บท
ตั้งค่า

คนถ่อย

คืนนี้เป็นคืนพระจันทร์เต็มดวง จึงไม่ได้มืดมากนัก บรรยากาศในวัดยามซื่อเงียบสงัด อวี้ฮวาเดินออกมานั่งใต้ต้นหลิว ทว่ายังไม่ทันที่ก้นจะแตะโดนม้านั่ง ก็มีอันต้องลุกขึ้นอย่างกะทันหัน

บุรุษชุดดำพึ่งโรยตัวลงมาจากต้นไม้ ทำให้นางตกใจสุดขีด เว่ยกงเยว่ไม่รอให้นางได้เปล่งเสียงร้อง ก็จี้สกัดจุดนางไว้ เขาเลื่อนสายตาขึ้นลงสำรวจร่างกายนางอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงใจ จากนั้นยกมือลูบไล้ไปตามใบหน้างาม

เว่ยกงเยว่เป็นคนเช่นนี้ หากชอบสิ่งใด มักจะคิดว่าเป็นของเล่นของตัวเองเสมอ เมื่อเขาชอบอวี้ฮวา นางก็คือของเล่นของเขา อยากจะจับตรงไหนก็จับ อยากจะลูบตรงไหนก็ลูบ

ความหยาบคายกักขฬะนี้ หากเว่ยกงเยว่เป็นที่สอง เกรงว่าจะไม่มีที่หนึ่ง แม้แต่อันธพาลท่าเรือยังเทียบมิได้

“งดงามยิ่ง เสียที ที่ร่างกายยังไม่โตเต็มที่ ข้าจับไม่เต็มไม้เต็มมือ” พูดแล้วคนก็ส่ายหน้าท่าทางไม่ได้ดั่งใจ หากแต่มือยังขยำอยู่บนหน้าอกของอวี้ฮวาไม่เลิกรา ข้างนั้นไม่ใช่ ข้างนี้ไม่ดี สุดท้ายเลยจับมันทั้งสองมือ “อืม เช่นนี้ค่อยดีหน่อย”

อวี้ฮวา ผู้ที่ใช้ชีวิตมาสองชาติ ถึงกับหนังหัวชาดิก ทั้งโกรธทั้งอับอาย แต่ที่ไม่มีเลยคือความหวาดกลัว นางมีโทสะจนหน้าอกกระเพื่อม

เว่ยกงเยว่เห็นว่านางหน้าแดงก่ำ รู้ว่านางคงโกรธแล้ว เขากลัวว่านางจะอกแตกตายก่อนที่ตนเองจะได้ชื่นชม จึงช่วยคลายจุดให้

สิ่งแรกที่อวี้ฮวาทำหลังจากเป็นอิสระ คือตวัดฝ่ามือใส่ใบหน้าหล่อเหลาเต็มแรง หากแต่ถูกเขาจับข้อมือเอาไว้

“คนสารเลว ปล่อยข้า!” นางตวาดเสียงดัง พยายามดึงข้อมือออกจากการเกาะกุม

“เสียงเจ้ายังเบาไป ข้าเกรงว่าผู้อื่นจะไม่ได้ยิน ให้ข้าช่วยตะโกนดีหรือไม่ พวกเขาจะได้ออกมาเป็นพยานรักของเราสองคน” เว่ยกงเยว่กล่าวเสียงยียวน ทั้งยังทำท่าจะตะโกนจริงๆ อวี้ฮวาจำต้องใช้มือข้างที่ว่างปิดปากเขาเอาไว้

มารดามันเถอะ นางจะปล่อยให้คนอื่นมาเห็นได้อย่างไร คนผู้นี้ช่างน่าตายนัก

มือของนางมีกลิ่นสมุนไพรอ่อนๆ เว่ยกงเยว่ไม่เคยพบสตรีใดมีกลิ่นเช่นนี้มาก่อน จึงแลบลิ้นออกมาลองชิมดู อวี้ฮวาสะดุ้งโหยงรีบชักมือกลับ เอาไปซ่อนไว้ข้างหลัง พลางถลึงตาใส่

“ต่อไปเจ้าจะเป็นฮูหยินของข้า คอยดูแลสตรีเรือนหลังพวกนั้นให้ข้า” เขาพูดเองเออเองเสร็จสรรพ ราวกับไม่เห็นใบหน้าโกรธขึ้งของนาง

