บท
ตั้งค่า

บทที่ 5 การพบกันครั้งแรก

บทที่ 5 การพบกันครั้งแรก

#ห้าปีก่อน

“สรุปคืนนี้ว่าไง?” วินชีวา หรือ เปรี้ยว มายืนขวางหน้าเพื่อนสนิทและขมวดคิ้วรอคำตอบ

ส่วนเกลวลินคนที่โดนยืนขวางก็เงยหน้าขึ้นไปสบตาเพื่อนก่อนจะอมยิ้มแล้วก้มหน้าลงเพราะเธอไม่รู้ว่าจะตอบเพื่อนว่าอะไร

“ขอเป็นคำตอบที่ระรื่นหูด้วยเข้าใจปะ?”

วินชีวาใช้สองมือดึงแก้มนุ่มของเพื่อนสนิทที่มักจะฝังตัวเป็นหนอนหนังสืออยู่ตามห้องสมุด

กว่าจะหาเจอก็ใช้เวลาหลายชั่วโมง ซอกไหนมุมไหนเพื่อนของเธอคนนี้ไม่เคยอยู่ซ้ำที่เดิมสักที ต้องเดินหากันให้เมื่อย

“เพิ่งจะขึ้นปีสี่เองเหลืออีกตั้งหลายเดือนกว่าจะเรียนจบ…”

เกลวลินตอบเพื่อนสนิทกลับไปแต่ก็ได้เป็นการชักสีหน้ากลับมาแทน

“สรุปไม่ไปอีกแล้วเหรอนี่วันเกิดฉันนะ!” วินชีวาเป็นคนยอมคนที่ไหนเธอกระโดดเข้ามาคว้าลำคอของเกลวลินและกอดปล้ำอยู่หลายนาที

เกลวลินพยายามดันร่างเพื่อนออกและหยิบหนังสือที่อ่านค้างอยู่ในมือไปวางให้ห่างไกลองศาที่เพื่อนจะโถมลงมาทับได้

“นะ ๆ ไปเถอะ พี่ชายแกไม่รู้หรอก ฉันล่วงหน้าไปรอที่ร้านก่อนพอพี่กันต์กลับบ้านไปแล้วแกก็ค่อยแว้บออกไง เขาคงไม่อยู่ดึกนักหรอก เดี๋ยวเมียเขาก็โทร. ตามยิก ๆ ละ”

เกลวลินมองหน้าเพื่อนสนิทที่กำลังพูดถึงพี่ชายเพียงคนเดียวของเธอ กันต์ดนัย พี่ชายของเธอจะแวะเข้ามาเติมเสบียงที่คอนโดน้องสาวอย่างเธอทุกอาทิตย์

แต่จะวันไหนเธอไม่อาจรู้ได้ เพราะอยากจะเข้ามาวันไหนพี่ก็ไม่ได้บอกกล่าวกันก่อนเลย

ครอบครัวภัชรกุลเหลือกันอยู่สองคนพี่ - น้อง แค่เธอกับพี่ชาย บิดา - มารดาเสียชีวิตไปเมื่อสามปีก่อน

ตอนนั้นเธอกำลังเข้ามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง คนที่รับหน้าที่ดูแลเธอต่อก็คือกันต์ดนัยพี่ชายเพียงคนเดียว

เกลวลินอายุห่างกับกันต์ดนัยแปดปี พี่ชายเธอในตอนนั้นก็ต้องมาเป็นหัวหน้าครอบครัวดูแลน้องสาวต่อจากบิดา - มารดา พี่เธอทำงานเป็นพนักงานบริษัทเอกชนส่วนเธอมีหน้าที่เรียนหนังสืออย่างเดียว

เงินที่ได้จากประกันชีวิตพ่อแม่ก็ทำให้เราผ่านช่วงเวลาที่ขมขื่นนั้นมาได้ ประกอบกับพี่ชายและแฟนสาวของเขากำลังจะแต่งงานสร้างครอบครัว

เกลวลินยังทำใจไม่ได้ที่จะอยู่ในสถานที่เดิมคือบ้านที่เคยอาศัยอยู่กับพ่อแม่ พี่ชายจึงซื้อคอนโดให้เธอหนึ่งห้อง เธอก็พักอาศัยอยู่ที่นั่นแทนที่บ้าน ส่วนพี่ชายก็แวะเวียนมาดู

จนตอนนี้เธอเรียนอยู่มหาวิทยาลัยปีสี่แล้ว แต่ก็ยังดูเหมือนว่าพี่ชายจะยังมองว่าเธอเป็นเด็กที่ไม่รู้จักโตเสมอเลย

การมาหาโดยไม่บอกคือการจับผิดหรือเรียกอีกอย่างคือไม่ไว้ใจ…

“ดึกแค่ไหนฉันจะรอ สัญญาก่อนว่าจะไปงานวันเกิดฉัน”

วินชีวาก็ยังไม่ยอมแพ้พร้อมกับกดปลดล็อกโทรศัพท์และยื่นมาตรงหน้าเธอ

“ฉันอยากให้แกไปเปิดหูเปิดตาบ้าง อุดอู้อยู่แต่ในห้องน่าเบื่อจะตายไป” เพจของไนต์คลับสุดหรูที่ปรากฏอยู่ตรงหน้า

เกลวลินมองสถานที่รวมตัวของวัยรุ่นหน้าตาดี

“มันมีทั้ง INDOOR OUTDOOR ถ้าแกไม่ชอบเสียงดังฉันจองโต๊ะข้างนอกไว้ให้ดีไหม?”

เมื่อเพื่อนเซ้าซี้ ประกอบกับวันนี้เป็นวันเกิดของวินชีวาอีกด้วย สุดท้ายเกลวลินก็ตอบตกลงว่าจะตามไป

“ดีมากเพื่อนรักแบบนี้ไงเราถึงคบกันได้นานขนาดนี้ ฉันอยากให้แกไปนะ ธีมแดงนะเพื่อนเลิฟ!”

ริมฝีปากนุ่มนิ่มประทับแก้มใสของเกลวลินทั้งสองข้างก่อนที่วินชีวาจะหมุนตัวเดินลั้นล้าไปทางอื่น

เกลวลินมองเพื่อนสนิทแล้วอมยิ้ม วินชีวาและเธอเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เริ่มเข้ามหาวิทยาลัยปีหนึ่ง เพราะเรานั่งใกล้กันแถมเลขประจำตัวยังลงท้ายด้วยตัวเดียวกันก็เลยจับพลัดจับผลูสนิทกันเรื่อยมา

เกลวลินเป็นคนเงียบ ๆ ต่างกับวินชีวาที่มีตำแหน่งเป็นถึงดาวมหา’ลัย บุคลิกของเราสองคนต่างกันราวฟ้ากับเหว

เธอเรียบร้อย เพื่อนเธอเปรี้ยวซ่าจนเข็ดฟัน แต่เรากลับเข้ากันได้ดีและเป็นเพื่อนกันมาเกือบจะครบสี่ปีแล้ว

“ถ้าไม่ไปก็คงบ่นไม่เลิกแน่ ๆ” เกลวลินถอนหายใจก่อนจะหยัดกายลุกขึ้นเดินเร็ว ๆ ตามร่างเพื่อนสนิทออกไปเพื่อขอยืมชุดธีมแดงจากเพื่อนสาว

#GlowPer Club

เสียงเพลงที่ดังออกมานอกประตูกระจกของไนต์คลับสุดหรู หญิงสาวร่างบอบบางในชุดเดรสแขนตุ๊กตาสีแดงพอดีตัวที่กำลังจะเดินเข้าไปด้านใน

แต่เมื่อมีคนเปิดประตูออกมาในขณะที่เธอกำลังจะเดินเข้าไปก็ถูกทั้งเบียดทั้งดันกลับออกมาอยู่ด้านนอกแทน

“...เฮ้อแล้วทำไมไม่รับสายกันเลย” หญิงสาวมองหน้าจอโทรศัพท์มือถือที่แสดงว่าปลายสายไม่ยอมรับสาย เธอกดวางสายแต่ก็โดนกระแทกมาจากทางด้านหน้า

ร่างเล็กเซไปด้านหลังแต่แทนที่เธอจะหงายหลังไปแต่แผ่นหลังกลับไปกระแทกกับอะไรแข็ง ๆ ซึ่งแน่นอนว่าเป็นกำแพงมนุษย์

เกลวลินเงยหน้าขึ้นไปมองก็พบว่าสิ่งที่ชนคือร่างสูงใหญ่ของผู้ชายคนหนึ่ง คนคนนั้นตัวสูงมากและผิวขาวจัด ใบหน้าของเขาใสกิ๊งแบบที่แค่พริบตาเดียวเธอก็กวาดสายตามองได้ถ้วนทั่ว

