บทที่ 2 เพียงพบ
“ใช่ เจ้ากำลังฝันอยู่และไม่น่าจะได้ตื่นในเร็ววันนี้!”
“คุณหมายความเช่นไร”
“เจ้าอยากรู้มิใช่ฤา ว่าข้ารู้จักกับเจ้าได้เยี่ยงไรชายหนุ่มเดินนำหน้าเธอไปยังเกือบสุดสะพานไม้
แล้วอยู่ ๆ ดาวก็ไปโผล่ที่แม่น้ำสายหนึ่ง เห็นผู้หญิงคนหนึ่งอายุน่าจะ 14-15ปี กับผู้ชายคนหนึ่งน่าจะโตกว่าอายุสักประมาณ 16-17ปี ส่วนเด็กผู้ชายตัวเล็กกว่าเพื่อนน่าจะ 13 ปี
เด็กหญิงนุ่งโจมกระเบนสวมเสื้อคอกระเช้า คล้ายกับลูกของคนมีอันจะกินสมัยก่อน กำลังเดินนำหน้าไปที่แม่น้ำที่กว้างใหญ่ เด็กผู้ชายตัวเล็กในนั้นพูดขณะเดินตามเพื่อน
“ถ้าหากท่านพ่อกับท่านแม่ข้ารู้ ข้าต้องโดนท่านพ่อตีเเน่ ๆ”
“เจ้าก็อย่าให้ท่านลุงกับท่านป้ารู้ซิ” เด็กหญิงพูดสวนขึ้นทันควัน
“ดาว...แต่พี่ว่าแม่น้ำพัดแรงอันตรายหนาเจ้า”
“ท่านพี่เจ้าขา ขอน้องลงไปเล่นแค่น้ำตื้นๆเสมอเข่า น้องสัญญาว่าจะไม่ลงไปลึกเจ้าค่ะ”
เสียงอ้อดอ้อนของเด็กหญิงทำให้ พ่อเพชร ซึ่งมีศักดิ์เป็นลูกพี่ลูกน้องของดาวต้องใจอ่อนให้เธอทุกที
ทันใดนั้นฝั่งตรงข้ามของดาวก็มีเด็กหนุ่มสองคนอายุไล่เลี่ยกัน 16-17ปี ที่กำลังเดินลัดเลาะเดินตามตลิ่งก็พลันได้ยินเสียงเอะอะอยู่ฝั่งตรงข้าม
ร้องเสียงเเจ้วเเจ๋วทำให้มังลอกหยุดมองหาต้นเสียง....ทันทีที่มองเห็นดาวใจของเขาก็เต้นแรง เด็กหญิงผิวขาว
นวลผุดผ่อง ตากลมโต จมูกโด่ง ริมฝีปากได้รูป มีรอยยิ้มที่สดใส เสียงหัวเราะดังก้องกังวานเหมือนระฆังยามเช้า
มังลอกค่อย ๆ เดินตามตลิ่งสายตาทั้งคู่ก็จับจองที่ใบหน้านวลลออของเธอ ท่าทางที่แปลกไปของเขา ทำให้ทีฮะที่เดินตามเกิดสะดุดเข้าที่เท้า เพราะมังลอกมัวแต่มองดาว ทำให้เขาเดินช้าลง
“มองสิ่งใดอยู่ฤา” ทีฮะมองตาตามแล้วยิ้มออกมา
“ทรงพบรักฤา”
“พบรักอย่างนั้นฤา” มังลอกทวนคำพูดของทีฮะ ทันใดนั้นดาวที่กำลังจะเดินไปตรงกลางแม่น้ำ เกิดก้าวเท้าพลาดทำให้ดาวจมลงในน้ำทันที เมื่อเทียนเห็นเช่นนั้น รีบร้องให้พ่อเพชรรีบไปช่วย ส่วนมังลอกที่เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดจึงรีบกระโดดน้ำว่ายข้ามจากอีกฝั่งเพื่อช่วย
เฉกเช่นเดียวกันกับทีฮะที่กำลังงงกับเหตุการณ์ก็รีบกระโดดน้ำตามมังลอก เพราะถ้าหากมังลอกเกิดเป็นอะไรไป มีหวังคอของเขาต้องหลุดจากบ่าเป็นแน่แท้ มังลอกที่ทรงได้รับการฝึกทางทหารมาตั้งแต่วัยเยาว์ ย่อมว่ายน้ำได้ว่องไวกว่า พ่อเพชรทำให้มังลอกช่วยชีวิตดาวไว้ได้ทันท่วงที หลังจากว่ายน้ำพาดาวเข้าฝั่งได้มังลอกวางดาวบนพื้น ท่านอนหงาย แล้วก็พยายามจับศีรษะของดาวให้หงายขึ้นพร้อมเรียกชื่อ
“แม่หญิง แม่หญิง เจ้าได้ยินข้าฤาไม่” มังลอกพยายามเรียกสติเธอ พ่อเพชรพอว่ายน้ำขึ้นจากฝั่งได้ก็รีบไปประคองดาว
“ดาว แม่ดาว เจ้าได้ยินพี่ฤาไม่” พร้อมใช้มือตบที่แก้มของดาวเบา ๆ เพื่อเรียกสติ
“แม่ดาวเจ้าได้ยินพี่ฤาไม่ ตื่นเถอะหนาแม่ เราจักได้กลับบ้านกัน” พ่อเพชรพยายามเขย่าตัวของดาว
ไม่นานดาวก็สำลักน้ำ ลืมตาขึ้นแล้วยิ้มให้ทุกคน
“โล่งใจที” พ่อเพชรพูดความในใจ ขณะก้นคะมำลงที่พื้นอย่างโล่งอก
“ทีหลังห้ามมาลงเล่นน้ำอีกเด็ดขาด ถ้าหากไม่ฟังพี่จะฟ้องเจ้าคุณปู่” น้ำเสียงเบาเริ่มดุแต่สายตายังส่งถึงความห่วยใย
ณ เรือนพระยาสุรสิงห์
“พากันแอบไปเล่นน้ำจนแม่ดาวจมน้ำคงต้องมีการทำโทษกันบ้างแล้ว ตาบอกเจ้าหลายครั้งแล้วหนา ว่าน้ำในแม่น้ำนั้นทั้งลึกและไหลเชี่ยวถ้าหากเจ้าไม่ได้พ่อหนุ่มคนนี้ช่วยไว้ แล้วเจ้าจักเป็นเยี่ยงไร” พระยาสุรสิงห์มองไปยังมังลอกและทีฮะที่นั่งพับเพียบอยู่บนพื้น
“ครั้งนี้ตายังไม่ทำโทษเจ้า แต่ขอให้เจ้าได้รับบทเรียนนี้” พระยาสุรสิงห์เอ่ยพลายถอนหายใจขณะจ้องมองไปยังแม่หลานสาวตัวดีที่นั่งก้มหน้ายอมรับผิด ดาวขยับเข้าไปใกล้พระยาสุรสิงห์เจ้าคุณตาของหล่อน พร้อมทั้งกราบแทบเท้าผู้เป็นตา
“หลานจะจดจำไว้เจ้าค่ะ หลานจะไม่ทำให้เจ้าคุณตาไม่สบายใจอีกเจ้าค่ะ” พระยาสุรสิงห์เอื้อมมือมาลูบหัวดาวเบาๆ เป็นที่รู้กันว่า พระยาสุรสิงห์นั้นทั้งรักทั้งเมตตาดาว อาจจะเป็นเพราะว่าดาวเป็นหลานสาวเพียงคนเดียว หรืออาจจะเป็นเพราะดาวเป็นลูกกำพร้าท่านนั้นจึงตามใจเสมอเธอ จนทำให้บ้างครั้งดาวมีนิสัยชอบเอาแต่ใจตัวเอง แต่พระยาสุรสิงห์ก็ได้สั่งสอนหลานสาวคนเดียวของท่าน ให้เป็นคนมีเมตตา นึกถึงใจเขาใจเรา มีความยุติธรรม อย่าคิดว่าตัวเองเป็นนายจะทำตัวข่มคนอื่น ซึ่งดาวก็ซึมซับคำสอนทั้งหมดได้เป็นอย่างดี
“เจ้าคุณตาเจ้าคะ หลานใคร่ขออนุญาตเจ้าคุณตา เพื่อเป็นการตอบแทนที่พี่ ๆ ท่านได้ช่วยชีวิตหลานไว้ ขอให้พี่ทั้งสองได้อยู่อาศัยกับเราก่อนสักพักได้ฤาไม่เจ้าค่ะ แลตอนนี้ก็ยังมิมีที่ไป ดาวเหลือบมองใบหน้าของมังลอกที่ยังนั่งนิ่ง ใบหน้าเงียบขรึม พระยาสุรสิงห์หันไปมอง มังลอกและทีฮะ พลางนิ่งเงียบสักครู่ ก่อนเอ่ยอนุญาต
ณ เรือน ขุนพระพิชิต
“ท่านขุนขอรับท่านเจ้าพระยาสุรสิงห์มาขอรับ” บ่าวรับใช้ขุนพิชิตรีบมารายงานเจ้านาย
“อ้าว! เจ้าคุณพ่อมีกะไรฤาขอรับมาหาลูกเพลานี้” ขุนพิชิตแสดงถึงความแปลกใจที่อยู่ ๆ พระยาสุรสิงห์เดินทางมาหาตนในเวลาพลบค่ำเช่นนี้
“พ่อเพิ่ม!! เจ้าอย่าคิดว่าพ่อมิรู้ว่าเจ้าคิดชั่วทำการสิ่งใดอยู่ แม่ดาวก็เป็นหลานแท้ ๆ ของเจ้าไยเจ้าถึงกล้าทำถึงเพียงนี้เล่า”
พระยาจักรีตวาดเสียงดังลั่น ใส่ขุนพิชิตและคุณหญิงอุ่น ๆ หมอบด้วยอาการสั่นเทาอยู่ข้าง ๆ
“เจ้าคุณพ่อ พูดสิ่งใดกระผมไม่ทราบ” ขุนพิชิตยังยืนกระต่ายขาเดียวไม่ยอมรับสารภาพ
เสียงถอนหายใจของพระยาสุรสิงห์ดังเฮือกใหญ่
“เอาเถอะพ่อเพิ่ม พ่อทำสิ่งใดไว้เจ้าย่อมรู้อยู่แก่ใจ ข้าไม่อยากเล่าให้เสียปากเรื่องความชั่วช้าของเจ้า ให้พวกบ่าวไพร่เอาไปนินทาให้ฉิบหาย แต่ถ้าหากเจ้ายังไม่หยุดความละโมบโลภมากของเจ้า อย่าหาว่าพ่อไม่เตือน” พระยาสุรสิงห์กระแทกไม้เท้าลงพื้นดังลั่นก่อนจะหันหลังกลับไป
ณ เรือนของพระยาสุรสิงห์
“ ทำไมเจ้าถึงให้อ้ายสองคนนั้นพักอยู่ที่เรือน” พ่อเพชรพูดด้วยสีหน้าเง้างอนขณะเดินตามหลังดาวไปศาลาท่าน้ำ
“มิได้พักที่เรือนข้าเจ้าคะคุณพี่ พวกพี่ทั้งสองพักที่เรือนหลังเล็กกะโน้น” ดาวพูดพร้อมทำท่าปากจู๋ยื่นไปที่เรือนหลังเล็กถัดจากเรือนหลังใหญ่ไม่กี่หลัง พ่อเพชรมองตาม
“ถึงกระนั้นพี่ก็มิชอบใจ เจ้ากำลังโตเป็นสาว หาเหตุอันใดถึงให้ชายแปลกหน้ามาพักที่เรือนเยี่ยงนี้ ฤาเจ้ามีสิ่งใดที่ปิดพี่ฤาไม่” พ่อเพชรจับแสดงกิริยาอาการของดาวได้ตั้งแต่ที่เธอฟื้นขึ้นจากแม่น้ำดูเธอแปลกไป
“มิมีกระไรเจ้าค่ะ”
“มี!! พี่รู้จะบอกพี่ดี ๆ ฤาจะให้ไปฟ้องเจ้าคุณปู่”
พ่อเพชรทำท่าทางจริงจังข่มขู่ คนโดนข่มขู่ ทำหน้างอนแก้มป่อง
“บอกก็ได้เจ้าค่ะ”
ณ เรือนหลังเล็กท้ายสวน
“ทีฮะ! ตอนที่แม่ดาวจมน้ำเจ้ามองเห็นเหมือนข้าฤาไม่ มังลอกถามทีฮะในขณะยืนริมหน้าต่าง มองดูดาวและพ่อเพชรคุยกันที่ศาลาท่าน้ำ
“มองเห็นสิ่งใด ฤาพระเจ้าค่ะ” ทีฮะพยายามนึกลำดับเหตุการณ์
“อ๋อ! ข้าพระเจ้าคิดออกแล้วเห็นพระเจ้าค่ะในขณะที่ข้าพเจ้ากำลังว่ายน้ำตามพระองค์ กระหม่อมเห็นลางเงาคล้ายคนในน้ำพระเจ้าค่ะแต่กระหม่อมคิดว่าตาฝาด”
“เจ้าไม่ได้ตาฝาด มีคนพยายามดึงขาแม่ดาว ตั้งใจให้เธอตกน้ำตาย” มังลอกตอบขณะใบหน้าเรียบเฉย สายตายังคงจับจ้องมองไปที่ดาว
“เจ้าจงไปเร่งสืบให้ข้าที”
“พระเจ้าค่ะ”