บทที่ 7 ตามหาดวงใจ
สายลมหนาวต้นเดือนตุลาช่วงย่ำรุ่ง พัดกระทบใบหน้าเรียวงามจนขาวซีด ร่างบางสั่นระริก ดาวที่เดินตามมังลอกได้แต่กอดอกก้มหน้ามองทาง จนมิทันเห็นว่า มังลอกหยุด จนทำให้เธอเดินชนเขาเข้าอย่างจัง
“โอ้ย เจ็บ!” หน้าผากเล็กมีรอยนูนแดง
“ทำไมตัวเจ้าสะพายดาบมาด้วย” คนตัวเล็กยังคงคลึงหน้าผากตัวเอง พร้อมกล่าวโทษมังลอกที่ทำให้เธอเจ็บตัว
“ก็มีไว้ใช้ป้องกันตัว” มังลอกแกะผ้าขาวม้าที่คาดบนเอวออกมาคลุมศีรษะให้กับดาว
“หนาวมากฤาไหม” สายตาหวานพร้อมรอยยิ้มที่อบอุ่น ทำให้เธอคลายความหนาวกายลงได้บ้าง
“ข้ามิเป็นกระไร” สาวน้อยรีบถอยรนออก
“เดินมิมองคน แล้วยังโทษคนอื่นอีก” เสียงทีฮะบ่นคล้อยตาม
“นั้นข้า…ขอโทษ” หญิงสาวพยายามสาวเท้าเล็กเดินให้ทันมังลอกแล้วกล่าวคำขอโทษ
เขามิตอบแต่ส่งยิ้มกลับมา
ช่วงสายตะวันส่อดแสง ความหนาวเย็นจางหายเหลือแต่ไออุ่นของแสงแดด
“เราพักทานข้าวเช้าที่นี้กันก่อนเถอะ” มังลอกหันไปบอกทีฮะ ทีฮะที่ได้ยินดังนั้นจึงใช้ดาบเดินไปฟันใบไม้เพื่อนำมารองนั่ง
“เจ้าเหนื่อยไหม” น้ำเสียงที่อ่อนโยนถามดาวที่ยืนพิงต้นไม้
“ไม่” แต่เสียงหายใจที่เหนื่อยหอบไม่อาจปิดบังเขาได้
หลังจากที่ทานข้าวเสร็จ “เรานั่งพักที่นี้กันก่อน จนเจ้าหายเหนื่อยเราค่อยเดินทางต่อ เจ้าจงรอพี่อยู่ที่นี้ พี่เดินไปตามทีฮะสักประเดี๋ยวแล้วพี่จะรีบกลับมา”
“เจ้าค่ะ” เมื่อได้ยินคำนี้ทำให้มังลอกยิ้มจนแก้มปริ เขาแทบไม่เชื่อหูตัวเองว่าดาวเป็นถึงหลานพระยา เมื่อถึงคราวจำเป็นต้องมาหมั้นหมายกับเขา เธอก็จำยอมไม่ได้ดูถูก หรือแสดงกิริยาดูแคลนเขาแม้สักนิด หรือแม้แต่เวลาพูดกับเขา เธอก็มิเคยพูดดูถูกให้ระคายหูทั้ง ๆ ที่เธอคิดว่า เขาเป็นแค่ไพร่คนหนึ่ง
“พี่จะถนอมเจ้าให้เหมือนที่เจ้าให้เกียรติพี่” เขาหันมองหญิงสาวก่อนจะเดินจากไป
“เป็นอย่างไรบ้าง เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปส่งข่าว”
“ข้าพเจ้าได้ส่งคน ไปส่งข่าวให้แก่เจ้าหญิงแล้วพระเจ้าค่ะ ไม่นานวันทางโน้นคงส่งข่าวกลับมา”
“แล้วเรื่องแม่ดาว เราจะกราบทูลพระเจ้าอยู่หัวอลองพญาอย่างไรดีพระเจ้าค่ะ ไหนจะพระอัครมเหสี ทรงมิยอมเป็นแน่แท้กระหม่อมคิดมิตก”
“เรื่องนั้นเจ้าอย่าได้วิตกกังวลเลย ข้าจะจัดการเอง เพียงแต่ตอนนี้ ให้เจ้าป่าวประกาศให้ทั่วถึงคนที่จะลอบทำร้ายเรา ถ้าหากมีใครกล้ามาลอบทำร้ายข้า แลแม่ดาวได้รับอันตราย ข้าจะมิยอมปล่อยไปเหมือนครั้งก่อน สายตาเเข็งกร้าวที่ทีฮะก็ไม่ได้เห็นบ่อยนั้นดูเด็ดขาด
“พระเจ้าค่ะ”
“พ่อเทียนช้าก่อน เจ้าเห็นแม่ดาวฤาไม่ พี่เดินหาจนทั่วไม่เห็นเลย ถามบ่าวไพร่ก็มิมีใครเห็น”
“มิอยู่ขอรับ น่าจะไปแล้ว”
“ไปไหนฤาเจ้า แม่ดาวไปที่ไหนกัน” พ่อเพชรใบหน้าฉายแววฉงน เพราะปกติดาวมิได้ออกเรือนไปแห่หนไหน
“มิทราบขอรับ รู้แต่ว่าไปที่ไกลแสนไกล” พ่อเทียนกล่าวยังมิทันจบ พ่อเพชรก็วิ่งหน้าตั้งขึ้นไปบนเรือนใหญ่ หรือที่เราเห็นจะเป็นแม่ดาว เขาสังหรณ์ใจแปลก ๆเมื่อตอนเช้าตรู่ที่เดินผ่านบุคคลทั้ง 3 แต่เป็นเพราะเหนื่อยล้าที่อยู่บ่อนทั้งวันทั้งคืน เลยทำให้อยากรีบกลับไปนอน มิได้สงสัยอะไร
“เสียงใครวิ่งมาอึกกะถึกครึกโครม” พระยาสุรสิงห์ถามบ่าวไพร่ที่นั่งจีบหมากพลูบนพื้นข้างโต๊ะทำงานท่าน
“เสียงของคุณเพชรเจ้าค่ะ” ไม่นานนักพ่อเพชรก็วิ่งมาถึงห้องทำงาน
“ท่านเจ้าคุณปู่ขอรับ” เขานั่งลงบนพื้นก่อนจะยกมือไหว้
“แม่ดาวอยู่ไหนขอรับ หลานหาจนทั่วไม่เห็น ได้ยินว่า เธอไปแล้วเธอไปไหนขอรับ” พ่อเพชรมีสีหน้าร้อนรนร่างกายเต็มไปด้วยเหงื่อชุม
“พวกเจ้าออกไปให้หมด ปิดประตูด้วย” ท่านพระยาสุรสิงห์หันไปสั่งบ่าวไพร่ 2-3คนที่นั่งรอรับใช้
“เจ้าค่ะ” ก่อนจะคลานออกพร้อมปิดประตู
“ท่านเจ้าคุณปู่ ได้โปรดบอกกระผมเถอะขอรับว่าแม่ดาวไปไหน ไปที่ใด แล้วไปกับใครเล่า” น้ำเสียงกระวนกระวายยังคงหอบเหนื่อย เขารู้สึกใจหายเมื่อได้ยินจากพ่อเทียน แม้ดวงตาจะแดงก่ำแต่คำพูดยังคงสุภาพอ่อนน้อมสมกับเป็นผู้ดี
พระยาสุรสิงห์หันไปมองพ่อเพชรที่ยังนั่งพับเพียบบนพื้น รอคอยคำตอบอย่างใจจดใจจ่อ ถึงแม้จะขุ่นเคืองกิริยาเมื่อสักครู่ แต่ท่านก็เอ็นดูพ่อเพชรเหมือนหลานแท้ ๆ ถึงจะเป็นเพียงญาติห่าง ๆ ถ้าหากไม่ติดว่าพ่อของพ่อเพชรเสียตั้งแต่เด็กแม่มีบุตรชายคนเดียว เลยเลี้ยงตามใจทำให้เสียคน ชอบเข้าบ่อนงานการมิทำ เพราะถือว่ามีเชื้อสายเจ้า ตระกูลผู้ดีเก่ามีเงินทอง พระยาสุรสิงห์อาจจะยกแม่ดาวให้พ่อเพชรเสียเป็นใด
“แม่ดาว ปู่ให้ไปอาศัยกับญาติที่เมืองอื่น” พระยาสุรสิงห์ไม่อยากจะบอกความจริงให้แก่พ่อเพชร เพราะรู้ว่าเป็นคนใจร้อน วู่วาม อาจจะทำให้เสียการใหญ่ที่ท่านวางไว้
“ให้ไปกับใครขอรับ แล้วไปเมืองไหน” สายตาเด็กหนุ่มที่อ่อนโยนเมื่อสักครู่กลับกลายเป็นแข็งกร้าวขึ้นมา
“เจ้ามิจำเป็นที่ต้องรู้ มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า” พระยาสุรสิงห์ตัดบทเดินออกไปตรงชานระเบียง
“ท่านเจ้าคุณปู่ ได้โปรดบอกกระผมเถอะขอรับ ท่านเจ้าคุณปู่ก็รู้ว่า แม่ดาวเป็นดั่งดวงใจของกระผม”
เขายังคงวิงวอนเดินตามพระยาสุรสิงห์ และไม่อายจะบอกความในใจว่าเขาคิดเยี่ยงไรกับดาว
“ปู่รู้ว่าเจ้าคิดเยี่ยงไรกับแม่ดาว แต่ปู่ได้ตัดสินใจลงไปแล้ว แล้วถ้าหากเจ้าอยากให้แม่ดาวปลอดภัยก็จงเงียบปากเรื่องนี้เสีย แต่ถ้าหากเจ้าอยากให้แม่ดาวตาย ก็จงป่าวประกาศไปให้ทั่วว่าเธอไม่ได้อยู่ที่นี้”
พ่อเพชรเริ่มเข้าใจความหมายของพระยาสุรสิงห์ ว่าท่านหมายความว่าเยี่ยงไร เพราะเขาเองก็รู้สึกได้ว่า มีคนลอบทำร้ายแม่ดาวอยู่เนือง ๆ แต่พอถามเธอ ๆ ก็บ่ายเบี่ยงเขาก็คิดว่าอาจจะคิดมากไป
“กระผมกราบลาขอรับ” เขายกมือไหว้พระยาสุรสิงห์ก่อนจะเดินลงเรือนไป พระยาสุรสิงห์ทอดสายตามองดูพ่อเพชรได้แต่ถอนหายใจหวังว่าพ่อเพชรคงจะเลิกตามหาแม่ดาว หลังจากที่พ่อเพชรออกมาจากเรือนพระยาสุรสิงห์เขาก็รีบตรงไปยังเรือนของพระยาดำรงซึ่งมีศักดิ์เป็นลุงแท้ ๆ ของเขา พระยาดำรงเอ็นดูพ่อเพชรเหมือนลูกแท้ ๆ เพราะท่านเองไม่มีลูกชาย แถมน้องชายของท่านยังเสียตั้งแต่พ่อเพชรยังเล็ก ๆ ความรักความเมตตาจึงมีให้พ่อเพชรมากกว่าลูกหลานคนใด
“อ้าว ลมอะไรหอบมาถึงมาเรือนลุงได้” ผู้เป็นลุงร้องทักหลานชายที่เดินจ้ำหน้าดำหน้าแดงตรงหาผู้เป็นลุง
เรือนของพระยาดำรงตั้งอยู่ไม่ไกลจากเรือนของพ่อเพชร แต่เขาก็ไม่ค่อยย่างกรายเข้าไปกราบท่านบ่อยนักเพราะนอกจากบ่อนแล้วพ่อเพชรก็จะขลุกทั้งวันอยู่ที่เรือนของพระยาสุรสิงห์
“กระผมมีเรื่องอยากจะกราบขอความช่วยเหลือจากเจ้าคุณลุงขอรับ” หลังจากนั้นเขาก็เล่าเรื่องทุกอย่างให้พระยาดำรุงฟัง” แล้วพ่อเพชรตัดสินใจจะทำเยี่ยงไรเล่า”
“ลุงเคยบอกเจ้าแล้วใช่ฤาไม่ว่า ให้เลิกเล่นเบี้ยเข้าบ่อนแล้วมารับราชการกับลุงเสีย สมัยลุงเท่ากับเจ้า ลุงก็รับราชการแล้วหนาไม่นานก็ได้ตกแต่งกับป้าของเจ้า” พระยาดำรุงปรายตามองหลานชายก่อนจะกล่าวต่อไปว่า
“ถ้าหากหลานยังทำตัวเยี่ยงนี้ พระยาสุรสิงห์คงมิกล้ายกหลานสาวให้เจ้าเป็นแน่”
“กระผมก็ตั้งใจจะเข้ารับราชการในปีนี้” เขามิพูดต่อรู้สึกร้อนเหมือนไฟสุมในอก ร้อนรนใจ ไม่รู้ว่าปานนี้แม่ดาวเป็นเยี่ยงไรบ้าง ไปไหน ไปกับใคร”
“ท่านลุงขอรับ ช่วยให้คนช่วยออกตามหาแม่ดาวให้หลานได้ฤาไม่ หลานร้อนใจทนมิไหวแล้ว” เขาเดินไปมาด้วย
ท่าทางร้อนรุ่ม
“ได้ๆ ใจเย็น ๆ ก่อนพ่อ”
“เฮ้ย! จงสั่งให้บ่าวไพร่ของเรา ออกตามหาแม่ดาว หลานพระยาสุรสิงห์ให้จนทั่ว แล้วให้ทำอย่างเงียบๆ”
พระยาดำรงสั่งบ่าวคนสนิท
“ถ้าหากเจ้ามั่นใจว่า สามคนที่เจ้าพานพบเมื่อย้ำรุ่งเป็นแม่ดาว ลุงคิดว่าเธอคงเดินทางไปได้มิไกลหรอก เจ้าจงวางใจ”