บทที่ 05 เกินหน้าเกินตา
"บังเอิญจังพี่เปอร์กับพี่เซฟดันเป็นเพื่อนกันซะงั้น" ซินดี้ฉายรอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของเธอ เมื่อตอนนี้ทุกคนมาถึงอู่ซ่อมสุดหรูของเปเปอร์แล้ว โดยโจเซฟเองก็ขับตามมาด้วย เป็นเหตุที่ทำให้มิวสิคยังยืนทำหน้าบูดหน้าบึ้งไม่พูดไม่จากับใครมาตลอดทางรวมไปถึงตอนนี้
"บังเอิญจริง" เปเปอร์หัวเราะเบา ๆ แล้วปรายมองเพื่อน เพียงแวบเดียวเขาก็หันมาคุยกับสาว ๆ เรื่องรถที่ต้องซ่อมกันต่อ
"ว่าแต่เรื่องรถยังไงอะพี่ สรุปคือรั่วใช่ไหม?"
"น่าจะต้องตรวจดูอีกที เรามาคุยรายละเอียดกับพี่ก่อนก็ได้"
"งั้นซินดี้มึงอยู่เป็นเพื่อนกูแล้วกัน"
"เอ้า…แล้วกูล่ะ" มิวสิคที่ยืนเงียบอยู่นานกราดนิ้วชี้เข้าหาตัวเอง มีเพื่อนอีกตั้งสองคนที่มาด้วยแต่โอโซนกลับระบุชื่อคนเดียวโดยไม่พูดถึงเธอเสียอย่างนั้น
"รถมึงจอดที่มหา'ลัยไม่ใช่เหรอ ไม่รีบไปเอาหรือไง" พูดถึงรถเธอเองก็นึกขึ้นได้ ดันจอดรถทิ้งไว้ที่มหา'ลัยตั้งแต่หลังเลิกเรียน เพราะถูกเพื่อนรีบลากไปมูเตลูพร้อมกัน ซึ่งเธอเองก็ทิ้งลูกชายเบนซ์ดำเงาวับคันโปรดไม่ได้เหมือนกัน ส่วนซินดี้ไม่มีรถตั้งแต่แรกจึงอยู่ต่อที่นี่ได้สบาย ๆ
"งั้นให้เพื่อนพี่ไปส่งดิ มึงว่างใช่ไหมไอ้เซฟ" เปเปอร์ออกความคิดเห็น พยักเพยิดถามเจ้าของชื่อเขาก็พยักหน้าแล้วเปล่งตอบกลับมา
"ว่าง"
"ขอบคุณนะคะ…แต่ไม่ต้อง ฉันเรียกรถเองได้" ทว่าคนรั้นก็คือคนรั้นอยู่วันยันค่ำ ปฏิเสธความช่วยเหลือจากเขาทุกครั้งที่ถูกเสนอ ราวกับเกลียดกันมาแต่ชาติปางก่อนแม้แต่หน้าก็ไม่ค่อยอยากจะชายตามอง
"แถวอู่พี่เรียกรถยากด้วยสิ แถมข้างนอกลูกน้องพี่เต็มไปหมด ดึกมากแล้วด้วยกลับกับไอ้เซฟนั้นแหละ ปลอดภัยกว่า" มิวสิคยืนคิดแล้วกวาดตามองออกไปข้างนอกสำนักงานของอู่ซ่อมขนาดใหญ่ และใช่…มันเต็มไปด้วยชายฉกรรจ์ในชุดช่างถือไขควงอุปกรณ์ซ่อมรถเดินผ่านไปผ่านมาในหลายบริเวณ
"แต่ทุกคนก็เห็นหมดแล้วว่ามิวมากับเจ้าของอู่ ไม่มีใครกล้าทำอะไรมิวหรอก" มิวสิคกลืนน้ำลายไปพูดไป ความจริงเธอก็กลัว...แต่กลัวที่จะต้องไปกับเขาคนที่ไม่ไว้ใจมากกว่า
"งะ งั้นกูไปก่อนนะพวกมึง พรุ่งนี้เจอกัน" สิ้นเสียงหวานที่กล่าวลาเพื่อนโดยไม่คิดจะยอมฟังคำเตือนของเปเปอร์ เธอรีบเดินไปผลักประตูห้องสำนักงานแต่ไม่ทันจะได้แตะด้ามจับ ประตูก็ถูกดันเข้ามาโดยช่างซ่อมหรือลูกน้องของเปเปอร์ที่อยู่ด้านนอก เขาเปิดสวนออกมาจนเธอชะงักหมุนตัวกลับมายืนที่เดิม
"รถที่ลากมามาถึงแล้วครับนาย" มิวสิคยืนแข็งทื่ออ้าปากตกใจกับช่างที่เหมือนเปเปอร์จะคัดจากหน้าตา ทุกคนดูโหดดุไร้รอยยิ้มและไม่เป็นมิตร ทันทีที่เปเปอร์พยักหน้าร่างของคนที่เปรอะเปื้อนไปด้วยคราบน้ำมันเครื่องก็เดินออกไปและไม่วายที่จะส่งสายตาและกระตุกยิ้มใส่เธอส่งท้าย
