บท
ตั้งค่า

คู่หมั้นคุณชายสี่

บานหน้าต่างเรือนรุ่ยซิ่นถูกเปิดออกอย่างไร้สุ้มไร้เสียง ความมืดในยามราตรี คล้ายจะไม่มีผลกับผู้ที่กำลังปีนเข้าห้องผู้อื่น

อวี้ฮวายังไม่ได้หลับสนิท เพียงแค่คนผู้นั้นมายืนอยู่ข้างเตียง พลันรู้สึกตัวทันที “เจ้าเป็นใคร!” ร่างบอบบางผุดลุกขึ้นนั่ง ถอยกรูดไปจนชิดผนังอย่างตื่นตระหนก ขนบนร่างลุกตั้งชัน รู้สึกหวาดกลัวจับจิต

“จุ๊ๆ เจ้าเสียงดังเกินไปแล้ว” เขาเอ่ยเสียงเฉื่อยชา พลางแหวกม่านมุ้งลงนั่งบนขอบเตียง

เว่ยกงเยว่? พอรู้ว่าเป็นเขา อวี้ฮวาค่อยๆ สงบจิตสงบใจ พยายามปรับน้ำเสียงไม่ให้สั่น เอ่ยถามไปว่า “เจ้ามาหาข้าดึกดื่นเช่นนนี้ มีเรื่องอันใด”

“เพราะผู้ใหญ่บ้านเจ้ามัวแต่รอปรึกษากัน ข้าเลยขี้เกียจรอ ว่าจะมาเปลี่ยนข้าวสารให้เป็นข้าวสุกก่อน” เขาตอบกลับมาอย่างเอาแต่ใจ

และแน่นอนว่าคนอย่างเว่ยกงเยว่มิได้พูดเล่น เรื่องนี้อวี้ฮวาย่อมกระจ่างแจ้งดีที่สุด

นางกลอกตาไปมาในความมืด พยายามครุ่นคิดหาทางรับมือ ครั้นเห็นว่าเว่ยกงเยว่ทำท่าจะขยับขึ้นมาบนเตียง อวี้ฮวารีบกล่าวออกไป “ข้าพึ่งจะอายุสิบสาม ร่างกายยังไม่โต เชยชมก่อนมิใช่ว่าจะด้อยค่าเร็วหรอกหรือ”

ได้ยินเช่นนั้นเว่ยกงเยว่จึงหยุดการกระทำของตนเอง เวลานี้ หัวเข่าข้างหนึ่งของเขาพึ่งจะพาดเฉียงขึ้นมาบนเตียง ส่วนขาอีกข้างยังห้อยอยู่ด้านข้าง เอียงคอมองนางผ่านความมืด

อันที่จริงเจ้าตัวมิได้รู้สึกมีความใคร่กับเด็กสาวร่างกายยังไม่เติบโตเต็มวัยเท่าไหร่นัก เว่ยกงเยว่คิดว่านางพูดถูก หากเขาเชยชมนางเร็วไป มิใช่ว่าจะเบื่อเร็วหรอกหรือ ดีไม่ดีพอถึงช่วงที่ดอกไม้งามเต็มที่ เขาอาจจะเบื่อนางแล้วก็เป็นได้ ควรรออีกสักหน่อยจะดีกว่า คิดได้ดังนั้น เว่ยกงเยว่จึงลุกขึ้น “อืม ที่เจ้าพูดมาก็ถูก ข้าจะรออีกหน่อยก็แล้วกัน” พูดจบคนก็กลับออกไปทางเดิม

หลังจากที่เขาไปแล้ว อวี้ฮวาพลูลมหายใจออกมาเฮือกใหญ่ คนผู้นี้หน้าด้านไร้ยางอายกว่าที่นางคิด ถึงวันนี้นางจะเอาตัวรอดไปได้ แต่พรุ่งนี้เล่า จะมั่นใจได้อย่างไรว่าเขาจะไม่กลับมาอีก ไม่ได้ เรื่องเช่นนี้จะปล่อยให้เกิดขึ้นซ้ำสองมิได้

เช้าขึ้น อวี้ฮวารีบมาดักรอบิดา ก่อนที่ท่านป๋อจะไปเข้าประชุมในท้องพระโรง หลังจากที่ทบทวนมาทั้งคืน นางฉุกคิดได้เรื่องหนึ่ง คาดว่าอันหย่งโหวไม่น่าจะทราบเรื่องที่ฮูหยินอันผิงโหวออกหน้าส่งแม่สื่อมาทาบทามนาง ไม่รู้ว่าที่นางคิดจะถูกหรือไม่ มีแต่ต้องลองดู