อวี้ฮวาสุดปัญญาจะรับมือคนถ่อยเช่นนี้จริงๆ เลยได้แต่ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น ใบหน้าบึ้งตึงค่อยๆ แปรเปลี่ยนเย็นชา สายตาที่มองเขาเริ่มเหยียบเย็นลงทุกขณะ

เว่ยกงเยว่ไหนเลยจะเคยพบคนเยี่ยงนี้ อย่าว่าแต่สตรีเลย ต่อให้เป็นบุรุษยังไม่มีใครกล้ามองเขาเช่นนี้มาก่อน มือที่จับข้อมือของนางไว้ ค่อยๆ คลายออก ความคิดของเว่ยกงเยว่ตอนนี้ คือพึ่งจะเจอของเล่นแปลกใหม่ ควรถนอมสักเล็กน้อย

“หลบทางไป! ข้าจะกลับห้อง” อวี้ฮวาตวาดเสียงเย็น เขายักไหล่คราหนึ่ง แต่ยังยอมเบี่ยงกายหลบให้นาง

อวี้ฮวารีบเดินกลับห้องโดยไม่แม้แต่จะหันกลับมามอง หลังจากที่นางไปแล้ว เฉียวแปดออกมาจากหลังต้นไม้ วิ่งเหยาะๆ มาหาเจ้านาย ในความคิดของเฉียวแปดนั้น คือท่านบรรพบุรุษผู้นี้ของตนเปลี่ยนไป

เมื่อสองเดือนที่แล้ว เกิดเหตุการณ์คล้ายๆ กันนี้เช่นกัน คุณหนูท่านนั้น คือคุณหนูรองตระกูลบัณฑิตซิ่วไฉคนหนึ่ง ทุกวันนี้นางยังอยู่ในเรือนหลังนั่นเลย ก่อนหน้านั้นก็มี ก่อนหน้านั้นไปอีกก็ยังมี ไฉนวันนี้ คุณชายถึงได้ปล่อยแม่นางน้อยผู้นั้นไปง่ายๆ เล่า เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ หรือว่าเพราะนางเป็นคุณหนูจวนเซียวหยางป๋อ

เว่ยกงเยว่ดึงสายตากลับมาจากแผ่นหลังของอวี้ฮวา ทันเห็นว่าเจ้าบ่าวตัวดีกำลังมองตนตาปริบๆ ก็รู้ทันทีว่าเจ้าเฉียวแปดผู้นี้กำลังคิดสิ่งใด จึงแค่นเสียงใส่ไปทีหนึ่ง จากนั้นกระโดดหายไปบนต้นไม้

เฉียวแปดได้แต่ยืนอ้าปากค้าง โง่งมไปพักหนึ่งเลยทีเดียว

หลังจากปิดประตู อวี้ฮวายกมือทาบอก พลูลมหายใจออกมาอย่างแรง อันที่จริงหัวใจนางเต้นแรงมาโดยตลอด จะบอกว่าไม่หวาดกลัวเลยคงเป็นไปไม่ได้ เพียงแต่นางเก็บอาการเก่ง เรื่องคืนนี้ ที่สำคัญเลยจะให้ใครรู้มิได้เด็ดขาด มิเช่นนั้นนางคงต้องแต่งให้คนสารเลวนั่นจริงๆ

จิ่นเซียวย่อมมิกล้านอนหลับ เมื่อเห็นเงาของเจ้านายยังยืนค้างอยู่ตรงประตู จึงเอ่ยเรียก “คุณหนู”

อวี้ฮวารีบตั้งสติ ปรับน้ำเสียงไม่ให้สั่น ตอบกลับไปเสียงเบา “ข้าจะนอนแล้ว เจ้าก็นอนเถิด” พูดแล้วนางก็เดินตรงไปที่เตียง

ในห้องมิได้มืดมากนัก เพราะยังมีแสงสว่างส่องผ่านผนังกระดาษเข้ามา จึงไม่ใช่เรื่องยากที่อวี้ฮวาจะเดินกลับไปโดยไม่เผลอไปเหยียบสาวใช้ทั้งสอง

หลังจากที่พึ่งผ่านเหตุการณ์อัปยศมา แน่นอนว่าอวี้ฮวาย่อมมิอาจข่มตาหลับ เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็ก หากคนชั่วผู้นั้นป่าวประกาศออกไป ชื่อเสียงของนางคงป่นปี้แน่ ดีไม่ดีชีวิตชาตินี้อาจอนาถกว่าสองชาติที่ผ่านมาเสียอีก ดูจากการกระทำของคนผู้นั้น คาดว่าคงไม่ยอมปล่อยนางโดยง่าย นางต้องหาทางรับมือ

อวี้ฮวาคิดแล้ว พลิกกายในผ้าห่มคราหนึ่ง ครั้นเห็นว่าอวี้ซื่อยังนอนหลับอย่างสบายใจ หัวคิ้วพลันขมวดมุ่น แต่เพียงครู่เดียวก็คลายออก สายตาที่กำลังจับจ้องแผ่นหลังของอวี้ซื่อเริ่มเปลี่ยนเป็นเย็นเยียบ ตอนนี้นางรู้แล้ว ว่าควรทำเช่นไร

เช้าตรู่ หลังจากที่แต่งตัวเสร็จ อวี้ฮวาถูกฮูหยินผู้เฒ่าเรียกไปซักถามเรื่องของกั๋วฟูเหริน ส่วนคนอื่นๆ พากันมารออยู่ใต้ต้นหลิว

อวี้จิ้นได้โอกาสรีบดึงมืออวี้ซื่อออกห่างจากพี่น้องคนอื่น พอห่างมาได้พอประมาณ ก็เอ่ยถามทันที “เมื่อวานพี่ใหญ่ให้เจ้าไปช่วยทำอันใด เจ้าได้พบเสวียนหรงซื่อจื่อหรือไม่ ได้คุยกับเขาไหม? เขาถามถึงข้าบ้างหรือไม่”

อวี้ซื่อถูกคำถามมากมาย ทำให้มึนงง มิรู้ว่าจะตอบคำถามไหนก่อนดี แต่ที่แน่ๆ นางไม่อยากพูดถึงเรื่องเมื่อวาน จึงกล่าวเพียงว่า “ข้าไม่ได้พบซื่อจื่อ”

คำตอบนี้ อวี้จิ้นฟังแล้วย่อมไม่พอใจ “เจ้าอย่ามาโกหก พี่ใหญ่ไม่ส่งเสริมพี่น้อง เจ้าก็คิดจะไม่ส่งเสริมด้วยหรือ หากข้ามีโอกาสทำให้ซื่อจื่อพึงใจได้ มิใช่เป็นเรื่องดีหรอกหรือ?”

ได้ยินวาจาหลงตัวเองของอวี้จิ้นแล้ว อวี้ซื่อถึงกับระบายลมออกจากปาก ถึงนางจะไม่สนิทกับพี่น้อง แต่หาใช่จะไม่รู้เสียเลยว่านิสัยใจคอแต่ละคนเป็นเช่นไร ไม่รู้ว่าพี่สาวสามของนางผู้นี้ เอาสมองส่วนไหนมาคิด ว่าตัวเองจะสามารถทำให้ทายาทกั๋วกงพึงใจได้

“พี่สาม ข้าจะโกหกท่านไปเพื่ออันใด ต่อให้ข้าพบกับซื่อจื่อจริง เขาก็ไม่มีทางมาพูดคุยกับข้า ไฉนท่านถึงได้คิดว่าซื่อจื่อจะลดตัวมาพูดคุยทักทายลูกอนุอย่างข้าเล่า ขนาดคุณหนูสายตรงทั้งหลายเขาจะพูดจาด้วยยังยากเลย ท่านช่วยมีหัวคิดหน่อยเถิด”

อวี้ซื่อพูดจบก็เดินหนีทันที การพูดคุยกับคนอย่างอวี้จิ้นต้องใช้พลังมากเกินไป นางยังไม่มีกำลังถึงเพียงนั้น

อวี้เจียวกับอวี้หลุนคอยมองมาทางนี้อยู่ตลอด ครั้นเห็นว่าอวี้ซื่อเดินกลับมาด้วยสีหน้าเหนื่อยหน่าย สองคนพากันยกยิ้ม

“พี่สามว่าอย่างไรบ้าง” อวี้เจียวเอ่ยถาม

“ไม่มีอะไร” อวี้ซื่อตอบพลางก้มหน้าลง บอกกลายๆ ว่านางไม่อยากพูดคุยกับใครอีก อวี้จิ้นเดินย่ำเท้าหนักๆ ตามมา ใบหน้าไม่ต้อนรับแขกเช่นกัน

วันนี้นับว่าเหนือความคาดหมายของทุกคน เพราะฮูหยินผู้เฒ่ามิได้พาพวกนางไปนั่งสวดมนต์ภาวนาในหอกรรมฐาน ไม่รู้ว่าอวี้ฮวาเกลี้ยกล่อมอย่างไร ท่านผู้เฒ่าถึงได้พาอวี้หรัวติดตามนางไปเยี่ยมกั๋วฟูเหริน อวี้จิ้นอยากจะตามไปด้วยใจแทบขาด เพียงแต่นางไม่ได้รับโอกาสนั้น

เมื่อไม่ต้องไปสวดมนต์ภาวนา อวี้ซื่อจึงกลับเข้าห้องไปอ่านหนังสือ ส่วนคนอื่นๆ แยกย้ายไปทำอันใดนั้น นางคงสุดที่จะรู้

หลังกลับจากเยี่ยมกั๋วฟูเหริน ฮูหยินผู้เฒ่ามีคำสั่งให้กลับจวนในวันรุ่งขึ้น แม้ว่าหลายคนจะสงสัย แต่จะอย่างไรก็นับเป็นเรื่องดีสำหรับพวกนาง อวี้หรัวรู้ว่าองค์รัชทายาทเสด็จกลับไปแล้ว นางย่อมไม่อยากอยู่ต่อ ส่วนคนอื่นๆ คงมิต้องเอ่ยถึง พวกนางอยากกลับใจแทบขาดอยู่แล้ว

อวี้ซื่อยังคงไม่สนใจเรื่องราว นางเพียงแค่เก็บข้าวของ ทำตามสั่งอย่างว่าง่าย โดยไม่รู้เลยว่า ที่อวี้ฮวาทำทั้งหมดนั้น ล้วนเพื่อนางโดยเฉพาะ

การจะทำให้ฮูหยินผู้เฒ่ากลับจวนกะทันหัน มิใช่เรื่องยากเย็น อวี้ฮวาเพียงแนะนำให้กั๋วฟูเหรินกลับไปพักผ่อนที่จวน นางเป็นหมอคนเดียวที่รักษาอาการป่วยได้ คำแนะนำของนาง พวกเขาย่อมต้องฟัง เมื่อกั๋วฟูเหรินจะกลับ แน่นอนว่าอวี้ฮวาต้องตามไปดูแลคนไข้ขณะเดินทาง และเพื่อความเหมาะสม ฮูหยินผู้เฒ่าย่อมต้องตามกลับไปด้วย เท่านี้อวี้ฮวาก็สามารถหลีกหนีจากคนถ่อยผู้นั้นได้แล้ว ส่วนว่ากลับไปแล้ว นางจะทำอย่างไรกับอวี้ซื่อนั้น แน่นอนว่านางย่อมมีแผน

ในคืนก่อนที่จะกลับ อวี้ฮวาไม่กล้าที่จะหลับตานอน ในใจยังคงกังวลเรื่องคนผู้นั้นอยู่มากทีเดียว เกรงว่าแผนที่วางไว้จะไม่ทันการ

แล้วก็เหมือนว่ามันจะไม่ทันการจริงๆ

วันต่อมา ในระหว่างที่ขบวนของฮูหยินผู้เฒ่ากำลังเดินทางกลับ อีกด้านหนึ่ง จวนเซียวหยางป๋อมีแขกมาเยือน สตรีนางนี้คือแม่สื่อที่ขึ้นชื่อนางหนึ่ง ซึ่งได้รับการไหว้วานจากฮูหยินอันผิงโหวให้มาทาบทามคุณหนูใหญ่จวนเซียวหยางป๋อแต่งไปเป็นอนุของคุณชายสี่

ตอนที่ท่านป๋อได้ยินวาจาของแม่สื่อ เขาถึงกับทำถ้วยชาหลุดมือ

แม่สื่อระบายยิ้มอ่อน แสร้งทำเป็นไม่เห็นใบหน้าตกตะลึงของท่านป๋อ จะว่าไปนางเองยังกริ่งเกรงอยู่เหมือนกัน ที่ต้องบากหน้ามาสู่ขอบุตรสาวเซียวหยางป๋อไปเป็นอนุผู้อื่น แต่แล้วอย่างไรเล่า มิใช่ว่าเด็กสาวผู้นั้นเป็นแค่ลูกอนุเช่นกันหรอกหรือ ผู้อื่นเป็นถึงบุตรชายอันหย่งโหว ได้แต่งเป็นอนุของเขาไม่ดีตรงไหน

ในห้องนี้ เห็นจะมีเพียงฮูหยินเซียวหยางป๋อผู้เดียวที่รู้สึกยินดีปรีดา ชื่อเสียงคุณชายสี่จวนอันหย่งโหว มีใครบ้างไม่เคยได้ยิน หนุ่มน้อยวัยสิบเจ็ดผู้นั้น วันๆ สร้างแต่เรื่องเลวร้าย ไม่เป็นอันธพาลทุบตีผู้คน ก็ฉุดคร่าหญิงสาว ชื่อเสียงในทางดีไม่ต้องมองหา คาดว่าคัดกรวดในเมล็ดงายังจะง่ายกว่าเสียอีก หากว่าอวี้ฮวาได้แต่งให้กับคนเช่นนี้ มิใช่เป็นเรื่องน่ายินดีสำหรับนางหรอกหรือ

รอให้สาวใช้เก็บกวาดเศษกระเบื้อง ล่าถอยออกไปจากห้องแล้ว สู่ชิงหร่วนถึงได้หันไปกล่าวเตือนสติสามีเสียงเบา “ท่านพี่ แม่สื่อยังรอฟังความเห็นของท่านอยู่นะเจ้าคะ”

เซียวหยางป๋อมีสีหน้าไม่ดีนัก เมื่อครู่ที่เขาตกใจมิใช่เพราะเรื่องที่จวนโหวส่งแม่สื่อมาทาบทาม แต่ตกใจเพราะคนที่ถูกทาบทามคืออวี้ฮวา

หยางอวี้เซิ่งนับเป็นบุรุษอ่อนแอผู้หนึ่ง อาศัยที่บิดาเลือกถูกข้างในศึกสายเลือดราชวงศ์ จึงได้บรรดาศักดิ์ป๋อมาครอบครอง ทว่าพอมาถึงมือหยางอวี้เซิ่ง ตระกูลหยางกลับถึงคราวตกต่ำ จะถูกลบบรรดาศักดิ์เมื่อใด คงเพียงแค่รอเวลาเท่านั้น

หากว่ากันตามศักดิ์ อันหย่งโหวย่อมสูงกว่า ถ้าเพียงแต่คุณชายสี่จะมีชื่อเสียงดีงามกว่านี้สักหน่อย หยางอวี้เซิ่งคงรู้สึกยินดีปรีดา แต่นี่...

“ข้าลำบากใจยิ่ง เรื่องนี้ เกรงว่าจะรับปากตอนนี้มิได้ คงต้องรอปรึกษากันในครอบครัวก่อน รบกวนแม่สื่อบอกกล่าวเว่ยโหวเยวให้ข้าสักคำเถิด”

“ท่านป๋อเกรงใจไปแล้ว ข้าเพียงได้รับการไหว้วานมาจากฮูหยินอันผิงโหว ทางนั้นมิได้เร่งรัดอันใด คุณหนูใหญ่เองก็ยังเยาว์อยู่ พวกท่านค่อยๆ ปรึกษากันให้ดีก่อนก็ได้เจ้าค่ะ”

แม่สื่อย่อมมิได้คาดหวังว่าอีกฝ่ายจะตอบตกลงง่ายๆ หลังจากพูดคุยพอเป็นพิธีอีกสองสามคำ จึงขอตัวกลับ เมื่อออกจากจวนป๋อมาแล้วก็ตรงไปยังจวนอันหย่งโหวทันที

ฮูหยินอันผิงโหวตั้วหลี่ กับฮูหยินอันหย่งโหวตั้วจี ปีนี้อายุสี่สิบสาม เป็นพี่น้องฝาแฝดกัน บิดาคือฉินกงตั้วฟั่นสือ คนหนึ่งแต่งเข้าจวนอันผิงโหว คนหนึ่งแต่งเข้าจวนอันหย่งโหว ด้วยความที่ตั้วหลี่ไม่มีบุตรชายจึงค่อนข้างรักใคร่เอ็นดูบุตรชายของน้องสาวเป็นพิเศษ ตั้วจีนั้นมีบุตรชายถึงสี่คน และคนที่ถูกรักและตามใจมากที่สุดคือบุตรชายคนเล็กอย่างเว่ยกงเยว่ ไม่แปลกที่เว่ยกงเยว่จะมีนิสัยเลวร้ายเช่นนั้น

ดาวน์โหลดแอปทันทีเพื่อรับรางวัล
สแกนคิวอาร์โค้ดเพื่อดาวน์โหลดแอปHinovel