดจะทำเลยตลอดชีวิตของนังหมวยคนนี้
“หืม”
หืม อย่างนั้นเหรอ เขาต้องบ้าไปแล้วแน่ ๆ เราไม่ใช่พึ่งจะรู้จักกันหรอกเหรอ แล้วเขามาทำอย่างนี้ได้ยังไง นอนตักฉันหน้าตาเฉย
“ง่วง ขอนอนสักพัก” เสียงงึมงำทำให้ปากฉันที่กำลังจะอ้าพูด ต้องงับลง ง่วงอย่างนั้นเหรอ โอเค ง่วง เมื่อเขาบอกแบบนั้นแล้วผู้หญิงใจดีแบบฉันจะกล้าว่าอะไรเขาได้
ยอมก็ได้ ยอมให้นอนตักก็ได้ ถือว่าเป็นการตอบแทนเขาแล้วกัน ฉันมองหน้าคนที่หลับพริ้ม แต่ไม่รู้ว่าหลับจริงรึเปล่านะ ผมยาวๆ ของเขาปลิวไปตามแรงลมมันพัดขึ้นมาคลอเคลียที่ใบหน้าหล่อเหล่า
ฉันควรปัดออกให้เขาดีไหมนะ
เขาหลับจริงรึเปล่านะ
ฉันตัดสินใจก้มลงไปใกล้ๆ ก็เห็นว่าล้มหายใจของเขาเข้าออกสม่ำเสมอ
หลับจริง
หน้าหล่อๆ จมูกเป็นสัน ริมฝีปากกระจับไม่หนาไม่บางมาก ออกคล้ำๆ เขาคงสูบบุหรี่บ่อย ขนตายาวๆ คิ้วดกหนา แถมหน้านี่ใสกิกยิ่งกว่าผู้หญิงบางคน ฉันไม่เห็นเขามีหนวดสักเส้น เขาคงโกนเพราะเห็นรอยเขียวครึ้มบาง ๆ ถ้าไม่สังเกตดี ๆ จะไม่เห็น
“หืม”
ฉันสะดุ้งเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงจากคนที่นอนหนุนตัก นี่ฉันเผลอเอามือไปปัดผมออกจากหน้าเขาตอนไหน เพราะเหตุนี้เขาถึงครางอย่างขัดใจ ที่ไปกวนเวลานอนของเขา
อยากถามเหลือเกินว่าเขาจะนอนนานแค่ไหน แล้วไม่มีเรียนรึไง
เมื่อคิดถึงเวลาเรียนทำให้ฉันต้องหันไปมองรอบ ๆ อีกครั้ง กลัวว่าจะมีใครมาเห็น แต่ก็ไม่เห็นว่าแถวนี้จะมีใคร
ก็หายใจได้โล่งอก แล้วป่านนี้พวกเพื่อนฉันไม่คอยแย่แล้วเหรอ ฉันควรปลุกเขาแล้วกลับไปหาเพื่อนดีไหมนะ หรือว่า ไลน์ไปบอกเพื่อนให้กลับไปก่อนแล้วค่อยตามไป
ความคิดสองอย่างตีกันได้แต่ขมวดคิ้วมองหน้าคนที่เหมือนจะหลับสบาย
ฉันกำลังสับสนกับความคิดของตัวเอง จึงถอนหายใจออกมาเบาๆ
แต่ตอนนี้การกระทำของฉันมันไปก่อนความคิดแล้ว
หมวยคนสวย: พวกแก กลับไปก่อนเลยนะไม่ต้องรอ เดี๋ยวฉันตามไป
นี่ฉันไม่ได้เห็นผู้ชายดีไปกว่าเพื่อนนะ แต่พี่เขาหลับไงจะให้ปลุกมันก็เป็นการเสียมารยาท ว่าไหม
ฉันไม่รอดูว่าพวกมันตอบกลับมาว่ายังไง เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าทันที ไม่อยากตอบคำถามพวกมัน กลับไปค่อยเล่าครั้งเดียวหรืออาจจะไม่เล่า
นานกว่าสามสิบนาทีที่ฉันปล่อยให้เขานอนอยู่อย่างนั้นโดยไม่ส่งเสียอะไรเลย ฉันเริ่มปวดขาแล้วนะ ขาชาไปหมดแล้วด้วยจะลุกขึ้นรึเปล่าก็ไม่รู้
ดูเหมือนคำพูดในใจของฉันจะส่งไปถึงเขา ร่างใหญ่เริ่มขยับตัว เปลือกตาค่อยๆ ลืมขึ้นกะพริบๆสองสามที
ท่าทางช่างน่าเอ็นดูเสียจริงพ่อคุณ
กริ๊งๆ
เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นทำลายความเงียบ ฉันมองหาต้นเสียง มันไม่ใช่โทรศัพท์ฉันแน่ ๆ ฉันเห็นว่าเขาควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋ากางเกง แต่ตัวนี่ยังไม่ลุกออกจากตักฉัน ทั้งที่ตื่นแล้ว
แล้วเขาก็กดรับ
“อืม” เขากรอกเสียงลงไปอย่างสะลึมสะลือ เสียงติดออกแหบๆ หน่อย บอกได้เป็นอย่างดีว่าเขานอนพึ่งตื่นจริง ๆ หลับสบายจริงพ่อคุณ
“หลับ”
“ก็ง่วง”
ฉันไม่รู้ว่าทางนั้นพูดว่าอะไรแต่เขาก็ตอบกลับไปเพียงสั้นๆ ไม่ได้เสียงดังหรืออะไร เขาตอบตามสไตล์ของเขาเอื่อย ๆ เนือยๆ ยิ่งพึ่งตื่นความเฉื่อยช้าของเขายิ่งเพิ่มขึ้น
“กำลังไป”
โอเค เป็นการจบบทสนทนาของเขา เขาวางโทรศัพท์และฉันก็รอให้เขาลุกขึ้น แต่เขาก็ยังไม่ลุก
แล้วไอ้คำว่ากำลังไปของเขานี่มันตอนไหนไม่ใช่ตอนนี้หรอกเหรอ
“พี่คะ หนูต้องไปเรียนแล้ว” ฉันตัดสินใจพูดขึ้น เมื่อเห็นเขายังนิ่ง คนตัวโตเหลือบตาขึ้นมามองฉันแล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ
ถอนหายใจเพื่อ มีเรื่องอะไรหนักใจ เป็นฉันไหมต้องทำอย่างนั้น
“ขอบคุณที่นั่งเป็นเพื่อน” เขายอมลุกขึ้นนั่ง แล้วหันมาขอบคุณฉัน
นั่งเป็นเพื่อนงั้นเหรอ พูดผิดพูดใหม่ได้นะพี่ พี่ต้องพูดว่าขอบคุณที่ให้ยืมตักหนุนนอนสิ
ฉันไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่พยักหน้ารับคำขอบคุณของเขา มองคนตัวโตที่ค่อยๆ ลุกขึ้น เขาเสยผมที่ปกหน้าไปด้านหลัง
ฉันก็ควรลุกบ้าง
ฉันค่อยๆขยับตัวเพื่อจะลุก แต่ ลุกไม่ได้ ฉันขยับไม่ได้เลยขามันชาไปหมด เอามือยันพื้นแล้วค่อยๆ พยุงตัวเองลุกขึ้น
“โอ๊ย” แต่ก็ต้องล้มลงเหมือนเดิม
“ขาชาเหรอ” ฉันเงยหน้ามองคนถาม เขารู้ด้วยเหรอ
“พี่คิดว่ามันจะชาไหมล่ะคะ”
“หืม”
ฉันเม้มปากทันทีเมื่อเผลอพูดโต้กลับเขาเสียงแข็ง เขานั่งลงย่องๆ ตรงหน้าคิ้วเข้มๆ ขมวดเข้าหากันมองหน้าฉันเป็นเครื่องหมายคำถาม
“ขาชาค่ะ” ฉันหลบตาเขาแล้วตอบกลับเสียงเบา ทำไมเขาต้องทำให้ฉันเสียความมั่นใจด้วย
“ลุก” อยู่ ๆ เขาก็ยื่นมือมาตรงหน้า ฉันมองฝ่ามือนั้นแล้วเงยหน้าขึ้นมองเขาตาปริบๆ เขาก็ส่งสายตามาให้ประมาณว่า เร็วสิ
ฉันจึงยื่นมือไปจับมือเขา ทันทีที่มือเราสัมผัสกันความอบอุ่นก็เกิดขึ้น แถมหัวใจฉันยังเต้นไม่เป็นจังหวะ ฉันเม้มปากเป็นเส้นตรง
มือใหญ่ก็กำมือฉันแน่นแล้วเขาก็ดึงตัวฉันให้ลุกขึ้น
“โอ๊ยๆ เบาก่อน”
ความอ่อนโยนไม่มีสักนิด เอาความทราบซึ่งใจของฉันก่อนหน้านี้กลับมา
ก็เขาเล่นดึงฉันขึ้นครั้งเดียวแรงๆ เต็มความสูง จนฉันขาอ่อนแรง ให้ทายว่าเขาเข้ามาคว้าตัวฉันไว้รึเปล่า
ฉันตอบให้เองเลยว่า ไม่
เขาไม่คว้าฉันไว้สักนิดเป็นฉันที่ต้องคว้าเข้าที่แขนเขาแทน อิพี่เวร ขอด่าเขาในใจทีเถอะ เปลี่ยนชื่อให้ด้วย
“ไหวไหม” ยังมีหน้ามาถาม
“พี่ช่วยพยุงหนูไปนั่งตรงนั้นก่อนได้ไหมคะ” ฉันชี้ไปที่ม้าหินอ่อน เขาก็พยักหน้าให้ แล้วพาฉันไป
บางครั้งเขาก็เหมือนคนที่ไม่สนใจอะไรเลย บางครั้งก็เหมือนสนใจ หรือว่าบางทีเขาอาจจะสนใจแต่ขี้เกียจหรือความรู้สึกช้า
พอได้นั่งฉันก็ตบขาตัวเองเบาๆ
“ฉันต้องไปแล้ว” ฉันเงยหน้ามองคนที่ยืนพูดอยู่ตรงหน้า
“ค่ะ ไปเถอะ” ฉันหมดอารมณ์จะพูดกับเขา และนี่คงเป็นการตอบแทนที่เขาช่วยฉันไว้แล้วล่ะ
“อืม”
อืม
อืม
แค่นั้นก็เดินไปเลย โว๊ะ ผู้ชายอะไร นี่เสน่ห์ของฉันใช้ไม่ได้กับเขาเลยเหรอ ที่นอนหนุนตักนี่ก็เพราะต้องการหมอน