“ท่านพ่อเจ้าคะ โปรดรอสักครู่เจ้าค่ะ”

หยางอวี้เซิ่งกำลังเตรียมจะก้าวขึ้นรถม้า ครั้นได้ยินเสียงบุตรสาวจึงชักเท้ากลับ หันมามองนาง รอกระทั่งนางเดินมาใกล้แล้ว ถึงได้เอ่ยถาม “ฮวาเอ๋อมีอันใดหรือ?”

“ท่านพ่อ ขอเวลาให้ลูกสักครู่ได้หรือไม่เจ้าคะ”

แม้จะแปลกใจอยู่บ้าง ทว่าหยางอวี้เซิ่งยังคงพยักหน้า “มีอะไรก็ว่ามาเถิด”

อวี้ฮวาเรียบเรียงคำพูดในใจอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกความคิดของตนเอง “ท่านพ่อเจ้าคะ ลูกว่าเรื่องที่ฮูหยินอันผิงโหวส่งแม่สื่อมาทาบทามลูกมันแปลกๆ นะเจ้าคะ เป็นไปได้หรือไม่ที่ท่านโหวจะไม่ทราบเรื่อง”

ใบหน้าของท่านป๋อชะงักงัน อวี้ฮวาเห็นว่าบิดาเริ่มเอะใจแล้ว จึงกล่าวต่อไปว่า “ถ้าอย่างไร ท่านพ่อลองถามท่านโหวดูดีหรือไม่เจ้าคะ

“ทำเช่นนั้น จะไม่เป็นการหักหน้าทั้งฮูหยินอันผิงโหวและท่านโหวหรือ” หยางอวี้เซิ่งตอบกลับมาด้วยท่าทางหนักใจ เพราะหากท่านโหวไม่ทราบเรื่องจริง ย่อมหมายความว่าฮูหยินอันผิงโหวเข้ามาจุ้นจ้านเรื่องจวนอันหย่งโหวไปเอง ซึ่งเป็นเรื่องไม่สมควรอย่างยิ่ง ถูกพี่สาวภรรยาหักหน้าเช่นนั้น ใครบ้างจะพอใจ ส่วนตัวเขาที่เป็นคนนำข่าวไปบอก แน่นอนว่าต้องสร้างความบาดหมางกับจวนอันผิงโหว ดีไม่ดีจะรวมไปถึงฮูหยินอันหย่งโหวด้วย

“หากถามไปตรงๆ ย่อมต้องเป็นการหักหน้าแน่นอนเจ้าค่ะ แต่ลูกมีวิธี” อวี้ฮวากล่าว

“โอ้ ทำอย่างไรหรือ?” หยางอวี้เซิ่งมีท่าทางสนใจขึ้นมาทันที

“ท่านพ่อเพียงแค่ถามเว่ยโหวเยว ว่าจะมารับตัวน้องสี่เข้าจวนในฐานะอนุคุณชายเว่ยเมื่อใดก็พอแล้วเจ้าค่ะ หากโหวเยวมีท่าทีสงสัย ถึงค่อยบอกเรื่องแม่สื่อ เพียงเท่านี้ก็ไม่ต้องหักหน้าผู้ใดแล้ว” ใครออกหน้าล้วนไม่สำคัญ สุดท้ายยังเป็นอันหย่งโหวตัดสินใจ อวี้ฮวาเชื่อว่าโหวเยวไม่มีทางปฏิเสธว่าตนเองมิทราบเรื่องอย่างแน่นอน มีแต่จะต้องรับตัวอวี้ซื่อไว้

เซียวหยางป๋อขึ้นรถม้าจากไปอย่างอารมณ์ดี โดยหารู้ไม่ว่ากำลังตกเป็นเครื่องมือของบุตรสาว ในหัวยังคิดเพ้อฝันว่าจะได้เกาะขาทองคำของสองตระกูลใหญ่

หลังเสร็จจากประชุมเช้า หยางอวี้เซิ่งเข้าไปพูดคุยกับอันหย่งโหวตามที่อวี้ฮวาบอกจริงๆ อีกทั้งอันหย่งโหวยังมิได้ปฏิเสธจริงตามที่คาด หากแต่ถามเช่นนี้ออกมา “เมื่อครู่ ท่านบอกว่าเป็นหยางอวี้ซื่อหรือ?”

“ชะ..ใช่ ใช่แล้ว ขอรับ” หยางอวี้เซิ่งตอบไม่เต็มเสียงนัก นึกระแวงว่าอันหย่งโหวจะรู้ว่าตนโกหก เรื่องสับเปลี่ยนตัว

“แม่หนูสี่?” อันหย่งโหวถามย้ำอีก

“ขะ.ขอรับ นางเป็นบุตรสาวลำดับสี่”

อันหย่งโหวเป็นถึงจงซู่ หัวหน้าสำนักราชเลขา มีหรือจะมองเบื้องลึกเบื้องหลังไม่ออก ที่ถามออกไปเช่นนั้น เพราะเขารู้จักกับอวี้ซื่อ เจอกันอยู่บ่อยครั้งในร้านขายตำราปี้สุ่ย

จะว่าไป เขาเองก็เคยมีความคิดอยากได้นางมาเป็นลูกสะใภ้อยู่เหมือนกัน หากไม่ใช่ว่าเจ้าลูกชายตัวดีทำตัวไม่เอาถ่าน คงส่งแม่สื่อไปทาบทามนางนานแล้ว ในเมื่อบิดาของนางยื่นโอกาสมาให้เช่นนี้ ไฉนจะไม่รับไว้

“เร็วๆ นี้ ข้าจะส่งแม่สื่อเข้าไปเพื่อแลกเทียบวันเดือนเป็นเกิด จะได้ทำสัญญาหมั้นหมายให้เด็กๆ เอาไว้ก่อน กำหนดแต่งงานให้เป็นหลังจากแม่หนูสี่ครบวัยปักปิ่น ท่านเห็นเป็นเช่นไร”

ประโยคนี้ของอันหย่งโหว กระทั่งกลับถึงจวนแล้ว หยางอวี้เซิ่งยังคิดว่าตนฝันไป เขารีบนำเรื่องนี้ไปบอกมารดาและบุตรสาวทันที

“อะไรนะเจ้าคะ?” อวี้ฮวาเกือบจะประคองใบหน้าตนเองไม่อยู่ หลังจากที่รู้ว่าอวี้ซื่อจะได้แต่งเป็นภรรยาของเว่ยกงเยว่ มิใช่อนุ ทว่าพอคิดไปถึงคนถ่อยผู้นั้น ถึงค่อยรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย เว่ยกงเยว่ชอบพอนาง หากรู้ว่าต้องแต่งกับอวี้ซื่อ มีหรือจะพอใจ มิหนำซ้ำคนสารเลวผู้นั้นกำลังจะตายในอีกสามปีข้างหน้า ต่อให้อวี้ซื่อได้แต่งไป ต้องเป็นหม้ายอยู่ดี

“ท่านโหวเป็นคนออกปากสู่ขอน้องสี่ของเจ้ากับพ่อเองเลย ตอนนี้เจ้าไม่ต้องกังวลแล้ว” หยางอวี้เซิ่งเห็นบุตรสาวเงียบไป ยังคิดว่านางกังวลเรื่องสับเปลี่ยนตัว จึงเอ่ยย้ำให้ฟังอีกครั้ง

“ลูกมิได้กังวลเจ้าค่ะ ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ลูกเพียงแค่รู้สึกดีใจแทนน้องสี่” อวี้ฮวาบอกบิดาด้วยรอยยิ้ม

แน่นอนแล้วว่า อวี้ซื่อจะหมั้นหมายกับเว่ยกงเยว่ เพียงแต่การเปลี่ยนตัวยังถูกเก็บเป็นความลับ แม้แต่หยางฮูหยินยังไม่ทราบ ทุกคนจึงรู้เพียงว่า อวี้ฮวากำลังจะหมั้นหมายกับคุณชายสี่จวนอันหย่งโหว

มิใช่แค่ทางจวนป๋อเท่านั้น หากคนจวนโหวเองก็ทราบเช่นนี้

ในห้องโถงเรือนฮูหยินผู้เฒ่าเว่ย อันหย่งโหวเรียกทุกคนในครอบครัวมารวมตัวกัน

เรื่องสับเปลี่ยนตัวจากอวี้ฮวาเป็นอวี้ซื่อ ไม่ถึงชั่วยาม อันหย่งโหวก็ทราบความจริงทั้งหมด แต่มิได้คิดหาความเซียวหยางป๋อ อีกทั้งท่านโหวยังมิได้หักหน้าภรรยาเรื่องที่นางกระทำโดยพลการ เพียงบอกกับทุกคนว่าทางจวนเซียวหยางป๋อตอบตกลงรับหมั้นเว่ยกงเยว่แล้ว ทว่ากลับมิได้เอ่ยว่าคู่หมั้นเป็นใคร

ฮูหยินผู้เฒ่าเว่ยไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ได้ยินแล้วไม่พอใจขึ้นมาทันที “เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ ไฉนเจ้าไม่มาปรึกษากับแม่ก่อน” เว่ยกงเยว่คือหลานชายที่นางรักและเอ็นดูมากที่สุด เรื่องแต่งงานของเขาจึงถือเป็นเรื่องใหญ่มากสำหรับนาง “เด็กนั่นเป็นบุตรสาวตระกูลใด เหมาะสมกับเจ้าสี่หรือไม่”

เว่ยกงเยี่ยนมีสีหน้าเหนื่อยหน่ายเล็กน้อย แต่มิได้แสดงกิริยาไม่พอใจต่อหน้ามารดา สำหรับเขา คิดว่าแค่มีตระกูลใดยอมให้บุตรสาวแต่งงานกับบุตรชายสารเลวของตนนับเป็นบุญของตระกูลเว่ยแล้ว ยังจะสนใจเรื่องความเหมาะสมอันใดอีก ทว่าเรื่องนี้กลับมิอาจพูดให้มารดาฟังได้ จึงตอบไปเพียงว่า “ตระกูลเซียวหยางป๋อ เหมาะสมยิ่งขอรับ”

เว่ยกงเยว่คิดว่าเป็นอวี้ฮวา รีบหันไปออดอ้อนผู้เป็นย่า “หลานอยากได้นางจริงๆ ท่านย่าโปรดสนับสนุนด้วย มิเช่นนั้นหลานคงกินไม่ได้นอนไม่หลับ ท่านย่าคงไม่อยากเห็นหลานเสียใจใช่หรือไม่ขอรับ” พูดแล้วคนก็ตีหน้าเศร้า ทำประหนึ่งจะขาดใจตายเสียให้ได้

เพียงคำพูดไม่กี่คำของเขา ทำให้ฮูหยินผู้เฒ่าใจอ่อน ที่สุดก็ยอมปล่อยผ่านเรื่องนี้ไป ในเมื่อหลานของนางมีใจ นางย่อมไม่คิดขัดขวาง

ท่านโหวอดที่จะถลึงตาใส่บุตรชายไม่ได้ ทั้งบ้านก็เห็นจะมีแต่มารดากับภรรยาของเขานี่แหละ ที่ยังเห็นว่าเจ้าตัวดีน่ารักน่าเอ็นดู

ตลอดเวลา ฮูหยินอันหย่งโหวไม่กล้ากล่าววาจาสักคำ แค่รู้ว่าสามีทราบเรื่องที่นางกับพี่สาวกระทำ ตั้วจีเป็นกังวลมากพอแล้ว ไหนเลยจะกล้าออกความคิดเห็น

ส่วนบุตรชายและสะใภ้ทั้งสามไม่ได้ออกความคิดเห็นเช่นกัน

ในเมื่อท่านโหวตัดสินใจไปแล้ว ย่อมเป็นเด็ดขาด ที่เหลือก็แค่แลกเปลี่ยนวันเดือนปีเกิด เตรียมของหมั้นพร้อมสัญญาหมั้นหมายไปจวนเซียวหยางป๋อ เรื่องพวกนี้เป็นผู้ใหญ่จัดการ เว่ยกงเยว่มิได้ใส่ใจ

คืนนี้ เว่ยกงเยว่ยังคงลอบเข้ามาในห้องนอนของอวี้ฮวา โดยไม่สนใจจะให้เกียรตินางเลยแม้แต่น้อย หลังจากที่ลวนลามนางจนพอใจ ถึงได้กลับออกไป คืนต่อมา เขายังคงทำเช่นเดิม กระทั่งฝนเริ่มตกหนัก ร่างกายของอวี้ฮวาถูกเขาสัมผัสไปจนทั่วแล้ว ไม่มีส่วนใดที่เขาไม่เคยเห็น มีอยู่คืนหนึ่งเขาถึงกับจับนางเปลือยกาย ส่องไฟดูไปทั่วร่าง กระทำราวกับนางเป็นเพียงตุ๊กตาผ้าตัวหนึ่ง

