บท
ตั้งค่า

บทที่ 1 เกลรดา

บทที่ 1 เกลรดา

เกลรดา เกิดมาพร้อมกับโรคภูมิแพ้อาหารจำพวกถั่วเปลือกแข็ง เช่น อัลมอนด์ เม็ดมะม่วงหิมพานต์ แมคคาเดเมีย เฮเซลนัต วอลนัต ถั่วพิสตาชิโอ เมื่อได้รับประทานเข้าไปจะมีอาการแพ้แบบเฉียบพลันและรุนแรง

เด็กหญิงเป็นเด็กที่มีสุขภาพไม่แข็งแรงมาตั้งแต่กำเนิด เกิดมาก็ตัวเหลืองต้องอยู่ตู้อบ ช่วงขวบปีแรกของลูกเข้าออกโรงพยาบาลเป็นว่าเล่น ชีวิตเรียกว่าอยู่สลับแค่บ้านกับโรงพยาบาล แทบจะไม่มีโอกาสได้ใช้ชีวิตอย่างปกติแบบเด็กคนอื่น

แต่ในความโชคร้ายก็ยังมีความโชคดี เกลวลินผู้เป็นแม่ได้งานทำที่บริษัทบัญชีแห่งหนึ่งในสิงคโปร์ ปัจจุบันเธอรับตำแหน่งผู้ช่วยผู้จัดการ เกลวลินมีงานและเจ้านายที่ดีที่พร้อมซัปพอร์ตเธอและลูกสาวในทุก ๆ เรื่อง

การกลับมาประเทศไทยอีกครั้งอยู่นอกเหนือความตั้งใจของเธอ และเหตุผลที่ต้องกลับประเทศไทยอย่างเร่งด่วนเนื่องจากพี่ชายเสียชีวิตกะทันหันด้วยอุบัติเหตุ หลายปีที่ไม่ได้พบหน้าการกลับมาพบกันอีกครั้งไม่ได้ดีอย่างที่คิดไว้

เกลวลินเข้าใจสัจธรรมของมนุษย์เป็นอย่างดี เกิดแก่เจ็บตายเป็นของคู่กันไม่มีใครหลีกหนีมันพ้น และทุกอย่างเมื่อมันเกิดขึ้นแล้วย่อมดีเสมอ

เกลวลินไม่เคยพาเกลรดากลับเมืองไทย แต่ลูกรู้ว่าแม่มีพี่ชายอยู่ที่นี่ จนในปีนี้ที่ลูกสาวอายุครบห้าขวบจึงได้กลับมาบ้านที่เป็นถิ่นกำเนิดของมารดา

“คุณลุงหน้าเหมือนแม่เลยค่ะ…” แน่นอนว่าต้องเหมือน

เกลวลินหันไปยิ้มกับลูก และก็ได้เป็นมือเล็ก ๆ ยกขึ้นมาเช็ดน้ำตาให้กับเธอ

“อย่าร้องไห้เลยนะคะ คุณลุงไปสบายแล้ว” อ้อมแขนเรียวเล็กกระชับที่เอวบางของเธอ เกลวลินก้มลงไปโอบกอดร่างเล็กนุ่มนิ่มนั่นและเงยหน้ามองรูปภาพที่ตั้งอยู่หน้าโลงศพ

ภายในใจเกิดความรู้สึกว้าเหว่ขึ้นมา แต่เมื่อได้กอดลูกแน่น ๆ ความรู้สึกนั้นก็มลายหายไป

“เดี๋ยวแม่ต้องช่วยป้าแก้วรับแขก หนูไปนอนพักที่รถดีไหม”

เด็กหญิงลังเล แต่เมื่อมารดาบอกเช่นนั้นเกลรดาก็เชื่อฟัง

เพราะเกลรดาเอาแต่ห่วงเธอที่เป็นแม่ ลูกสาวเห็นเธอไม่ยอมนอนก็ไม่นอนด้วย แต่เด็กหนอเด็กจะฝืนยังไงไหว

และเกลวลินคาดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่าการที่เธอให้ลูกไปนอนพักจะทำให้เกิดเรื่องใหญ่ที่ทำให้ลูกสาวเธอต้องมานอนหายใจรวยรินอยู่บนเตียงฉุกเฉินในโรงพยาบาล