"กูว่ามึงให้พี่เซฟไปส่งเถอะ เชื่อกู" ซินดี้พยักหน้าใส่เพื่อนรัว ๆ เท่าที่เห็นเมื่อกี้แล้วสถานการณ์ด้านนอกท่าไม่ดีเลยสักนิด สำหรับเธอแล้วการไปกับโจเซฟปลอดภัยกว่าเป็นเท่าตัว
"นาย…ไปส่งฉันหน่อย" ท้ายสุดมิวสิคก็ต้องยอมขอความช่วยเหลือจากเขาเหมือนเดิม เพราะรักชีวิตตัวเองมากกว่าการมาห่วงศักดิ์ศรีที่ค้ำคอจึงยอมให้เขาไปส่ง ดีกว่าต้องผ่านหลายสายตาของช่างที่ไม่รู้ว่าเดินออกไปรอรถแล้วจะปลอดภัยตลอดรอดฝั่งหรือเปล่า
"งั้นกูฝากด้วยแล้วกัน" โจเซฟกระตุกยิ้มแล้วส่ายหัวเล็กน้อย กว่าจะยอมได้ก็ใช้เวลานานพอสมควรเลยทีเดียว ร่างสูงจึงหันไปพูดกับเพื่อนที่ยกหน้าที่เรื่องรถให้จัดการต่อ ก่อนที่จะเดินนำมิวสิคเปิดประตูออกไปจากสำนักงานแล้วเปิดประตูรถรอร่างสวยที่เดินตามมา
ภายในรถมีแต่ความเงียบสงัดจนได้ยินเพียงแค่เสียงเครื่องปรับอากาศที่ดังหึ่ง แทนที่จะเป็นคำพูดของคนสองคนที่นั่งสูดลมหายใจกันใกล้ ๆ มาแล้วหลายนาที
มิวสิคนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างรถ สังเกตทุกเส้นทางตลอดสายที่เขากำลังขับผ่าน แน่นอนว่าจนถึงตอนนี้เธอก็ยังไม่ได้วางใจและเชื่อใจในตัวเขามากเท่าไหร่ แต่เพียงเพราะตอนนั้นไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่าจึงจำเป็นต้องยื่นมือไปขอช่วยก็เท่านั้นเอง
"จะนอนก็ได้นะ พี่ไม่ทำอะไรเธอหรอก" คนเงียบอยู่นานอยู่ ๆ ก็โพล่งพูดขึ้น โดยสายตายังทอดมองถนนเส้นที่ยาวออกไป ในขณะที่คนข้าง ๆ นั้นปรายมามองเขาเพียงแวบเดียว
"ไม่ง่วง"
"ไม่ง่วงหรือไม่ไว้ใจ"
"ทั้งคู่"
"หึ" หลังจากเสียงหัวเราะในลำคอของโจเซฟทุกอย่างก็กลับสู่ความเงียบราวป่าช้าอีกครั้ง ก่อนที่มิวสิคจะนึกขึ้นได้ว่าคำถามที่ยังค้างคาอยู่ก่อนหน้ายังไม่ได้รับคำตอบเธอจึงถามขึ้นมาอีกครั้งไม่ได้ต้องการจะชวนคุยสักนิด
"นายยังไม่ได้ตอบเลยว่าสรุปแล้วรู้ชื่อฉันได้ยังไง?"
"อยากรู้เหรอ?"
"ไม่อยากรู้มั้ง ที่ถามก็ต้องอยากรู้อยู่แล้วปะ" ประโยคหลังเธอพูดเบาราวกับกระซิบ ทว่าโจเซฟกลับได้ยินมันชัดเจนไม่วายที่จะส่ายหัวให้ความต่อล้อต่อเถียงที่มีเสมอต้นเสมอปลาย
"พี่"
"ฮ้ะ?" อะไรของเขา อยู่ ๆ ก็พูดคำว่า 'พี่' ขึ้นมาอย่างไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
"เรียกพี่ว่าพี่แล้วแทนตัวเองด้วยชื่อตัวเองเหมือนที่ทำกับคนอื่นก่อนดิ"
"งั้นก็ไม่อยากรู้ละ จะรู้จักชื่อฉันมาจากไหนก็แล้วแต่นายแล้วกัน" แล้วบทสนทนาก็จบลงแค่ตรงนั้น ในที่สุดรถเฟอร์รารี่ก็เลี้ยวเข้ามาจอดที่ลานจอดรถของคณะนิเทศศาสตร์ มิวสิคที่เห็นดังนั้นก็รีบเปิดประตู ก่อนที่จะก้าวขาลงจากรถแต่ก็ชะงักไว้ก่อน ถึงความน่าเคารพของเขาสำหรับเธอแล้วจะมีอยู่น้อยนิด แต่ร่างบางก็ยอมหันไปยกมือไหว้แล้วพูดว่า
"ขอบคุณค่ะ" ออกมาเบา ๆ เพื่อเป็นการตอบแทนที่ช่วยเหลือถึงสองครา
ปึก!
ประตูรถหรูถูกปิดลงทันที โจเซฟกลับอมยิ้มออกมาโดยมือหนายังยกค้างรับไหว้แทบไม่ทัน ไม่น่าเชื่อเลยสักนิดว่าคนแบบเธอจะยอมยกมือไหว้ให้เขา ไม่เคยยักจะได้รับจากสาว ๆ ที่ไหนที่คุยด้วยเลยสักคน
เธอเริ่มน่าสนใจขึ้นมาแล้วสิ…
โจเซฟผิวปากเดินเข้าบ้านที่อาศัยกันอยู่กันสามคนพี่น้องด้วยความอารมณ์ดี ยังไม่ทันจะได้ก้าวไปไหนเท้าหนาก็ต้องหยุดเดินแล้วหมุนตัวเดินเข้าไปในครัว ก่อนจะฝังจมูกบนลุ่มผมดำของสาวน้อยที่กำลังอบขนมอยู่ในครัวแล้วปีนขึ้นไปนั่งบนเคาน์เตอร์เอื้อมไปหยิบคุกกี้ขึ้นมานั่งทาน
"อร่อยนะเนี่ย ทำเองเลยเหรอ" โจเซฟว่าจบก็หยิบอีกชิ้นขึ้นมาทานต่อเนื่อง โดยคนที่เขาเพิ่งจะหอมหัวไปก่อนหน้าคือจีเซลล์น้องสาวแท้ ๆ ที่คลานตามกันมาและรักมากกว่าอะไรดี
"ใช่ ว่าแต่เฮียไปอารมณ์ดีอะไรมา วันนี้ดูมีความสุขแปลก ๆ" น้องสาวหรี่ตาพยายามจับผิดพี่ชาย ทว่าคนตัวโตก็ยักไหล่โดดลงจากเคาน์เตอร์ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"ไม่มีอะไรนะ ก็ปกติ"
"แต่หน้าเฮียไม่ได้บอกแบบนั้น"
"ไม่ต้องมาจับผิดเฮีย ไปอบขนมให้เสร็จนู้น" ร่างสูงกำลังจะเดินพ้นไปจากอณาเขตครัวแต่ไม่วายที่จะถูกน้องสาวดึงกลับมา เพราะยังคุยกันไม่จบ
"เดี๋ยวสิเฮีย เฮียน่ะไปไหนมา รู้ไหมว่าแม่มานั่งรอเฮียตั้งนาน เพิ่งจะกลับไปก่อนเฮียมาถึงไม่กี่นาทีเอง"
"แม่บอกว่ามาหาเฮียเหรอ?" สามพี่น้องอาศัยคนละบ้าน โดยพ่อและแม่จะอยู่บ้านใหญ่ที่เป็นคฤหาสน์ของเจอาร์กรุ๊ปที่เต็มไปด้วยบอดี้การ์ดของพ่อมากมาย ขณะที่พวกเขานั้นย้ายมาตามพี่ชายคนโตหรือเจโรมที่ย้ายมาอยู่บ้านหลังนี้เพื่อหลีกหนีความวุ่นวาย และแน่นอนว่าเขาเองก็ชอบความสงบจึงหนีตามพี่ชายมาอยู่ด้วยรวมไปถึงจีเซลที่ไม่เคยแยกจากกัน ทว่าตอนนี้เจ้าบ้านหรือพี่ชายคนโตนั้นได้หายไปตั้งแต่มีแฟนเป็นตัวเป็นตน จึงเหลืออยู่แค่สองพี่น้องและพ่อแม่ที่คิดถึงบรรดาลูก ๆ ก็จะแวะเวียนมาหาเป็นบางเวลา
"ใช่ แม่บอกว่ามีเรื่องสำคัญอยากคุยกับเฮีย โทรไปก็ปิดเครื่อง"
"แบตหมด ว่าแต่แม่บอกไหมว่าเรื่องอะไร?"
"ไม่ได้บอก แต่ก็ดูแม่ไม่ได้ซีเรียสมาก เฮียไปทำอะไรผิดมาหรือเปล่าล่ะ" โจเซฟรีบส่ายหัวทันที แทบไม่เคยทำอะไรให้มารดาโกรธเลยด้วยซ้ำ
"ถ้างั้นก็คงไม่มีอะไรหรอก คงคิดถึงเฮียมั้ง"
"คงอย่างนั้น งั้นจานนี้เฮียขอนะ ไปอาบน้ำนอนละน้องรัก" มือหนาถือขนมคุกกี้ของน้องสาวที่อบมาเต็มจาน ก่อนจะไปก็ไม่วายที่จะหอมหัวน้องสาวอีกครั้ง แล้วรีบตรงขึ้นไปชั้นบนกลับเข้าห้องตัวเองอารมณ์ดีเกินหน้าเกินตาเหมือนเดิมแม้ว่าเจ้าตัวจะไม่ยอมรับความจริงก็ตาม
น้องสาวเขาคิดแบบนั้น
อาการคุ้น ๆ เหมือนเฮียโรมตอนเริ่มมีความรักไม่มีผิดเลย…