อวี้ฮวาต้องอยู่อย่างหวาดกลัวมาถึงยี่สิบวัน ที่สุดข่าวที่นางรอคอยก็มาถึง

เรื่องโรคระบาด ทำให้ฮ่องเต้ต้องเรียกขุนนางทุกฝ่ายเข้าประชุมด่วน อีกสองวันหลังจากนั้น ทางการได้จัดขบวนหมอหลวงและหมอมีชื่อในเมืองหลวงมากมายส่งไปทางใต้ ร่วมถึงของบรรเทาทุกข์ โดยมีกงปู้แซ่โจวเป็นผู้ไปจัดการ ด้วยความที่โจวเฉียวฉ่ายผู้นี้สนิทสนมกับอดีตเซียวหยางป๋อคนก่อน จึงมีใจคิดสนับสนุนหยางอวี้เซิ่งผู้เป็นบุตรชายของสหาย เสนอให้เขาติดตามไปดูสถานการณ์

อวี้ฮวาย่อมรู้ล่วงหน้าก่อนแล้ว ในตอนที่ท่านป๋อไปแจ้งเรื่องนี้กับมารดา นางจึงมารอที่เรือนฮูหยินผู้เฒ่า

ไม่ใช่เรื่องยากที่นางจะหาเหตุผลให้ท่านป๋อและฮูหยินผู้เฒ่ายอมให้นางติดตามขบวนไปด้วย ยามนี้ตระกูลหยางมีเพียงหยางอวี้เซิ่งที่เป็นบุรุษเพียงคนเดียว ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมไม่อยากให้เกิดเรื่องกับบุตรชาย อวี้ฮวาแค่นำเรื่องนี้ขึ้นมาอ้าง ในเมื่อนางเป็นหมอ การให้นางติดตามบิดาไปย่อมมีประโยชน์ เพียงเท่านี้ อวี้ฮวาก็ได้ออกจากเมืองหลวง

การพาบุตรสาวติดตามไปมิใช่เรื่องเหมาะสม เรื่องนี้จึงถูกเก็บเป็นความลับ คืนสุดท้ายที่เว่ยกงเยว่มานอนกับนาง เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำ ว่าจากนี้อีกสองปี เขาจะไม่ได้พบนางอีก

อวี้ฮวามีความคิดอย่างหนึ่ง นางคิดว่าเป็นเพราะตนปรากฏตัวเร็วเกินไป ถึงได้พบกับคนชั่วช้าอย่างเว่ยกงเยว่ ทั้งที่ชาติก่อนๆ นั้น แม้แต่หน้าตาเขานางยังไม่เคยเห็นด้วยซ้ำ เรื่องเช่นนี้ไม่สมควรจะเกิดขึ้น เมื่อออกจากจวนมาได้ นางจึงไม่คิดกลับไป จนกว่าอายุจะครบวัยปักปิ่น

เพื่อไม้ให้ตนเองต้องมีชีวิตอนาถเหมือนกับสองชาติที่ผ่านมา อวี้ฮวาตัดสินใจใช้ความทรงจำจากอดีตชาติ สร้างชื่อให้ตนเอง ไม่ว่าจะเป็นสูตรยารักษาโรคระบาดของหมอหลวงเกาหย่วน การเปิดเส้นทางระบายน้ำสร้างเขื่อนของหลัวฉี การเก็บภาษีใหม่บนเส้นทางสายไหม รวมถึงเรื่องที่เป็นคุณประโยชน์ต่อบ้านเมืองที่ผู้อื่นกระทำ

นางล้วนนำความรู้ของพวกเขาจากความทรงจำชาติที่แล้วมาใช้ทั้งสิ้น หรือแม้กระทั่งวิพากษ์วิจารณ์ฮ่องเต้ต่อหน้าพระพักตร์ในยามที่พระองค์ทรงปลอมตัวออกมาเยี่ยมเยือนราษฎร ด้วยเหตุนี้ ในวันที่นางกลับมา จึงได้รับแต่งตั้งเป็นท่านหญิง กลายเป็นคุณหนูตราตั้งขั้นหนึ่ง ตำแหน่งเทียบเท่ากับบรรดาศักดิ์ฮูหยินกั๋วกง

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel