บทที่ 3 ไม่สำนึก
บทที่ 3 ไม่สำนึก
“ก็ไม่เห็นว่าเด็กคนนั้นจะเหมือนมึงตรงไหน ทำไมถึงได้มั่นหน้าไปถามเกลแบบนั้น”
คนที่พูดประโยคนี้กับจรัสพงศ์ชื่อว่าครูซเป็นหนึ่งในเพื่อนสนิทของชายหนุ่ม
“กูแค่ถามเฉย ๆ วัวเคยค้าม้าเคยขี่น่ะ” จรัสพงศ์ตอบเพื่อนออกไปเช่นนั้นก่อนจะใช้ปลายนิ้วดันกรอบแว่นที่ตกลงจากกรอบหน้าเนื่องจากอากาศช่วงบ่ายที่ร้อนจัด
“จะค้าจะขี่มันก็ห้าปีมาแล้วจะรื้อฟื้นหาซากอะไร”
โคลกระทุ้งคำพูดใส่และมองไปทางเดียวกับที่จรัสพงศ์มองอยู่ เงาร่างของคุณแม่ลูกหนึ่งที่ยืนใส่ชุดดำเป็นทางการรับแขกเหรื่อที่มาร่วมฌาปนกิจพี่ชายเธอ
“มึงว่ามันไม่แปลกเหรอ คนเราจะแพ้อะไรเหมือนกันได้ไง ไอ้เหี้ยนั่นพ่อจริงพ่อปลอมก็ไม่รู้ ตราบใดที่มันไม่เอาผลเลือดมายืนยันว่ามันเป็นพ่อตัวจริง กูก็มั่นใจว่ารดาเป็นลูกสาวกู”
จรัสพงศ์พูดออกมาด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มต่างกับสิ่งที่พรั่งพรูอยู่ภายในใจลิบลับ
“มึงอย่ามั่นหน้านักไอ้เจคและพ่อรดาก็ดูจะไม่ใช่คนธรรมดา”
ครูซพูดจบก็ถอนหายใจ เพราะได้ยินเสียงหัวเราะเบา ๆ จากลำคอเพื่อนสนิท
“ถ้าปล่อยให้เมียกับลูกสาวที่สุขภาพก็ไม่ได้แข็งแรงกลับมาเพื่อมางานศพพี่ชายกันแค่สองคนแม่ลูก แล้วตัวเองตามมาทีหลัง ลูกน้องล้อมหน้าล้อมหลังแบบนั้น ถ้าความจริงเกลวลินเป็นเมียมัน แล้วเธอเป็นเมียมันแบบไหน จากที่ดูก็คงไม่ได้สุขสบายนักหรอก…”
จรัสพงศ์คิดว่าหากภรรยามีปัญหาเขาคงยอมทิ้งทุกอย่างและเดินทางมากับเธอไม่มีทางปล่อยให้มากับลูกแค่สองคน หรือหากปลีกตัวไม่ได้จริง ๆ ก็คงต้องให้ลูกน้องเดินทางมากับเธอด้วยไม่ใช่ปล่อยผู้หญิงกับเด็กมากันแค่สองคนแบบนี้
“เลอะเทอะคนอย่างเกลจะไปเป็นเมียน้อยคนอื่นทำไม”
“ไอ้โคลกูไม่ได้หมายความว่าแบบนั้น…”
“ถึงไม่ได้ความหมายแบบนั้นแต่คนฟังเอาไปตีความได้…เจคการที่มึงจะสูงขึ้นไม่จำเป็นต้องกดคนอื่นให้ต่ำลง มึงจะพูดอะไรช่วยคิดเยอะ ๆ”
ไม่ว่าเกลวลินจะเดินไปทางไหนจรัสพงศ์ก็มองตามไม่ละสายตา หากไม่มีพวกเขาคอยห้ามปรามมันก็คงเดินไปวุ่นวายกับหญิงสาวแล้ว
“จะในวัดหรือนอกวัดถ้าจิตคิดอกุศลที่ไหนก็ตกนรกเหมือนกันหมด กูไม่เชื่อหรอกว่าที่นั่ง ๆ กันอยู่นี่จะเป็นคนดีไม่คิดอะไรเหี้ย แล้วกูผิดตรงไหนที่แค่ซื่อสัตย์กับตัวเอง คิดอะไรก็พูดออกไปแบบนั้น กูอยากได้ กูจะเอาคืน!”
แม้ท้ายประโยคจะเอ่ยออกมาเบา ๆ แต่เพื่อนทั้งสองก็ได้ยินชัดเจน
“เจคกูขอร้อง…หยุดเหี้ยจะเอาเท่าไหร่กูจะเซ็นเช็คให้เลย” โคลพูดออกมาอย่างท้อใจ
จรัสพงศ์ยกยิ้มและก็หันไปมองเพื่อนสนิทผ่านแว่นกันแดดสีชา ทั้ง ๆ ที่เราใส่แว่นปิดบังแววตา แต่ต่างฝ่ายต่างก็เข้าใจความหมายในแววตากันและกันแบบชัดเจน
“กูไม่เดือดร้อนเรื่องเงิน แต่ถ้ามึงอยากให้กูหยุดเหี้ยมึงไปหาเบอร์เกลมาแล้วกูจะเงียบปาก ส่วนมึงจะเอาเท่าไหร่กูเซ็นเช็คให้เลย”
โคลเจอเพื่อนย้อนศรเข้าให้ก็แทบจะลุกขึ้นเต้นแร้งเต้นกา ดีว่าที่นี่เป็นวัด ถ้าเป็นที่อื่นก็คงมีแจกกฐินเป็นสองเท้ากันไปบ้างแล้ว
“อย่ามาเจ้าคิดเจ้าแค้น” ครูซเงียบมานานก็อดพูดไม่ได้
“ถ้ากูเป็นมึง กูไม่กล้าพูดคำนี้นะ…” พอโดนเพื่อนย้อนแบบเจ็บแสบครูซก็คิดว่าตัวเองจะไม่พูดอะไรแล้ว เพราะไอ้เรื่องเจ้าคิดเจ้าแค้นเขาก็ท็อปฟอร์มไม่น้อยหน้าใคร
“ไม่ใช่เรื่องเจ้าคิดเจ้าแค้นพวกมึงก็รู้ ถ้ารดาเป็นลูกกูมันถูกต้องเหรอที่เกลไม่คิดจะบอกกูสักคำ แถมให้ไอ้หน้าไหนมาสวมรอยว่าเป็นพ่อ”
“ไอ้เจค…ก่อนมึงจะพูดอะไรมึงช่วยเอาสมองอันน้อยนิดของมึงไตร่ตรองหน่อย มึงก็ทำกับเขาไว้เยอะ…มึงทำลายชีวิตเขาแค่ครั้งเดียวมันก็เกินพอแล้วจริง ๆ รดายังนอนอยู่ที่โรงบาล ถ้ามึงแค่อยากจะเอาชนะอย่าเลยเพื่อน แค่ไอ้ห่านั่นด่ามึงว่าอย่ามาเสือกเพราะมันดูแลลูกมันได้ มึงก็ไม่ต้องสนใจหรอกคิดว่าหมาเห่า…”
เพราะโคลก็อยู่ในทุกสถานการณ์ เขารับรู้เรื่องราวทั้งในอดีตและปัจจุบันถึงได้เอ่ยปากพูดออกไป
คำด่าทอเสียงดังลั่นหน้าห้องการเงินของโรงพยาบาลทำเอาใบหน้าของจรัสพงศ์แตกเป็นเสี่ยง
เขากับไอ้ผู้ชายที่สวมรอยว่าเป็นพ่อเกลรดาไปเจอกันตอนที่เขาจะเข้าไปรับผิดชอบเรื่องค่าใช้จ่ายของเด็กหญิง มันก็ตอกหน้าเขามาจนหงายท้อง บอกให้เขาเก็บเงินไปเพราะมันดูแลลูกมันได้!
“ไม่ชนะสักเรื่องก็ไม่เป็นไรหรอกเจค มึงช่วยอยู่เฉย ๆ อย่าสร้างปัญหา จบเรื่องเราก็กลับไปใช้ชีวิตกันเหมือนเดิม มาวันนี้ก็เพื่อมาอโหสิกรรมให้ไอ้กันต์มัน ให้มันตายตาหลับเถอะ” โคลตบบ่าเพื่อนสนิทพร้อมกับมองด้วยแววตาขอร้อง
“ใช่…ถ้ามึงยังว้าวุ่นไม่เลิกกูจะกลับแล้วจริง ๆ ใครจะตายตาหลับตาเปิดก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกู” ครูซรู้สึกหงุดหงิดแล้วเหมือนกัน กับกันต์ดนัยเขาไม่ได้สนิทมาก แต่ก็รู้จักเพราะมันเป็นเพื่อนสนิทของจรัสพงศ์
ตอนที่มีปัญหากันครูซ โคล วาดิม ที่เป็นเพื่อนก็รู้เรื่องนั้น และเรื่องของเกลวลินก็รู้อีกด้วย
“กูไม่ได้อยากเอาชนะใคร แต่ถึงจะเหี้ยแค่ไหนกูไม่มีสิทธิ์รู้เหรอว่านั่นลูกกู…ให้กูได้รู้ก่อนไหมแล้วค่อยตัดสินกูอีกทีก็ไม่สาย ไม่ใช่ตัดสินใจเองและเลี้ยงลูกมาคนเดียวแบบนี้!”
เพราะรู้ตื้นลึกหนาบางในครอบครัวของเกลวลินดี จรัสพงศ์จึงพูดออกไปด้วยอารมณ์หงุดหงิด
“สภาพ…เหี้ยขนาดนี้ใครจะรับมึงเป็นพ่อไหว”
“กูเหี้ยก็เลิกเหี้ยได้ กูเริ่มเหนื่อยกับชีวิตเสเพลแล้วเหมือนกัน”
“อย่ามาเลอะเทอะ นั่นลูกมึงหรือเปล่าก็ไม่รู้”
“เดี๋ยวก็รู้ไม่นานหรอก…และถ้าใช่ขึ้นมานะ อย่าหวังว่าจะได้อยู่กันดีเลย! กูจะเอาคืนให้หมด!”
จรัสพงศ์ทิ้งคำพูดไว้แค่นั้นก่อนจะหมุนนาฬิกาข้อมือตัวเองเพื่อดูเวลา ไม่นานนักโทรศัพท์เขาก็ดังขึ้น
ชายหนุ่มหยัดกายลุกขึ้นเดินออกไปจากพิธีงานศพอย่างรวดเร็วโดยไม่สนใจว่าจะต้องทิ้งเพื่อนสองคนไว้ให้ไปวางดอกไม้จันทน์ที่หน้าเตาเผาของอดีตเพื่อนแทน
จรัสพงศ์มีบางเรื่องที่จะต้องทำและมันสำคัญกว่า…