“เกลคิดหรือยังว่าจะทำยังไงกับบ้านที่อยู่กัน…”

เสียงที่ดังมาจากทางด้านหลังทำให้เกลวลินละสายตาที่กำลังจ้องมองหน้าอกเล็กกระเพื่อมไหวตามแรงหายใจของลูกไปมองคนพูดแทน

“ยังไม่ได้คิดค่ะ” เธอตอบออกไปด้วยน้ำเสียงเฉยชา

“พี่อยากให้เกลรีบคิดหน่อยมันเป็นชื่อเกล…แต่มันก็มีหลายส่วนที่พี่กันต์เขาปรับปรุงบ้านไป”

พี่กันต์ หรือ กันต์ดนัยคือพี่ชายของเธอ สามีของผู้หญิงที่พูดประโยคเมื่อครู่ เธอชื่อว่าแก้ว

เกลวลินพาลูกกลับมาเมืองไทยเพื่อเคารพศพของพี่ชายเป็นครั้งสุดท้าย ประกอบกับครอบครัวเราเหลือกันอยู่แค่สองคนพี่น้อง ถึงแม้พี่ชายจะแต่งงานมีภรรยาและลูกแล้ว แต่มันก็มีบางอย่างที่คนเป็นภรรยาไม่สามารถจัดการได้เพราะมันเป็นชื่อของเธอ

ศพพี่ชายเธอยังตั้งอยู่ในศาลาวัดเป็นคืนแรก ลูกสาวของเธอหรือหลานสาวของผู้หญิงร่างเล็กที่หน้าตาอมทุกข์ตรงหน้าก็นอนใส่สายออกซิเจนอยู่บนเตียงในห้องฉุกเฉิน

แต่ภรรยาของพี่ชายยังมีหน้ามาถามคำถามพวกนี้กับเธออีก เกลวลินสะท้อนอยู่ในอก

“พี่แก้วมีปัญหาเรื่องเงินเหรอ?” เกลวลินถามออกไปแต่กลับไม่ได้รับคำตอบ

มีเพียงท่าทางอึกอักและแววตาที่หลุบลงต่ำทำให้เกลวลินรู้ได้เลยว่าครอบครัวของพี่ชายคงจะมีปัญหาเรื่องเงิน

เกลวลินไม่ได้ทำงานจนร่ำรวย เรียกว่าพอมีพอกินเหลือเก็บเพื่อเป็นทุนทรัพย์ให้กับลูกสาว แต่หลายครั้งพี่ชายก็มาหยิบยืมจนเธอต้องโอนเงินข้ามประเทศมาให้เขา

“หนี้ในระบบหรือนอกระบบ” และก็ไม่ได้รับคำตอบอีกเช่นเดิม พี่สะใภ้เลือกที่จะเงียบอย่างเดียว

ที่จริงเกลวลินหายข้องใจเรื่องนี้ตั้งแต่มาถึงวัดที่จัดงานศพพี่ชายแล้ว เงินจำนวนมากของเธอถูกโอนออกไปจัดการเรื่องต่าง ๆ เหมือนว่าหากไม่มีเธอก็คงทำเรื่องพิธีฌาปนกิจศพพี่ชายไม่ได้

“ไม่มีอะไรแบบที่เกลคิดหรอก…” ภรรยาพี่ชายตอบกลับเสียงเบา และก้มหน้าลงหลบสายตาเธอ

“ถ้าไม่มีหนี้ต้องใช้ก็ไม่มีอะไรต้องรีบ เสร็จงานค่อยว่ากัน พี่กลับไปพักผ่อนเถอะ”

เกลวลินคิดว่าตัวเองรักษามารยาทอย่างถึงที่สุดแล้ว แต่ถ้าคนตรงหน้าจะดึงดันพูดต่อเธอก็จะไม่ไว้หน้าแล้วเหมือนกัน

“เจคเป็นคนพารดามาที่นี่เหรอ…แล้วเกลโทร. บอกพ่อของรดาหรือยัง เขาจะมาถึงไทยกี่โมงเหรอ?”

เกลวลินไม่คิดจะตอบสักคำถามของพี่สะใภ้ เธอได้แต่ระบายลมหายใจหนัก ๆ ออกมาเพียงเท่านั้น ก่อนจะมองพี่สะใภ้ด้วยแววตาเคลือบแคลงจนคนโดนมองรีบก้มหน้าก้มตาและบอกลาน้องสะใภ้แล้วกลับบ้านไป

หลังจากร้างไร้ผู้คนแล้วความรู้สึกของเกลวลินเรียกว่าจมดิ่ง นั่งมองลูกสาวไปก็ปล่อยให้น้ำตามันไหลลงมาโดยไม่คิดจะเช็ดมัน

“แม่ไม่ควรพารดากลับมาที่นี่เลย…”

ทุกการตัดสินใจของเธอมันจะต้องผิดพลาดอยู่ตลอดงั้นเหรอ เกลวลินได้แต่พร่ำโทษตัวเอง มือของเธอจับมือเล็กของลูกมากอดหอม หัวใจมันเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส

ลูกเจ็บแม่เจ็บกว่าเธอรู้ซึ้งถึงคำนี้มาก ๆ และไม่คิดว่าตัวเองจะต้องมารู้สึกอีกครั้งในตอนนี้

แม้หมอเจ้าของไข้จะรับรองว่าลูกสาวเธอปลอดภัยแล้ว แต่เกลรดายังไม่ฟื้นแถมริมฝีปากล่างยังคงบวมช้ำจากการแพ้อย่างหนัก ท้องแขนทั้งสองข้างที่เต็มไปด้วยผื่นลมพิษขึ้นมาไม่มีที่เว้นว่าง

“รดาเจ็บไหมลูก...” เกลวลินกลั้นสะอื้นใช้ปลายนิ้วลูบลงไปบนรอยผื่นนั่นเบา ๆ และยิ่งสัมผัสจนรู้สึกได้ว่าผิวเนื้อส่วนนั้นมันร้อนราวกับโดนไฟเผา คนเป็นแม่หัวใจก็คล้ายจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ

ในตอนนี้นอกจากเจ็บหัวใจจนจะขาดใจตายแล้ว ที่ทำได้ก็คงเป็นการร้องไห้เพื่อระบายความรู้สึกเศร้าเสียใจภายในเท่านั้น

เกลรดาเป็นเด็กสู้มาก แม้จะป่วยบ่อยแต่ก็เป็นเด็กเลี้ยงง่าย ถึงจะตัวเล็กกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกันแต่ก็เป็นเจ้าจิ๋วที่เป็นที่รักของเพื่อนฝูง

เป็นเด็กที่ไม่ได้ช่างเจรจาและชอบฟังมากกว่าพูด บางครั้งทำเหมือนว่าไม่ได้ฟังไม่เข้าใจ แต่จริง ๆ เก็บหมดทุกรายละเอียด ช่างจด ช่างจำ ถามอะไรก็ตอบได้ทุกอย่าง

เกลรดาทำให้เกวลินอดสะท้อนใจไม่ได้ว่าลูกเหมือนกระจกสะท้อนวันวานให้กับเธอ

ในอดีตเธอก็เป็นคนเช่นนี้ แต่เกวลินไม่คิดว่าการที่เป็นคนเช่นนี้เป็นเรื่องที่ผิด เธอจึงสอนให้ลูกอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริง โลกจริง ๆ ที่ไม่ได้ปรุงแต่งให้สวยงามใด ๆ

รู้จักเจ็บยามหกล้ม รู้จักผิดหวังยามไม่ได้ของเล่นที่ต้องการ รู้จักรอคอยไม่ใช่อยากจะได้อะไรก็ต้องได้

และสำคัญที่สุดคือเธอมักจะสอนให้ลูกอยู่เสมอคืออย่าเป็นคนที่เชื่อใจใครง่าย ๆ จะต้องมีสติอยู่ตลอดเวลา

แต่ทั้งที่พร่ำสอนสุดท้ายก็มีวันนี้จนได้ ครั้งนี้เป็นครั้งแรกในรอบสองปีที่ลูกจะต้องนอนโรงพยาบาล เหตุมาจากการที่เชื่อใจคนอื่น

“แม่ขอโทษนะรดา แม่ขอโทษ” เกลวลินก้มหน้าฟุบลงไปร้องไห้กับฝ่ามือเล็ก ๆ นั่น ร้องจนเสียงสะอื้นมันดังไปถึงเตียงที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของห้องฉุกเฉิน

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel