บทที่ 2 คนที่ไม่อยากเจอ
บทที่ 2 คนที่ไม่อยากเจอ
ภายในศาลาวัดเขาก้าวเท้าเข้ามาเพื่อรดน้ำศพพี่ชายเธอที่เป็นอดีตเพื่อนเก่าอย่างจรัสพงศ์หยิบยื่นซองขาวปึกใหญ่ใส่มือพี่สะใภ้เธอที่เป็นอดีตแฟนเก่าของเขา
และให้เงินจำนวนหนึ่งกับลูกชาย-ลูกสาวของพี่ชายเธอ ก่อนที่เขาจะเดินมาทักทายเธอด้วยสีหน้าและท่าทางที่ทำราวกับว่าเราไม่เคยมีเรื่องบาดหมางต่อกัน
“เกลครับสบายดีไหม?”
นั่นคือคำทักทายของคนที่ไม่พบหน้ากันมาห้าปี เป็นห้าปีที่เขาก็ดูจะมีความสุขรายล้อมไปด้วยสิ่งดี ๆ
จรัสพงศ์ยังคงเป็นผู้ชายสะอาดสะอ้านที่รูปโฉมสะดุดตา สีหน้าที่ดูไม่มีพิษมีภัย แววตาเป็นมิตรเช่นเดียวกับริมฝีปากบางที่มักจะยกยิ้มตลอดเวลา
เขายังคงเหมือนเดิม สันดานเดิมไม่เปลี่ยนแปลง
ราวกับร่องลึกกลางหัวใจเธอค่อย ๆ ปริแตกออก เลือดสีข้นไหลทะลักออกมาอย่างช้า ๆ
“กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ เกลยังใช้เบอร์เดิมอยู่ไหม?”
เกลวลินใช้สายตาเย็นเยียบมองเขาแทนคำตอบก่อนจะหันหลังและเดินปลีกตัวออกมา
“เกล…ยังโกรธพี่อยู่เหรอ?”
จรัสพงศ์เดินมาดักข้างหน้าก่อนจะขยับกายเข้ามาใกล้เธอ เกลวลินก้าวถอยหลังอย่างรวดเร็ว ใบหน้าของเธอยังคงราบเรียบผิดกับดวงตาที่เต็มไปด้วยโทสะคุกรุ่น
“พี่ดีใจที่ได้เจอเกลนะ สบายดีนะ”
“อย่ามายุ่งกับฉัน!”
เกลวรินไม่สนใจว่าจรัสพงศ์จะพูดอะไรต่อเพราะเธอเดินหนีไปรวมกลุ่มกับพวกผู้ใหญ่ ซึ่งเขาก็ไม่ได้ตามเข้ามา
หญิงสาวกดโทรศัพท์ไปหาคนขับรถที่จอดรออยู่ข้างนอก ดีว่าบริษัทที่เธอทำงานมีสาขาในประเทศไทย การเดินทางของเธอกับลูกจึงไม่ได้ย่ำแย่มากนัก เราไม่ต้องเดินทางด้วยรถประจำทางหรือรถสาธารณะ
“ถ้ารดาตื่นแล้วพี่ก็พาแกไปหาอะไรกินที่ห้างแถวนี้ก่อนได้เลยนะคะ เสร็จงานแล้วเกลจะโทร. ให้มารับ”
การได้พบจรัสพงศ์อีกครั้งมันเป็นสิ่งที่เหนือความคาดหมายของเกลวลินจริง ๆ
นั่นคือคำพูดที่เธอบอกกับคนขับรถ แต่ก็ไม่รู้อะไรยังไงอีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมงต่อมา เสียงที่ดังอยู่นอกศาลาวัดกับรถตู้บริษัทที่เธอทำงานขับออกไปอย่างรวดเร็ว
สายโทรศัพท์จากคนขับรถแจ้งว่าเกลรดาแพ้อาหารอย่างรุนแรง ตอนนี้กำลังพาไปที่โรงพยาบาล
เกลวลินได้ยินเช่นนั้นแข้งขาก็แทบอ่อนแรงรีบเดินทางไปที่โรงพยาบาล คนเป็นแม่หัวใจจะแตกออกเป็นเสี่ยง เธอวิ่งไม่คิดชีวิตมาจ้างวินมอเตอร์ไซค์แถวนั้นเพื่อไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดตามที่คนขับรถบอก
เกลรดาถึงมือหมอแล้ว การแพ้ค่อนข้างรุนแรงและมีผลเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ หมอบอกว่ามีอาการอักเสบของหลอดลม ปอด หอบ หายใจเสียงดัง จึงต้องนอนดูอาการที่ห้องฉุนเฉินไปก่อน
หญิงสาวยืนร้องไห้อยู่แบบนั้น ภายในอกมันร้อนรุ่มราวกับมีไฟมาแผดเผา เธอเดินวนไปวนมาอยู่หน้าห้องฉุกเฉินจนพยาบาลเดินออกมาเรียกคนเป็นแม่จึงวิ่งไม่คิดชีวิตเข้าไปดูลูก
“รดา ฮึกกก ลูกแม่” เธอเห็นร่างเล็กของลูกสาวใส่เครื่องช่วยหายใจน้ำตาก็ไหลทะลักลงมาราวเขื่อนแตกยิ่งกว่าเดิม
พยาบาลเข้ามาประคองส่งแอมโมเนียให้เธอสูดดมเพราะกลัวว่าจะเป็นลมไปเสียก่อน
หมอบอกว่าให้ยาเกลรดาไปแล้ว เฝ้าดูอาการคืนนี้อีกทีว่าจะเป็นอย่างไร ดีว่าลูกของเธอมาถึงโรงพยาบาลเร็ว ทุกอย่างเลยไม่เลวร้ายอย่างที่คิด
ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมากจนเกลวลินตั้งรับไม่ทัน เธอกอบกุมมือเล็กนุ่มนิ่มก่อนจะจรดริมฝีปากจูบบนหลังมือนั้นซ้ำ ๆ
หยาดน้ำอุ่นไหลออกจากดวงตาหยดแล้วหยดเล่า ภายในใจพร่ำโทษตัวเองที่ดูแลลูกสาวไม่ดี
“เกล…” เสียงเรียกจากทางด้านหลัง เกลวลินแผ่นหลังเกร็งเครียด เธอขยับกายยกหลังมือขึ้นเช็ดน้ำตาก่อนจะปรับสีหน้าและแววตาเป็นปกติ
“รดาเป็นยังไงบ้าง” เกลวลินเงยหน้ามองเขา มองโดยไม่พูดอะไร สายตาของเธอราวกับมีดเป็นสิบเล่มปักลงมากลางอกจรัสพงศ์
ร่างสูงของจรัสพงศ์ไม่รู้สึกถึงสองเท้าที่ยืนปักหลั่นอยู่ตรงปลายเตียงคนป่วย ตัวเขาลอยหวิวหัวใจยังคงเต้นแรงสลับเบา มือข้างที่ลากเสาน้ำเกลือมาด้วยบีบเสานั่นแน่นราวกับว่ามันเป็นสิ่งที่ยึดเหนี่ยวให้เขาทรงตัวอยู่ได้
“พี่จะมาบอกเธอว่าไม่ได้ตั้งใจ และขอโทษกับความสะเพร่าของพี่ แต่ไอติมนั่นพี่ไม่หลอกล่อให้รดากินจริง ๆ นะ”
จรัสพงศ์ไม่อาจสู้สายตาของเกลวลินได้ เขาจึงพูดไปและหลุบสายตาต่ำไป
“คุณกำลังบอกว่าเด็กคนหนึ่งที่ไม่รู้จักคุณเดินไปขอให้คุณซื้อไอติมให้กินหรือไง!”
ดวงตาวาววับตวัดมามอง เกลวลินเชื่ออย่างสนิทใจว่าผู้ชายตรงหน้าต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะยัดเยียดไอศกรีมถ้วยนั้นให้ลูกเธอกิน
“เกลแต่พี่ไม่ได้หลอก…” จรัสพงศ์พูดได้แค่นั้นก็พูดไม่ออกเพราะสายตาของเกลวลินมองเขามันยิ่งกว่าขุ่นเคือง มันคือความรังเกียจเดียดฉันท์เคียดแค้นและชิงชัง
“ลูกฉัน ฉันเลี้ยงมากับมือ รดาไม่มีทางรับของจากคนแปลกหน้า”
เกลวลินตอกกลับด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก่อนที่เธอจะดึงสายตากลับมาจับจ้องดวงหน้าที่เล็กเท่าฝ่ามือ เธอใช้หลังมือแตะลำคอลูกและหันไปมองขวดน้ำเกลือที่ปริมาณลดลงเกือบจะหมดขวดแล้ว
“รดาเป็นลูกสาวของเกล อายุห้าชวบใช่ไหมแล้วเกิดเดือนอะไรเหรอ…” จรัสพงศ์ถามออกไปด้วยหัวใจที่เต้นแรง
เกลวลินไม่ตอบและวางมือลงบนหน้าอกเล็กของลูกก่อนจะก้มลงไปฟังเสียงลมหายใจที่แผ่วเบา ลูกเธอยังหายใจอยู่…ลูกที่เธอเฝ้าทะนุถนอมมาเป็นอย่างดี
“ไปตายซะ…ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ” เธอหันไปพูดกับเขา น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าไหลออกจากดวงตาคู่สวย จรัสพงศ์แขนขาอ่อนแรง มือของเขาสั่นเทาจนห้ามไม่อยู่
“เกลเรามาคุยกันดี ๆ เถอะนะ พี่อยาก…”
“ฉันบอกให้คุณไปตายซะ…ได้ยินไหม”
“...”
