บทที่ 6 กราบลา
“พ่อเทียนเดี๋ยวก่อนรอพี่ด้วย” ทันทีที่เทียนเห็นดาว เขาก็รีบวิ่งหนีอ้อมไปด้านหลังเรือนใหญ่ ดาววิ่งล้อมไปดักรอข้างหน้า
“พ่อเทียน หยุดเดี๋ยวนี้พี่ไม่มีเวลามาวิ่งเล่นกับเจ้าแล้วหนา” น้ำเสียงเหมือนจะร้องไห้ของดาว ทำให้เทียนหยุดชะงักฝีเท้า แล้วหันหลังเดินกลับมาหาเธอ ทันใดนั้นเทียนก็ร้องไห้โฮ่โผเข้ากอดดาว
“เจ้าคุณพ่อของข้าจะฆ่าเจ้า มันคือเรื่องจริงฤา” เสียงร้องสะอึกสะอื้นของเทียนทำให้ดาวตกใจรีบใช้มือปิดปากเทียนแล้วรีบจูงมือเขาไปยันท้ายสวน
“ใครบอกเรื่องนี้กับเจ้า” ดาวรีบถาม
“ข้าเห็นท่านเจ้าคุณปู่มาที่เรือนของข้าแลได้ยินเรื่องราวทั้งหมด ข้าเดาว่า...”
“พ่อเทียนเจ้าห้ามนำเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟังเข้าใจฤาไม่ ส่วนพี่สบายดีมิได้เป็นกระไร” ดาวยืนกางแขนหมุนตัวให้เทียนดู พร้อมด้วยรอยยิ้มแสร้งว่าเธอเป็นสุขใจสบายดี
“พี่มีเรื่องอยากจะบอกเจ้า แต่เจ้าพอจะสัญญากับพี่ได้ฤาไม่ว่า เรื่องนี้ห้ามบอกใคร มิเช่นนั้น เรื่องนี้อาจจะทำให้พี่ได้รับอันตราย” เทียนรีบผงกศีรษะพร้อมทั้งปาดน้ำตา
“วันมะรืนพี่จะต้องจากเจ้าไปที่ไกลแสนไกล” ดาวไม่รู้ว่าจะเรียงลำดับคำพูดอย่างไรดี เพื่อไม่ให้เธอและเทียนรู้สึกเศร้า
“เจ้าจะไปที่ใดฤา”
“พี่เองก็มิรู้ได้” ดาวมีสีหน้าเศร้า
“ไปกับใครฤา” เทียนยังคงซักไซ้
“พี่บอกเจ้ามิได้ และยังไม่อาจจะรู้ได้ว่า ต้องไปนานเท่าไรและเมื่อไรจะได้กลับมา พ่อเทียนอยู่ทางนี้สัญญากับพี่ได้ฤาไม่ว่า
จะอยู่ดูแลเจ้าคุณตาแทนพี่” ใบหน้าของดาวค่อยๆเปลี่ยนสี...น้ำตาเริ่มเอ่อล้นดวงตากลมโตทั้งสองข้าง แต่เธอพยายามกลั้นไว้ เพื่อไม่ให้น้องชายผู้อันเป็นที่รักหนึ่งเดียวเป็นกังวล
“แล้วเจ้าไม่อยู่เยี่ยงนี้ คุณพี่เพชรรู้ฤาไม่” ดาวส่ายหน้าช้าๆ
“รู้มิได้ เจ้าก็บอกมิได้ ถ้าหากรู้เข้าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่”
“พ่อเทียนเจ้าต้องเชื่อฟังเจ้าคุณตา ห้ามดื้อ ต้องเป็นคนดี เพราะความดีจะคุ้มครองเจ้า”
“ทำไมพูดเยี่ยงนี้เหมือนจะไม่กลับ” เทียนชะเง้อจ้องหน้าดาวเพื่อหาความจริงแต่เธอรีบเบือนหน้าหนี
“พี่ก็พูดไปเรื่อย วันหนึ่งพี่จะกลับมาหาเจ้า ดูแลตัวเองให้ดี”
“สัญญา” เทียนชูนิ้วก้อยให้ดาวเกี่ยว
“พี่สัญญา” เป็นคำสัญญาที่เธอก็มิรู้ว่าจะรักษาได้ฤาไม่
ฝ่ายมังลอกที่ยืนมองดูเหตุการณ์ทั้งหมด เขารู้สึกเจ็บปวดหัวใจ ที่เวลานี้เขามิอาจสามารถทำอะไรได้ ถ้าหากนี้คือแผ่นดินของชเวโบ เขาคงจะสั่งจำคุกลุงของดาวเป็นที่เรียบร้อยและเธอก็ไม่ต้องจากบ้านเรือนและบุคคลผู้เป็นที่รัก
“แล้วหลังจากนี้ท่านจะทำอย่างไรต่อไป”
ทีฮะแสดงท่าทางกลุ้มใจอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่เมื่อคืน
หลังจากมังลอกกลงมาจากเรือนของพระยาสุรสิงห์เเล้วเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ฟัง ลำพังเพียงแค่ตัวเขาและมังลอกยังเกือบเอาตัวไม่รอด แต่เพราะความสามารถขอมังลอกด้านการรบทำให้พวกเขารอดมาได้ แต่ความใจดีของเขาไม่เคยฆ่าศัตรูเลยสักครั้ง เลยทำให้ความมันได้ใจกลับมาลอบทำร้ายครั้งแล้วครั้งเล่า แล้วยิ่งมีดาวที่เป็นสตรีร่วมเดินทางด้วยยิ่งทำให้อันตราย
นี่ยังไม่รวมถึงปัญหาที่ตามมาเมื่อดาวเดินไปถึงเมืองชเวโบ ทีฮะได้แต่เดินถอนหายใจไปมา
“ยังไม่นอนอีกฤาเจ้า” เสียงถามขึ้นจากด้านหลัง ขณะเจ้าของเสียงนั่งลงเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
“เมื่อดาวเห็นว่าเป็นมังลอก เธอลุกขึ้นเตรียมตัวเดินขึ้นเรือน” เพราะกลัวบ่าวไพร่เห็นแล้วเอาไปนินทา
“แม่ดาวอยู่คุยกับพี่สักประเดี๋ยวเถอะ วันรุ่งเราจักต้องออกเดินทางไปด้วยกันแล้วหนา พี่มีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้า”
“มีกระไรกับข้าฤา” น้ำเสียงยังคงเต็มไปด้วยความเศร้าสร้อย
“ข้าแค่อยากจะถามเจ้าว่า เจ้าพร้อมสำหรับเดินทางวันรุ่งฤาไม่” ดวงตาที่แสดงออกถึงความห่วยใยของมังลอกที่มองใบหน้าเรียวงาม
“แล้วถ้าหากข้าตอบว่า ไม่เล่า” เธอเงยหน้ามองใบหน้าคมเข้ม ที่ยืนอยู่เบื้องหน้า ก่อนจะเดินขึ้นเรือนไป
ดาวเดินไปหยุดที่ประตูหอนอนของพระยาสุรสิงห์ ก่อนจะทรุดตัวนั้งลงบนพื้น น้ำตาที่พยายามกลั้นไว้ตลอดทั้งวัน ต่างรินไหลเหมือนเขื่อนงบแตก
“แม่ดาวฤา เสียงทุ่มต่ำของผู้เป็นตา เมื่อเปิดประตูออกมา เห็นหลานสาวนั่งร้องไห้บนพื้น
“เข้ามาในห้องของตาก่อนเถอะ” พระยาสุรสิงห์เดินนำไปนั่งบนเตียง ส่วนดาวนั่งลงที่พื้น แววตาของชายชราทอดมองหลานสาวด้วยแววตาอาลัยแต่ก็ยังคงฝืนยิ้มออกมา
“การพลัดพรากจากสิ่งของหรือบุคคลที่เป็นที่รักนั้นเป็นทุกข์ ตาอยากให้เจ้าจงพิจารณาให้ดี ว่าคนเราเกิดมาย่อมมีการพลัดพรากเป็นของธรรมดา ไม่ว่าจะรวยจน ฉลาดหรือโง่ ตาอยากให้หลานหมั่นพิจารณาอยู่เรื่อย ๆ แล้วจะได้ไม่ไปหลงยึดติดแล้วทำให้เกิดความทุกข์ หรือแม้แต่ลาภยศ ทรัพย์สมบัติ หรือแม้กระทั่ง...คนที่รัก” พระยาสุรสิงห์หยุดแล้วปลายตามองดาวชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยขึ้น
“หากอดไว้ ยึดไว้ได้ไม่... เพราะไม่ช้าหรือเร็วเราก็ต้องจากกัน นั้นคือสิ่งแน่นอน”
“หลานรู้หลานเข้าใจเจ้าค่ะ แต่หลานยังทำใจมิได้” ดาวยังคงร้องไห้สะอึกสะอื้นข้างปลายเตียง
“ที่หลานกำลังร้องไห้ เรียกว่ายังไม่เข้าใจ!! .แม่ดาว โปรดหักห้ามใจเสียบ้างเถอะลูก ยิ่งหลานยังร้องไห้เยี่ยงนี้ตายิ่งรู้สึกผิดต่อเจ้า” เมื่อเธอได้ยินเช่นนั้นจึงรีบเช็คน้ำตา
“ท่านเจ้าคุณตาเจ้าขา หลานจะเข้มแข็งและจะไม่ทำให้เจ้าคุณตาต้องเป็นห่วงเจ้าค่ะ” หลังจากนั้นเธอเข้าไปกราบแทบเท้าเจ้าคุณตาของเธอเพื่อเป็นการลา
“ตาขอให้เจ้าจงเดินทางปลอดภัย แคล้วคลาดจากอุปสรรคทั้งปวง รักษาเนื้อรักษาตัวนะลูก หลังจากนั้นเธอก็กลับไปยังห้องนอนของตัวเอง มองดูสิ่งของภายในห้องอย่างช้า ๆ เหมือนจะเก็บไว้เป็นความทรงจำครั้งสุดท้าย
เมื่อครั้งถึงใกล้รุ่งก็มีบ่าวมาเรียก ส่วนมังลอกและทีฮะไปรอที่จุดนัดพบเรียบร้อยแล้ว ดาวยังคงหันมองหน้าต่างหอนอนพระยาสุรสิงห์จนเดินลับตา
“ท่านเจ้าคุณตาเจ้าขา หลานมิรู้ว่าเมื่อไรจะได้กลับมาตอบแทนบุญคุณ” ดาวอดทอดอาลัยไม่ได้ น้ำตาเอ่อล้นไหลอาบสองแก้ม เมื่อตั้งสติได้เธอรีบปาดน้ำตาแล้วเดินตามบ่าวไปยังที่นัดหมาย
เมื่อดาวไปถึงมังลอกและทีฮะต่างมองเธอตั้งแต่ศีรษะจนถึงปลายเท้า ด้วยการแต่งกายที่แปลกไป ดาวแต่งกายละหม้ายคล้ายผู้ชาย ม้วนผมขึ้นสวมใส่เสื้อผ้าธรรมดา ไม่สวมสร้อยแหวนเพชรทองประดับเหมือนครั้งอยู่เรือน แต่กระนั้นผิวพรรณของเธอก็ผุดผ่องต่างจากชาวบ้านทั่วไป
มังลอก อดชื่นชมแผนการที่เจ้าคุณตาของเธอวางไว้ไม่ได้ เมื่อทั้งสามกำลังเดินออกจากท้ายสวนเรือนของพระยาสุรสิงห์ เพลานั้นพ่อเพชรเดินทางกลับมาจากบ่อนใกล้รุ่งสาง เหลือบเห็นพวกเขาทั้งสามคน
“พวกมึงเป็นใครกันฤา ถึงเดินมาจากท้ายสวนของพระยาสุรสิงห์ในเวลาใกล้รุ่งเยี่ยงนี้” ด้วยความมืดของย้ำรุ่งทำให้พ่อเพชรมองเห็นทั้งสามไม่ถนัดนัด
“พวกข้ามาเยี่ยมญาติ กำลังจะเดินทางกลับ ถ้าหากไม่ออกเวลานี้ เกรงว่าจะถึงบ้านมืดค่ำ” ทีฮะที่สามารถใช้ภาษาไทได้อย่างคล่องแคล่วเอ่ยตอบ
“อย่างนั้นฤา” แล้วพ่อเพชรก็มิได้ติใจเดินผ่านคนทั้งสามไป