ใบหน้าหล่อเหลาสันกรามคมกริบ เขาเลิกคิ้วขึ้นใส่เธอ ส่วนมุมปากหยักเพียงแค่ยิ้มออกมาเล็กน้อย

แค่เพียงเขาหลุบสายตาลงมามองหัวใจของเธอก็คล้ายตกจากที่สูง

“ขอโทษค่ะ” หญิงสาวเอ่ยปากขึ้นเมื่อสติกลับคืนมาเพราะสัมผัสได้ถึงกระไอร้อนผ่าวของฝ่ามือหนาที่แตะลงมาบนสะโพกเธอ

“ไม่เป็นไรครับ” เขาตอบเสียงเบา และมันน่าแปลกที่แม้จะมีเสียงจอแจของผู้คนประกอบกับเสียงเพลงที่เล็ดลอดออกออกมาจากประตูกระจก แต่เธอกลับได้ยินเสียงเขาอย่างชัดเจน

มันเป็นเสียงนุ่มทุ้มแบบที่…เกลวลินไม่รู้ตัวว่ากลืนน้ำลายลงคอไปกี่อึก แต่เมื่อผู้คนที่ออกันอยู่ข้างหน้าเธอเริ่มขยับกาย หญิงสาวก็จำเป็นต้องขยับตาม และก็มีผู้ชายคนนั้นติดตามกันมาด้วย

“มีโต๊ะหรือยัง?” ขณะที่กำลังชุลมุนวุ่นวายกัน คนที่อยู่ซ้อนข้างหลังเธอก้มลงมาถาม เกลวลินเอียงใบหน้าไปมองเพราะเขาโน้มลงมากระซิบใกล้กับซอกคอเธอมาก

“มีค่ะเพื่อนอยู่ข้างใน” หญิงสาวตอบออกไปก่อนจะยกมือข้างหนึ่งขึ้นถูลำคอข้างนั้นตัวเอง

ลมหายใจร้อนผ่าวของผู้ชายคนนั้นประกอบกับกลิ่นน้ำหอมที่ตลบอบอวล เกลวลินไม่ได้รู้สึกแย่ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกดีจนเมื่อมือหนาของเขาแตะลงมาบนสะโพกเธออีกครั้งหญิงสาวก็สะดุ้งสุดตัว

ผู้ชายคนเดิมหลุดหัวเราะและเขาค้อมศีรษะเป็นเชิงขอโทษและบุ้ยปากไปทางด้านหลัง

คงมีคนชนเขามาอีกที ร่างสูงใหญ่จึงกระเด้งมาโดนเธอ

“วันนี้มีคอนเสิร์ตคนเลยเยอะ เพื่อนนั่งอยู่ไหนล่ะ”

เกลวลินกะพริบตามองริมฝีปากคล้ำชมพูที่ขยับถาม ทำไมเขาถึงพูดจากับเธอที่ไม่ได้รู้จักกันด้วยซ้ำแบบง่ายดายขนาดนี้

“V2 ค่ะแต่เกลไม่รู้ว่าอยู่ตรงไหน” เธอเอ่ยปากตอบและเปิดหน้าจอให้ผู้ชายคนนั้นดู เขาก้มลงมามองดูหน้าจอโทรศัพท์ก่อนจะขมวดคิ้วและพยักหน้า

“หน้าเวที…ไปสิเดี๋ยวพาไปส่ง” เกลวลินเหมือนว่าจะมีโชคเข้าข้าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าเธอจะตอบรับคำขอของผู้ชายที่เพิ่งรู้จักได้ง่าย ๆ

หญิงสาวจึงยังไม่ตอบออกไปพร้อมกับหันหน้ากลับมาสนใจแถวที่เริ่มขยับไปด้านหน้าต่อ

“ต้องมีริสแบนด์ถึงเข้างานได้ ไม่มีก็ต้องไปต่อแถวซื้อตรงนั้นถึงจะได้เข้าร้าน…” น้ำเสียงของเขาทุ้ม ๆ เหมือนคนดำเนินรายการในพ็อดแคสต์

“จริง ๆ ต้องไปซื้อตรงนั้น” ผู้ชายคนนั้นย้ำคำพูดนี้กับเธอ อาการของเขาคล้ายกับเป็นห่วง

เกลวลินคิดในใจว่าเป็นห่วงคนที่เพิ่งรู้จักกันเนี่ยนะ...เธอได้ยินแต่ทำทีไม่สนใจ เพราะไม่พอใจที่เขามาจับเนื้อต้องตัวโดยที่เราไม่รู้จักกันมาก่อน

“โทษทีไม่คิดว่าเธอจะเห็นเป็นเรื่องใหญ่ ข้างหลังดันมา…”

เหมือนเขาจะจับจุดได้ว่าหญิงสาวคงไม่พอใจเรื่องที่โดนแตะตัว

เกลวลินเหลียวไปมองเขาอีกครั้งและก็เหมือนเดิมคือได้รอยยิ้มใจดีกลับมา จะว่าไปผู้ชายคนนี้ดูไม่มีพิษมีภัย

ก่อนที่เกลวลินจะหันกลับมาจดจ่ออยู่กับแถวตรงหน้าและกวาดสายตามองคนอื่น ก็เห็นว่าหลายคนมีริสแบนด์ที่ข้อมือแต่เธอไม่มี แถมเพื่อนที่ล่วงหน้ากันมาก่อนแล้วไม่ได้บอกว่าจะต้องซื้อ นั่นเท่ากับว่าเธอต้องไปต่อแถวใหม่...อย่างงั้นเหรอ? คนเป็นร้อย!

“ขอตรวจกระเป๋าด้วยครับ”

“ขอดูริสแบนด์ด้วยครับ”

มีบางคนที่เป็นเหมือนเธอคือไม่มีริสแบนด์ก็เลยเข้าร้านไม่ได้ ในตอนนี้เกลวลินได้ขยับแถวพาตัวเองมาด้านในร้านแล้ว แต่มันก็ต้องผ่านจุดที่ตรวจกระเป๋าและตรวจริสแบนด์ก่อนเข้างาน

เธอเริ่มร้อนรนเพราะอีกสองคนก็ถึงคิวของเธอแล้ว ถ้าต้องออกไปต่อแถวใหม่เห็นทีว่าคืนนี้คงไม่สามารถเข้าไปด้านในร้านได้

สี่ทุ่มคือเวลานัดและวันนี้ถ้ายัยนั่นไม่เห็นเธอ วินชีวาได้ทุบหลังเธอแอ่นแน่!

“คนเยอะมากจะไปต่อแถวใหม่ก็รีบไป” ผู้ชายคนเดิมก้มลงมากระซิบกับเธอเสียงนุ่ม

เกลวลินขมวดคิ้วก่อนจะเงยหน้าไปมองเขา คนที่พูดกับเธอด้วยแววตาใจดี ริมฝีปากยกยิ้มตลอดเวลาราวกับมีเรื่องสนุกให้ทำ

“พี่ก็ไม่มีริสแบนด์เหมือนกัน” เกลวลินไม่เห็นว่าเขาจะมีริสแบนด์อะไรนั่นเลย

ถ้าผู้ชายคนนี้ได้สิทธิ์พิเศษกะแค่หน้าตาหล่อและตัวหอม เธอก็จะต้องได้สิทธิ์นั้นเหมือนกัน

“จะชวนไปต่อแถวด้วยกันเหรอ?” เขาหยอกเย้าเธอด้วยแววตาเป็นประกาย

“พี่ไม่ใส่ริสแบนด์แล้วเข้าร้านได้ เกลไม่ใส่ก็เข้าได้เหมือนกัน”

คิ้วเข้มของเขาเลิกขึ้นและสุดท้ายก็หัวเราะออกมา

“หวัดดีครับคุณเจคทำไมมาต่อแถวตรงนี้ซะล่ะครับ”

ใครก็ไม่รู้เดินมาทักผู้ชายที่ยืนอยู่ข้างหลังเธอ เกลวลินกะพริบตาก่อนจะเปิดกระเป๋าสะพายใบเล็กให้หนึ่งในการ์ดของร้านตรวจหาอาวุธ

“คุณไม่มีริสแบนด์เข้าไม่ได้นะครับ ถ้ามีก็เอามาใส่…”

ในขณะที่เกลวลินกำลังคิดหาทางแต่อยู่ ๆ การ์ดผู้ชายคนที่ทำหน้ายักษ์ใส่เธอก็เงียบเสียงไป

“ทำงานดีกันเหลือเกินนะ” เสียงนั่นเป็นของผู้ชายคนเดิม ผู้ชายที่ยืนซ้อนหลังเธออยู่และเขาชื่อว่า ‘เจค’

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel