บทที่ 4 ขอฝากแม่ดาวไว้กับเจ้า
“ทำไมเจ้ายังให้มันพวกนั้นอยู่ในเรือน พวกมันเป็นใครก็หารู้ไม่ เจ้าใจดีเกินไปแล้วหนา” พ่อเพชรแสดงอาการไม่พอใจเกินจะเก็บไว้ เมื่อยังเห็นมังลอกกับทีฮะเดินลอยชานในเรือนของพระยาสุรสิงห์
“ก็พวกเขาช่วยชีวิตข้าไว้” ดาวตอบสั้น ๆ ขี้คร้านจะอธิบาย
“ถึงจะเป็นเยี่ยงนั้นก็เถอะ ให้พักประเดี๋ยวประด๋าวพี่จักไม่ว่าเลยนี่ก็ผ่านมา1-2 วันแล้วหนา ทำไมยังไม่ไล่มันไปอีก รู้ไหมว่าเจ้ากำลังจะเป็นสาวมีชายอื่นมิรู้จักหัวนอนปลายเท้ามาอยู่ร่วมชายคาด้วยมันดูไม่งาม”
“คุณพี่ก็...ก็ท่านเจ้าคุณตาท่านอนุญาตแล้ว ทำไมถึงร่ำรี้ร่ำไรหล่ะเจ้าค่ะ ข้าไม่อยากจะคุยกับคุณพี่แล้ว ข้าจะไปหาเทียนดีกว่า”
“ดาว..แม่ดาว!เมื่อไรเจ้าถึงจะโตเสียทีหัดฟังพี่บ้าง” พ่อเพชรยังไม่ทันพูดจบ ดาวก็หันหลังเดินไปไกลเสียแล้ว
ณ ศาลาท่าน้ำ
ตะวันทอแสงยามบ่ายคล้อย เสียงกระดิ่งต้องสายลมในเดือนอ้าย ลมหนาวพัดมากระทบกับผิวกาย แต่ก็มิอาจทำให้ใจของชายหนุ่มคลายความรุ่มร้อนได้
“ข้าให้เจ้าไปสืบมาได้ข่าวเยี่ยงไรบ้าง ข้าอยากรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับแม่ดาวอย่างละเอียด” มังลอกถามทีฮะ
“ดาวเป็นหลานสาวคนเดียวของพระยาสุรสิงห์ แม่ของเธอเสียตั้งแต่คลอดเธอได้ไม่กี่วัน พ่อของเธอคือขุนพระดำรงวงศ์ศา
หลังจากแม่ของเธอเสีย ก็ออกจากเรือนนี้ไปแต่งงานใหม่พระเจ้าค่ะเหมือนจะโดนบีบคั่น ส่วนคนที่พระองค์ทรงเห็นที่แม่น้ำเป็นคนของลุงเธอ ลุงของเธอคือขุนพระพิชิต มีลูกชายหนึ่งคน ชื่อเทียน พระองค์น่าจะได้เห็นแล้วพระเจ้าค่ะ”
“แล้วพระยาสุรสิงห์เล่า ท่านรู้ฤาไม่ว่า ลูกชายของตัวเองกำลังจะฆ่าหลานสาวแท้ๆ”
“รู้แล้วพระเจ้าค่ะ ท่านให้คนคอยเฝ้าดูแม่ดาวตลอด แลครั้งนี้คงไม่ใช่ครั้งแรกที่ขุนพระพิชิตแอบลอบทำร้ายแม่ดาว” ทีฮะเอ่ยอย่างเบาๆ เพราะไม่อยากให้มังลอก เข้าไปยุ่งในเรื่องนี้และที่สำคัญถึงมังลอกจะพึงพอใจในตัวแม่ดาวเพียงใดแต่ความรักครั้งนี้ก็มิอาจจะเป็นไปได้
“ด้วง! ไปตามไอ้หนุ่มสองคนนั้นขึ้นรับข้าวกับข้าและแม่ดาวที” น้ำเสียงเข้มจากพระยาสุรสิงห์ร้องเรียกใช้บ่าวคนสนิท
“ขณะที่มังลอกและทีฮะร่วมรับประทานอาหารกับพระยาสุรสิงห์นั้น ท่านเหลือบมองมังลอกเป็นระยะเหมือนสังเกต คนที่ถูกจับสังเกตก็เหมือนจะรู้ตัว
“ท่านพระยามีกระไรให้กระผมและเพื่อนรับใช้ขอรับ เขาหยุดรับประทานอาหารก่อนจะมองไปที่ใบหน้าชายชราที่เต็มไปด้วยรอยเหี่ยวย่นบนใบหน้าเหมือนเป็นเครื่องแสดงเหตุการณ์ในชีวิต ดาวที่ขณะรับประทานอาหารก็หยุดมองไปยังเจ้าคุณตาของเธอเหมือนรอฟังคำตอบเช่นกัน
“เจ้าชื่อมังลอกใช่ฤาไม่” พระยาสุรสิงห์ถามเขาด้วยน้ำเสียงเมตตา
“ขอรับ” ชายหนุ่มยังคงหน้านิ่ง
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับเจ้าเพียงลำพังหลังจากเสร็จรับประทานอาหารแล้ว”
“ขอรับ” มังลอกยังคงตอบรับด้วยใบหน้านิ่งเฉย คงมีเพียงแค่ดาวกับทีฮะที่อยากจะรู้ว่า พระยาสุรสิงห์จะคุยอะไรกับชายหนุ่มแปลกหน้าผู้นี้
ตั้งแต่ดาวจำความได้ ถ้าหากไม่ใช่ญาติหรือขุนนายหรือเพื่อนเจ้าคุณตา แทบจะไม่ใครได้รับประทานอาหารร่วมโต๊ะด้วย
ถึงแม้จะเป็นบ่าวไพร่คนสนิทของท่านอย่าง นายด้วง ก็มิเคย จึงทำให้ดาวเกิดความสงสัยเป็นอย่างมาก ว่าอยู่ ๆทำไมถึงชวนชายหนุ่มแปลกหน้าสองคนมาร่วมโต๊ะด้วยแลยังมีอะไรที่ต้องพูดคุยกับมังลอกลำพังสองต่อสอง
“ทีฮะ เจ้ารู้ฤาไม่ว่าทำไมท่านเจ้าคุณตาถึงเรียกท่านมาและมีกระไรจะคุยกับมังลอก” เธอทำหน้าสงสัยขณะนั่งรออยู่
ด้านนอกห้องทำงานของพระยาสุรสิงห์
“มิรู้ขอรับ” เขาตอบก้มหน้านิ่ง คำตอบของทีฮะทำให้ดาวเดินสะบัดหน้าหนีไปหานายด้วงบ่วงคนสนิทของท่านตาเธอ
“ลุงด้วงขา เจ้าคุณตามีเรื่องกระไรจะต้องคุยกับพ่อมังลอกฤาคะ ทีฮะที่นั่งอยู่ไม่ไกลได้ยินดาวใช้คำเรียกมังลอกก็อดขำมิได้
“กระผมมิทราบขอรับ คุณหนูรอนายท่านออกมา นายท่านน่าจะเรียนคุณหนูด้วยตัวเอง”
ดาวทำหน้ามุ่ยก่อนหันหลังเดินไปนั่งบนตั่งของเธอ หลังจากที่ไม่ได้คำตอบจากทั้งสองคน
เสียงประตูห้องทำงานของพระยายสุรสิงห์เปิดออก
“อ้าวแม่ดาว ทำไมยังอยู่ที่นี้ ดึกแล้วรีบเข้านอนเสีย” ทันที่พระยาสุรสิงห์เปิดประตูห้องออกมา เห็นหลานสาวยังคงนั่งเฝ้า ท่านรู้ว่าหลานสาวคงมีคำถามมากมายที่สงสัยและใคร่รู้ แต่แม้จะมีความอยากรู้มากเพียงใดถ้าหากเป็นคำสั่งของเจ้าคุณตา เธอก็จะเชื่อฟังและทำตามเสมอ
“เจ้าค่ะ ท่านเจ้าคุณตา”
มังลอกเหลือบมองดูดาวด้วยแววตาคมคายยากจะเดาความรู้สึกจนเธอเดินเข้าห้องลับตา
“ข้าจะพักผ่อน พวกเจ้าสองคนก็กลับไปพักได้แล้ว” พระยาสุรสิงห์หันไปบอกมังลอกและทีฮะ ก่อนจะเดินเข้าเรือนนอนของท่านพร้อมนายด้วง
“ด้วง เจ้าอยู่กับข้ามานานเท่าไรแล้ว” พระยาสุรสิงห์รับสั่งกับบ่วงกับคนสนิท
“ตั้งแต่กระผมอายุ 19 ขอรับ” บ่วงคนสนิทคลานไปนั่งใกล้ๆ
“เจ้าติดตามข้า ตั้งแต่ข้ายังมีศักดินาไม่ถึงร้อยจนตอนนี้ข้าได้เป็นพระยา” น้ำเสียงที่เอ่ยอย่างเหน็ดเหนื่อยเสียงเบาอย่างกระซิบ
“ไม่มีใครที่ข้าจะเชื่อใจได้เท่ากับเจ้า แลข้าอยากให้เจ้าได้กลับไปใช้ชีวิตที่สงบสุขในบั้นปลายชีวิต เจ้ารู้ใช่ฤาไม่ว่าข้าคงอยู่ได้อีกไม่นาน และเมื่อสิ้นข้าแล้วเรือนหลังนี้จะลุกเป็นไฟ” น้ำตาของชายชราเอ่อล้นจากใบหน้า ถึงแม้จะผ่านความทุกข์ยากจากภายนอกมามากมายเพียงใดแต่ก็ไม่เคยทำให้ พระยาสุรสิงห์ทุกข์หนักเท่าทุกข์ภายในที่ลูกหลานเข็ญฆ่ากันเพียงเพื่อแย่งสมบัติ
“ข้าห่วงแต่แม่ดาว เพราะถ้าหากไม่มีข้าแล้วเหมือนนกที่ไร้ปีก เกิดมาก็กำพร้าแม่ และด้วยความโลภของพ่อเพิ่มถ้าหากปล่อยแม่ดาวอยู่ที่นี้ ก็คงจะได้ตายตามข้าไป ในไม่ช้า” ดวงตาของชายชราเหม่อล่องลอยออกไป
ด้วง ชายวัยกลางคนรูปร่างสูงโปร่ง ผิวเข้ม ยังคงนั่งหมอบใกล้ผู้เป็นนาย เขารู้เรื่องทุกอย่างดี
“กระผมจะไม่ไปไหน จะขออยู่กับนายท่านจนกว่าจะสิ้นลมสุดท้ายแลกระผมและพวกจะปกป้องคุณหนูเองขอรับ”
“เจ้าสู้พวกมันไม่ไหวหรอก! ข้าเคยตั้งใจ...ว่าจะอยู่ให้ถึงแม่ดาวโตกว่านี้อีกหน่อยแลได้ออกเรือนไปกับคนดีๆ ถ้าเป็นเยี่ยงนั้นข้าคงตายตาหลับ แต่ความตายหารอข้าได้ไหม ข้ารู้ว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน” ด้วยความทุกข์ใจทำให้สุขภาพของพระยาสุรสิงห์นับวันมีแต่เสื่อมถอย
“นายท่านขอรับ กระผมคิดว่าคุณเพชรนั้นดูมีใจให้คุณหนูแลคุณหญิงอิ่มก็มีเชื้อสายจากเจ้าฝ่ายใน ลางทีขุนพระพิชิตอาจจะมิกล้าทำอะไร ถ้าหากคุณหนูออกเรือนไปกับ...”
“เจ้าดูคนมิออกฤาด้วง เสียแรงที่อยู่กับข้ามานาน! ถ้าหากข้าให้หลานข้าแต่งกับพ่อเพชรก็จะมีแต่ฉิบหายเพราะพ่อเพชรนั้นชอบเล่นเบี้ยเข้าบ่อน” พระยาสุรสิงห์หลับตาก่อนจะกล่าวกับบ่าวคนสนิทด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ข้าจะยกแม่ดาวให้มังลอก ข้าเชื่อว่าชายหนุ่มผู้นี้มิใช่คนธรรมดา”
“บ่าวคนสนิทอ้าปากจะแย้ง...แต่ก็เงียบปากลง”
“เชื่อข้าด้วง เชื่อในลางสังหรณ์ของข้า ชายผู้นี้จะอยู่ดูแลและปกป้องแม่ดาวจนกว่าแม่ดาวจะสิ้นลม”