บทที่ 3 เจ้าชอบมองพระจันทร์ฤาไม่
ณ. ศาลาท่าน้ำ
“ท่านพี่คิดว่าข้านั้นโง่เขลาเพียงนั้นเชียวฤา ว่าข้าจักมิรู้ว่ามีคนรอทำร้ายข้า ข้าว่ายน้ำเป็นตั้งแต่อายุ 9 ปีเลยหนา”
ดาวทำท่าขี้โม้นิด ๆ ก่อนยิ้มออกมา
“เจ้ารู้ว่ามีคนรอทำร้ายเจ้า...แล้วไยเจ้าจึงชวนพี่กับเทียนไปเล่นน้ำเล่า ใยเจ้าไม่บอกพี่” พ่อเพชรมองค้อนด้วยใบหน้าไม่เข้าใจ
“ก็เพราะข้า...อยากจะรู้แลให้แน่ใจว่า มีคนหมายปองร้ายข้าอยู่จริงฤาไม่” น้ำเสียงอ่อนลง ดวงตากลมโตแลซ้ายแลขวามองระแวกระวัง
“อยากพิสูจน์อย่างนั้นฤา เกือบเอาชีวิตไม่รอด หาใช่เรื่องที่มาล้อเล่นได้ไม่” พ่อเพชรเริ่มโมโหกับการกระทำสิ้นคิดของดาว
“เจ้ารู้ฤาไม่หาเจ้าเป็นกระไรไป แล้วพี่จักอยู่เยี่ยงไร” พ่อเพชรเอ่ยขณะกำลังจะเอื้อมมือจับมือเรียวงามแต่เธอรีบชักมือหนีเสียก่อน
“แล้วมันพวกนั้นเป็นใครกันฤา ถึงกล้าบังอาจนัก” เขาเปลี่ยนเป็นใบหน้าเคร่งเครียดขึ้นมาฉับพลัน
“ท่านพี่อย่าเป็นกังวลเลยหนาข้าก็ยังมิได้เป็นไร ยังนั่งตรงหน้านี่ไงเจ้าค่ะ” เธอฉีกยิ้มกว้าง เพื่อให้คนตรงหน้าคลายความกังวล
“บอกพี่มาบัดเดี๋ยวนี้ ว่ามันเป็นผู้ใด...เรื่องนี้อันตรายยิ่งนัก ไม่ใช่เรื่องที่จะมาล้อเล่นหนาเจ้า”
“บอกมิได้เจ้าค่ะ...เพราะถ้าหากข้าบอกไปท่านพี่ก็จักไปก่อเรื่องวุ่นวายใหญ่โต” ดาวรู้จักพ่อเพชรตั้งแต่เกิดนิสัยเขาเป็นเยี่ยงไร เธอย่อมรู้ดี เธอจึงรีบเปลี่ยนเรื่อง
“ว่าแต่ท่านพี่เจ้าขา เมื่อวันก่อนมีคนมาบอกน้องว่า เห็นคุณพี่เข้าบ่อน น้องขอเตือนว่าอย่าได้ไปที่บ่อนอีกหนาเจ้าค่ะ” เธอพูดขณะจ้องตาเขม็งไปที่ใบหน้าขาวมนของพ่อเพชร จนคนโดนจ้องต้องบ่ายหน้าหนี
“มิเช่นนั้นน้องจักไปฟ้องเจ้าคุณป้า” หลังจากนั้นดาวก็พร่ำพึงในลำคอ ‘เป็นเด็กเป็นเล็กหาริอ่านไปเล่นเบี้ยมันมิดีหนาเจ้าค่ะ’
“ใครเด็กฤาแม่ดาว อายุเท่าพี่เพื่อนพี่ออกเรือนกันหมดแล้วหนา” พ่อเพชรเดินอมยิ้มเขยิบเข้าไปนั่งใกล้
“แล้วไยคุณพี่มิออกเรือนเล่าเจ้าคะ” เธอทำหน้าสงสัย
“ก็พี่...รอ…”
“รอใครกันเล่าเจ้าคะ”
พ่อเพชรฉีกยิ้มกว้าง สายตาจดจ้องมองไปยังเด็กสาวที่นั่งตรงหน้า
“รอใครฤาคะ คุณพี่บอกข้าหน่อยข้าใคร่รู้”
“บอกมิได้” พูดเสร็จแล้วพ่อเพชรเดินยิ้มแล้วจากไป
ณ เรือนท้ายสวน
ดาวยืนอยู่ตรงบริเวณด้านหน้าของเรือนหลังเล็กท้ายสวนพร้อมใบหน้าครุ่นคิด ไม่รู้จะเอ่ยกับชายแปลกหน้าเยี่ยงไรในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ดาวรู้ว่าชายทั้งสองรู้ว่ามีคนอยากทำร้ายเธอและเห็นใบหน้าของคนร้ายที่ต้องการชีวิตเธอ
แต่เธอไม่อยากให้เรื่องนี้ไป
ถึงหูเจ้าคุณตา ทำให้ท่านไม่สบายใจและกลัวว่าถ้าหากปล่อยให้ผู้มีพระคุณทั้งสองออกไปจากที่นี้ ก็อาจจะโดนฆ่าปิดปาก แต่เธอก็ไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากพูดกับชายแปลกหน้าทั้งสองเยี่ยงไรถึงเรื่องราวทั้งหมดและความจำเป็นที่เขาต้องอยู่ที่นี้อีกสักพัก
มังลอกที่เห็นดาวยืนอยู่หน้าเรือนเป็นนานสองนานเลยเดินลงจากเรือนไปหา
“เจ้ามีกระไรกับข้าฤา” ชายหนุ่มเป็นฝ่ายเอ่ยปากถามก่อนด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย
“เอ่อคือ...ข้าอยากถามเจ้าว่า...”
“ว่ากระไรฤา”
“ว่า…”
“ถ้าหากเจ้าไม่ถามสักที มัวแต่ยืนอ้ำอึ้งนั้นข้ากลับขึ้นเรือนก่อนหนา” ชายหนุ่มแกล้งหันหลังกำลังจะจากไป แต่ใบหน้ากลับเปื้อนไปด้วยรอยยิ้ม
“เจ้าเห็นใบหน้าคนที่ดึงขาของข้าหรือไม่ เพราะตอนที่ข้ากำลังจะจมน้ำ ข้ามองเห็นลาง ๆ แต่จำหน้าไม่ได้”
“เห็น” ...เขาหันหลังกลับมาตอบด้วยใบหน้าเรียบเฉย
“แล้วลักษณะเป็นเช่นไรเล่า” คนน้องรีบซักไซ้รอฟังคำตอบอย่างใจจดจ่อ
“จะมีประโยชน์อันใดถึงเจ้ารู้ว่ามันคือผู้ใด”
“ข้าจะได้ระวังรักษาตัว” ดาวมีสีหน้าผิดหวัง เมื่อมังลอกไม่ยอมบอกลักษณะท่าทางของผู้ร้าย ข้าจะอยู่ดูแลเจ้า…อย่าได้กังวลไปเลยหนา” ถึงเเม้คำพูดจะแผ่วเบาอย่างกะสายลมแต่ก็อบอุ่นหัวใจ ดาวได้ยินชัดทุกถ้วยคำ
“ขอบน้ำใจเจ้าให้ที่พักพิงแก่ข้าและเพื่อน ......กลัวข้าจะโดนฆ่าปิดปากอย่างนั้นฤาเจ้า” มังลอกหันไปยิ้มให้เธอ
เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่าหัวใจเต้นแรง และเพิ่งเห็นว่าเขามีรอยยิ้มที่งดงามเวลาเผลอยิ้มออกมา
“รอยยิ้มของท่านงดงาม แต่ทำไมไม่ชอบยิ้มเล่า” เธอกล่าวออกไปอย่างใจคิด
“จะยิ้มไปให้ใครดูกันเล่า มิมีใครสนใจข้า” ชายหนุ่มตัดพ้อ
“ก็ข้าไง ข้าสนใจท่าน…เพราะท่านช่วยข้าไว้” ดวงตากลมโตใสซื่อบ่งบอกถึงความจริงใจข้างใน
“แล้วถ้าหากว่า วันนั้นข้ามิได้ช่วยเจ้าไว้เล่า ถ้าหากข้าไม่ช่วยท่านไว้ ท่านคงไม่เหลียวแลคนเยี่ยงข้า” คำพูดที่น้อยเนื้อต่ำใจชายผู้ยืนอยู่ตรงหน้า ทำให้ดาวมีสีหน้ารู้สึกผิด
“มิใช่เยี่ยงนั้น...เพียงแต่ถ้าหากท่านไม่ได้ช่วยข้า ข้าก็ไม่รู้ว่าเราสองคนจะมีเหตุอันใดจะได้รู้จักพูดคุยกัน”
มังลอกเข้าใจความหมายที่เธอพยายามจะสื่อและไม่อยากทำให้เธอยุ่งยากใจ จึงเปลี่ยนเรื่องคุย
“เจ้าชอบดูดวงจันทร์ฤาไม่ คืนนี้พระจันทร์เต็มดวงหนา”
มังลอกพูดขณะแหงนขึ้นมองพระจันทร์
“แต่ตอนนี้ยังไม่กลางคืนเลยหนา จะมองเห็นดวงจันทร์ได้เยี่ยงไรเล่า” ดาวมองมังลอกด้วยท่าทีแปลก จนเขาอดขำท่าทางของเธอไม่ได้
“ข้าหมายถึง คืนนี้”
“อ๋อ ข้านึกว่าท่านชวนข้าดูพระจันทร์ตอนนี้ หึ หึ”
“เจ้าไม่ได้เขลาใช่ฤาไม่”
“เจ้าหาว่าข้าโง่ฤา” ใบหน้านวลผ่องคิ้วขมวด ก่อนจะบ่นพึมพำในลำคอไม่ได้จริงจัง นอกจากตีสีหน้าเรียบเฉยได้ทั้งวันยังมีคำพูดที่ยังเลาะร้าย
“ขอบใจหนาที่ท่านช่วยชีวิตข้าไว้ ถ้าไม่เช่นนั้นข้าคงเป็นผีเฝ้าแม่น้ำไปแล้ว ข้าต้องกลับเรือนแล้วหนา เดี๋ยวท่านตารู้จะโดนดุเข้า ถ้าหากท่านมีกระไร ก็ให้บ่าวเรียกข้าได้ตลอด และอยู่ที่นี้ขอท่านอย่าได้เกรงใจ ให้พึงรู้ว่าท่านคือผู้มีพระคุณต่อข้า”
หลังจากที่เธอกล่าวเสร็จก็หันหลังเดินกลับเรือนใหญ่ ปล่อยให้มังลอกยืนอมยิ้มมองตามจนเธอลับตา
“ทีฮะ เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปสืบมามีความว่าเยี่ยงไร”
“ชายที่ดึงขาแม่ดาวที่แม่น้ำเป็นคนของ ขุนพระพิชิต พระเจ้าค่ะ ซึ่งพระพิชิตเป็นลุงแท้ ๆ ของแม่ดาว”
“เจ้าหมายถึง ฆ่าหลานเเท้ๆ เพียงเพราะสมบัติอย่างนั้นฤา”
ณ เรือนพระยาสุรสิงห์
“ข้าให้เจ้าไปสืบดูว่า ชายหนุ่มสองคนนั้นเป็นใครมาจากไหน พวกเจ้าได้การเยี่ยงไร”
พระยาสุรสิงห์พูดกับนายด้วงบ่าวคนสนิท
“รู้แต่ว่าสองคนนั้นเป็นคนมอญ รับจ้างหาของป่ามาขาย ขอรับส่วนเป็นลูกเต้าเลาใคร ไม่ทราบขอรับ”
“เจ้าจงไปเร่งสืบมา ข้าอยากจะรู้ว่าที่มันช่วยหลานข้ามีจุดประสงค์อื่นแอบแฝงหรือไม่ แลสั่งคนของเราเฝ้าแม่ดาวไว้ให้ดี พ่อเพิ่มคงไม่หยุดง่าย ๆ เป็นแน่ ความโชคดีของข้า คือพ่อเทียนไม่ได้สันดานชั่วมาจากพ่อแม่มัน”
พระยาสุรสิงห์สั่งบ่าวคนสนิทก่อนจะเอนกายพิงหมอน เเววตาเหม่อลอยย้อนรำลึกถึงความหลัง