พบกันอีกครั้ง
ปีนี้หยางอวี้ซื่ออายุครบสิบห้าแล้ว พิธีปักปิ่นของนางถูกจัดขึ้นอย่างเรียบง่ายภายในเรือนฉางซิ่น มีเพียงซุนอี๋เหนียงที่เป็นคนปักปิ่นให้ สองปีที่ผ่านมา คนในจวนแทบจะลืมเลือนสองแม่ลูกคู่นี้ ท่านป๋อไม่เคยมาหา ท่านย่าไม่เคยเรียกไปพบ ยามที่จวนป๋อมีแขก พวกนางไม่เคยออกไปเสนอหน้า หากมิใช่เป็นเพราะหยางฮูหยินยังรักษาหน้าตา ไม่แน่ว่าความเป็นอยู่ของพวกนางจะไม่ได้ดีเช่นนี้
อวี้ซื่อเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย นางไม่เคยโกรธเกลียดเคียดแค้นผู้ใด นางเกิดเป็นลูกอนุ สามารถอยู่ดีมีสุขอย่างทุกวันนี้ได้ นับว่าดีมากแล้ว
หลังจากอวี้ซื่อปักปิ่นได้เพียงสองวัน จวนป๋อจัดงานต้อนรับท่านหญิงอวี้ฮวาอย่างเอิกเกริก ด้วยชื่อเสียงอันดีงามของนาง ทำให้จวนเซียวหยางป๋อกลับมามีหน้ามีตาอีกครั้ง หลังจากผิดหวังเรื่องที่อวี้หรัวไม่ได้รับเลือกเป็นพระชายาเมื่อสองปีก่อน งานนี้ท่านป๋อถึงกับเชื้อเชิญแขกสูงศักดิ์มาร่วมงานมากมาย
ณ. เรือนฉางซิ่น
“คุณหนูจะสวมชุดไหนเจ้าคะ” ซูหยุนชูอาภรณ์สองชุดในมือขวาและมือซ้ายให้เจ้านายดูผ่านกระจกทองเหลือง นางคิดว่าคุณหนูออกงานครั้งแรก ควรจะสวมอาภรณ์มีสีสันเสียหน่อย ที่ผ่านมานางเห็นแต่คุณหนูใส่แต่อาภรณ์สีจืดชืด ช่างไม่สมกับรูปร่างหน้าตาเอาเสียเลย
อวี้ซื่อในตอนนี้นั้น ช่างแตกต่างจากสองปีก่อนลิบลับ นางมิได้งดงามปานล่มเมืองอย่างอวี้ฮวา มิได้งามสง่าประดุจหงส์อย่างอวี้หรัว หากแต่งามเหมือนกระต่ายน้อยน่ารัก ใบหน้าเล็กเท่าฝ่ามือแลดูจิ้มลิ้มพริ้มเพรา คิ้วโก่งรับกับดวงตากลมโตที่ราวกับผลเจียนกั่ว จมูกโด่งปลายงอนเชิดขึ้นเล็กน้อย บ่งบอกว่าเป็นคนดื้อรั้นอยู่บ้าง
อวี้ซื่อเม้มริมฝีปากแดงสดไม่ต่างจากผลอิงเถาของตนเอง ก่อนส่ายหน้าให้สาวใช้ผ่านกระจก “ไม่มีชุดอื่นแล้วหรือ?”
“จะว่ามีก็มีอยู่เจ้าค่ะ” ซูหยุนหันไปมองชุดฮั่นฝูสีฟ้าขาวที่พาดอยู่บนเตียงอย่างห่อเหี่ยว ชุดนี้ไม่เพียงมีสีสันจืดชืด ยังมิดชิดเสียยิ่งกว่าแม่ชีสวมใส่ในวัดเสียอีก
เสื้อตัวนอกสีฟ้ากับเสื้อตัวในสีขาวมีลักษณะพาดจากขวาทับซ้ายร้อยเชือกผูกทับไว้ข้างลำตัว สาบเสื้อสูงจนเกือบชิดลำคอ ชายเสื้อยาวไปจนถึงเข่า แขนเสื้อยาวไปถึงครึ่งฝ่ามือ ส่วนกระโปรงเป็นสีขาวไม่ได้ปักลวดลาย ทรงสุ่มยาวกรอมข้อเท้า ขาดเพียงหมวกคลุมศีรษะ ก็จะเหมือนแม่ชีอยู่แล้ว ซูหยุนถึงกับเห็นภาพคุณหนูของตนศีรษะโล้นขึ้นมาเลยทีเดียว “คุณหนูอย่าใส่ชุดนี้เลยเจ้าค่ะ บ่าวว่ามันออกจา....”
“เหมือนแม่ชี? ถ้าเช่นนั้นเจ้าควรมาโกนผมให้ข้า” อวี้ซื่อต่อประโยคให้ด้วยรอยยิ้มขบขัน
“โธ่ คุณหนูอย่าล้อบ่าวเล่นเช่นนั้นสิเจ้าคะ”
“เจ้าเด็กโง่ เจ้าจะไปรู้อะไร คุณหนูของเจ้าเลือกใส่ชุดนั้นน่ะถูกแล้ว” ซุนอี๋เหนียงที่พึ่งเดินผ่านประตูเข้ามาส่ายหน้ามองซูหยุนด้วยรอยยิ้มเอ็นดู ก่อนจะเดินตรงเข้าไปทำผมให้บุตรสาว พลางสั่งสอนอบรมซูหยุนไปด้วย “วันนี้เจ้าของงานคือคุณหนูใหญ่ หากคุณหนูของเจ้าแต่งตัวโดดเด่นเกินไป ผู้คนจะนินทาเอาได้ เรื่องพวกนี้ ต่อไปเจ้าต้องเรียนรู้ให้มาก เข้าใจหรือไม่”
“บ่าวเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ” ซูหยินเป็นคนหัวไว ไม่นานก็กระจ่างแจ้ง รีบเดินไปหยิบอาภรณ์ที่พาดไว้บนเตียงมารอแต่งตัวให้เจ้านาย
เห็นเช่นนั้นสองแม่ลูกจึงมองสบตากันด้วยรอยยิ้ม ในความคิดของซุนอี๋เหนียง คือต่อไปบุตรสาวต้องออกเรือน วันข้างหน้ายังไม่รู้ว่าจะดีหรือร้าย ซูหยุนจะกลายเป็นดั่งญาติเพียงคนเดียวที่จะติดตามบุตรสาวไป นางถึงต้องสั่งสอนอบรมให้มากหน่อย หวังว่าเมื่อถึงยามคับขันพวกนางจะเป็นที่พึ่งซึ่งกันและกันได้
หน้าประตูจวน วันนี้ท่านป๋อออกมารับแขกด้วยตนเอง นานมากแล้วที่จวนเซียวหยางป๋อมิเคยจัดงานใหญ่โตเช่นนี้ นับว่ามีหน้ามีตาแล้วจริงๆ เพราะแขกที่มาล้วนไม่ธรรมดาเลย
ในสวนตะวันออก มีหยางฮูหยินคอยดูแลแขกสตรี ยังดีว่ายังมีฮูหยินบางคนที่พอจะสนิทสนมคุ้นเคยกันอยู่บ้าง จึงทำให้หยางฮูหยินยังพอจะยิ้มออก ไม่มีใครรู้ดีเท่านางอีกแล้ว ว่าจวนป๋อวิกฤตเพียงใด เงินใช้จ่ายแทบจะไม่มี จะให้นางเชิดหน้าอย่างภาคภูมิได้อย่างไร การจัดงานครั้งนี้ ถึงกับต้องนำสินเดิมของนางออกมาจ่าย หากนางยินดีก็แปลกแล้ว
จวนเซียวหยางป๋อ แต่เดิมมิได้มีฐานะร่ำรวยอันใด เพราะเป็นเพียงตระกูลสายรองลำดับที่สี่ หลังจากที่แยกบ้าน จึงมิได้มีสมบัติติดกายมามากมาย มีร้านค้าของตระกูลเพียงสองร้าน กับที่ดินพระราชทานอีกสองร้อยหมู่ รวมรายได้จากร้านและค่าเช่าที่ดินยังไม่พอกับรายจ่าย ส่วนรายได้ประจำตำแหน่งของท่านป๋อแค่เดือนละยี่สิบตำลึงจะไปพออะไร เรื่องนี้พูดไปก็ไม่ได้ เก็บไว้ก็มีแต่จะอกแตกตาย สู่ชิงหร่วนอึดอัดขับข้องใจจริงๆ
“ท่านแม่” อวี้หรัวเห็นว่าสีหน้ามารดาเริ่มไม่สู้ดี จึงเอ่ยเรียกเสียงเบา สู่ชิงหร่วนหันไปยิ้มให้นางวางใจ ภรรยาเอกที่สามารถปกครองบ้านที่มีทั้งอนุและลูกอนุมากมายให้อยู่กันอย่างสงบได้ ย่อมมิใช่ธรรมดา ต่อให้ไม่พอใจแค่ไหน สู่ชิงหร่วนก็ไม่มีทางแสดงออกมาให้ผู้อื่นได้เห็น
อวี้หรัวมีนิสัยคล้ายมารดาบวกกับที่นางถูกเลี้ยงดูปลูกฝังให้เป็นพระชายา กิริยามารยาทและการวางตัวจึงสง่างามกว่าเด็กสาววัยเดียวกัน นางหาใช่ไม่รู้ถึงความกลัดกลุ้มของมารดา เพียงแต่เวลานี้มิใช่เวลาจะมาถามไถ่ ต่อหน้าแขกเหรื่อมากมาย จึงทำได้แค่เพียงยิ้มปั้นหน้า
ขณะที่สองแม่ลูกกำลังรับแขกอยู่ในสวน อวี้ฮวาได้พาเกาฮูหยินมาคารวะฮูหยินผู้เฒ่า เกาฮูหยินคือมารดาของหมอหลวงเกาหย่วน ช่วงที่นางไปรักษาโรคระบาด อวี้ฮวาค่อนข้างจะสนิทสนมกับเขา อีกทั้งเกาหย่วนปีนี้อายุยี่สิบห้าแล้ว ยังไม่มีคู่หมั้นคู่หมาย เกาฮูหยินจึงถูกใจนางเป็นพิเศษ
เรือนรับรองมิได้มีเพียงฮูหยินผู้เฒ่า ด้านหน้ายังมีเหล่าอี๋เหนียงทั้งหลายยืนตั้งแถวคอยต้อนรับแขก ส่วนบรรดาหลานสาวยืนเรียงรายกันอยู่เบื้องหลังเก้าอี้ประธานที่ฮูหยินผู้เฒ่านั่งอยู่ เรียกได้ว่า แขกไปใครมาต้องเห็นพวกนาง
และนับเป็นครั้งแรกในรอบสองปี ที่อวี้ฮวาได้เห็นอวี้ซื่อ นางกลับจวนมาสิบกว่าวัน แต่ไม่เคยได้พบหน้าน้องสาวคนนี้ จนแทบจะลืมตัวตนของอวี้ซื่อไปแล้วด้วยซ้ำ ไม่นึกว่าจะได้มาเห็นอีกฝ่ายงดงามเช่นนี้ ความริษยาผุดขึ้นในใจอวี้ฮวาโดยที่แม้แต่เจ้าตัวยังไม่รู้
ฮูหยินผู้เฒ่าทักทายเกาฮูหยินอย่างเป็นกันเอง เพราะนิยมชมชอบในตัวหมอหลวงเกาหย่วนอยู่ไม่น้อย ในใจท่านผู้เฒ่าถึงกับมีความคิดจะให้หลานสาวคนใดคนหนึ่งแต่งเข้าสกุลเกาไปแล้วด้วยซ้ำ
ไม่นานก็เริ่มมีฮูหยินจากหลายตระกูลทยอยกันเข้ามาคารวะทักทาย สายตาหลายคู่ล้วนไม่พลาดเด็กสาวสี่คนที่ยืนอยู่เบื้องหลังฮูหยินผู้เฒ่า หากจะพูดว่างานนี้จัดขึ้นเพื่ออวี้ฮวา มิสู้เรียกว่างานเปิดตัวธิดาเซียวหยางป๋อจะดีกว่า
การจัดการวางแผนของท่านผู้เฒ่านั้น ช่างเหนือชั้นจริงๆ ฮูหยินหลายคนกลับมีความคิดเช่นนี้เอง
ทางฝั่งบุรุษ การมาถึงของเสวียนหรงซื่อจื่อได้สร้างความตื่นตะลึงให้แขกเหรื่อเป็นอย่างมาก ด้วยทายาทกั๋วกงผู้นี้ มิเคยไปร่วมงานผู้ใดง่ายๆ เว้นแต่งานที่จัดขึ้นในวัง ทุกคนต่างคิดกันไปต่างๆ นานา ถึงเจตนาของซื่อจื่อ
สองปีก่อนที่อวี้ฮวาเดินทางไปทางใต้ เสวียนหรงไปหานางอยู่บ่อยครั้ง เขารู้มาโดยตลอดว่านางทำอะไรอยู่ที่ไหน ความสนิทสนมของพวกเขามิได้ต่างอันใดกับคู่รัก เพราะเหตุนี้ เสวียนหรงถึงยังมิได้หมั้นหมายกับผู้ใด เขารอนางกลับมา
เซียวหยางป๋อย่อมรู้เรื่องนี้ดี จึงเชื้อเชิญเสวียนหรงซื่อจื่อเข้าไปพบมารดา เพราะว่าอวี้ฮวาอยู่ที่นั่น
ครั้นมีบ่าวมารายงานว่าซื่อจื่อกำลังจะมา ฮูหยินท่านอื่นๆ จึงพากันทยอยออกจากห้องโถง
อวี้ฮวาลุกขึ้นไปประคองฮูหยินผู้เฒ่า พาเดินไปรอที่หน้าประตู ก่อนไปยังไม่ลืมที่จะหันไปมองอวี้ซื่อ
อวี้จิ้นเดินตามออกไปเป็นคนแรก ตามอันดับการยืน อวี้ซื่อยืนรองจากอวี้จิ้น นางจำต้องเดินตามไปเป็นคนที่สอง ตามมาด้วยอวี้เจียวและอวี้หลุน
เมื่อฮูหยินผู้เฒ่ามาถึงประตู เสวียนหรงเดินมาถึงพอดี ไม่น่าเชื่อว่าคนแรกที่เขามองเห็นกลับมิใช่อวี้ฮวา หากแต่เป็นเด็กสาวในอาภรณ์เรียบง่ายที่ยืนอยู่เบื้องหลัง เสวียนหรงถึงกับขมวดคิ้วรีบดึงสายตากลับทันที
ถึงจะแค่แวบเดียว แต่อวี้ฮวายังมองเห็น ในใจรู้สึกไม่ดีอย่างยิ่งยวด
หลังจากคารวะทักทายพูดคุยถามไถ่กันพอเป็นพิธีสองสามคำ เสวียนหรงกลับออกไปหน้าลานพร้อมกับเซียวหยางป๋อ บริเวณเรือนรับรองไปจนถึงสวนตะวันออกเป็นที่ของสตรี เขาจึงมิอาจรั้งอยู่นาน
ฮูหยินผู้เฒ่าเห็นว่าใกล้ได้เวลาอาหารแล้ว จึงหันไปสั่งให้หลานๆ แยกย้ายกันไป ส่วนบรรดาอี๋เหนียงทั้งสี่ต้องนั่งทานที่โต๊ะด้านหลัง เพราะถึงอย่างไรพวกนางก็เป็นแค่กึ่งบ่าว
อวี้จิ้นยังคงมีนิสัยเช่นเดิม ตอนที่เห็นซื่อจื่อ แม้แต่สายตาลุ่มหลงนางยังกล้าแสดงออกมา หลังออกมาจากเรือนรับรอง แทนที่นางจะเดินตามพี่น้องไปทางสวนตะวันออก กลับพาสาวใช้ไปแอบดูเสวียนหรงที่ฝั่งบุรุษ
จิ่นเซียวส่งสายตาให้เจ้านาย ทันทีที่เห็นว่าอวี้จิ้นเดินแยกออกไป พออวี้ฮวาพยักหน้า นางจึงหลบออกไปอย่างแนบเนียน
อวี้ฮวาชะลอฝีเท้าให้ช้าลง กระทั่งมาเดินข้างกายอวี้ซื่อ จากนั้นกล่าวขึ้นว่า “ไม่นึกว่าน้องสี่โตแล้วจะงดงามถึงเพียงนี้”
“ขอบคุณพี่ใหญ่ที่ชม พี่ใหญ่เองก็งดงามมากเช่นกัน” อวี้ซื่อตอบกลับไปด้วยรอยยิ้ม นางเป็นคนไม่ชอบพูด หลังจากพูดประโยคนั้นแล้ว ก็เพียงแค่ก้มหน้าเดิน
อวี้ฮวามิใช่คนถนัดที่จะเสแสร้งเช่นกัน จึงไม่ได้พูดอันใดอีก
ทางฝั่งสตรีพึ่งจะแยกย้ายกันไปนั่งโต๊ะได้ไม่เท่าไหร่ ทางฝั่งบุรุษกลับมีเรื่องให้ชวนตะลึงเป็นครั้งที่สอง การปรากฏตัวของคุณชายสี่จวนอันหย่งโหว เป็นเรื่องที่คาดไม่ถึงยิ่งกว่าการปรากฏตัวของเสวียนหรงซื่อจื่อเสียอีก
เว่ยกงเยว่เป็นคนเช่นไร คนทั้งเมืองต่างรู้กันทั่ว บางตระกูลถึงกับต้องเอ่ยเตือนลูกหลานให้อยู่ห่างเขาเอาไว้ ราวกับเขาเป็นตัวเชื้อโรค คนที่ชอบหาเรื่องไปทั่วเช่นนี้ ถึงกับมาปรากฏตัวในงานเลี้ยงจวนป๋อ มิรู้ว่ามีจุดประสงค์อันใด ขุนนางใต้บังคับบัญชาของอันหย่งโหวรีบส่งคนไปแจ้งท่านโหวทันที
เว่ยกงเยว่มิได้สนใจสายตาผู้คน เขาเห็นว่าเซียวหยางป๋อยังตกตะลึงอยู่ จึงเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหาเสียเอง
ไม่มีใครรู้ว่าหยางอวี้เซิ่งหวาดกลัวชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาผู้นี้มากแค่ไหน ตั้งแต่ที่เขากลับมาก่อนอวี้ฮวาเมื่อปีที่แล้ว เขาถูกเว่ยกงเยว่ข่มขู่จนหวาดผวาไปหมด แม้แต่ยามนอนยังมิกล้าที่จะหลับ หลายเดือนที่ถูกเว่ยกงเยว่มานั่งเฝ้าข้างเตียง ซักถามว่าอวี้ฮวาอยู่ที่ใด เขาได้แต่โกหกไปต่างๆ นานา จนสุดท้ายทนไม่ไหว ต้องยอมบอกความจริงไป แต่ถึงกระนั้น เว่ยกงเยว่ยังคงเป็นฝันร้ายของเขาอยู่ดี
“ท่านพ่อตา ว่าที่ภรรยาของข้าอยู่ที่ใด” เว่ยกงเยว่ตะโกนถามมาแต่ไกล จนผู้ที่ถูกถามถึงกับสะดุ้งโหยง สติจวนเจียนจะหลุดลอยออกจากร่างอยู่รอมร่อ
เดิมที่หยางอวี้เซิ่งมิใช่คนกล้าหาญอันใดอยู่แล้ว ยิ่งต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่ตนหวาดกลัว เจ้าตัวถึงกับพูดไม่ออก ภายในลานเงียบสนิท จนแทบได้ยินเสียงเข็มตก
เว่ยกงเยว่คร้านจะรอคำตอบ จึงเดินผ่านหน้าเขา ตรงไปยังฝั่งสตรี