“ฉันไม่อยากเห็นหน้าคุณ ไปซะ…”
“ทำไม…”
“ฉันเลี้ยงลูกฉันมาเป็นอย่างดี เกลรดาไม่ใช่เด็กแข็งแรงเข้าออกโรงพยาบาลตั้งแต่เกิดเพิ่งจะมีชีวิตแบบปกติก็ตอนสามขวบ…แขนขาเจาะจนพรุน”
เกลวลินสะอื้นไห้ก่อนจะจับมือเล็ก ๆ ของลูกที่เจาะสายน้ำเกลือที่หลังมือขึ้นมาลูบ
“คุณเกือบทำลูกฉันตาย…ทำไมคุณต้องมายุ่งกับรดาด้วย ทำไมเจค…คุณยังทำลายชีวิตฉันไม่พออีกเหรอ”
ไม่ว่าเกลวลินจะทำตัวเข้มแข็งแค่ไหน แต่ภายในใจของเธอมันพังยับเยินไม่มีเหลือ
ลูกคือสิ่งเดียวที่เธอมี…เป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่ยึดเหนี่ยวชีวิตเธอไว้
ภาพตรงหน้าทำเอาจรัสพงศ์กระบอกตาร้อนผ่าว เขากัดกระพุ้งแก้มตัวเองจนเลือดออกเต็มโพรงปาก กลางอกของเขามันอัดแน่นไปด้วยความรู้สึกประเดประดัง
มีคำถามมากมายอยากถามออกไปแต่ก็ไม่กล้าพอที่จะถาม เขารู้ว่าเธอเกลียด และยิ่งกลัวว่าเธอจะเกลียดเขามากกว่าเดิม
ความรู้สึกหวาดกลัวเกิดขึ้นภายในจิตใจ เกลรดาคือลูกสาวของเกลวลิน เด็กหญิงอายุห้าขวบในปีนี้
“เกลรดาใช่ลูกพี่ไหม…”
เพียะ! ใบหน้าคมคายสะบัดไปตามแรงตบ เหมือนว่าแค่นี้ก็น่าจะเป็นคำตอบให้กับจรัสพงศ์ได้แล้ว
“เก็บคำพูดโสโครกกับจิตใจสกปรกของคุณไปถามผู้หญิงคนอื่นเถอะ!” เกลวลินกัดฟันเอ่ยออกไป
ดวงตาคมเข้มฉายแววเจ็บปวดหลายส่วน ขอบตาของเขาแดงก่ำจ้องมองเกลวลินราวกับจะถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดภายในใจตอนนี้
“เกลไม่ตอบก็ไม่เป็นไร เพราะไม่ว่าพี่อยากรู้เรื่องอะไรพี่ก็ต้องได้รู้…” จรัสพงศ์เอ่ยปากออกไปอย่างมั่นใจ
“คำขู่ของคุณเก็บไว้ใช้กับเด็กอายุยี่สิบเถอะ คุณไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะทำอะไรแบบนั้นได้ เกลวลินไม่มีพ่อ แต่เกลรดามีพ่อ”
เกลวลินหมุนตัวมามองคนพูด แววตาคล้ายยิ้มเยาะเต็มประดา เธอกวาดสายตามองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า
ยิ่งเห็นใบหน้าของจรัสพงศ์ซีดเซียวไร้สีเลือด ดวงตาของเขาเบิกโพลงคล้ายตกใจกับสิ่งที่ได้ยินก็ยิ่งสะใจ
แน่นอนว่าเธออาจจะไม่มีพ่อมีแค่พี่ชายเพียงคนเดียว ใครที่อยากรังแกก็ย่อมทำได้ แต่เกลรดาลูกสาวเธอไม่ได้เป็นเช่นนั้น
เกลรดามีพ่อที่รักเธอมากและพร้อมจะดูแลปกป้องเธอสุดหัวใจ!
“...”
“พ่อของเกลรดาเป็นคนดี เป็นผู้ชายที่มีความรับผิดชอบและเขาจะปกป้องลูกสาวของเขาจนถึงที่สุด ถ้าคุณไม่เชื่อก็อย่าเพิ่งรีบตายแล้วกัน พรุ่งนี้เขาจะถึงไทยก็มาดูหน้าให้ชัด!”