ดอกบัวอู่ตี้
เวลานี้ที่พำนักไม่มีผู้ใดอยู่ ทุกคนตามฮูหยินผู้เฒ่าไปนั่งสวดมนต์ภาวนาที่หอกรรมฐาน มีเพียงซูหยุนที่ถูกอวี้ฮวาสั่งให้กลับมารอเจ้านาย บรรยากาศจึงเงียบสงบ
“ข้าจะกลับแล้ว เจ้าจะกลับไปพร้อมกันเลยหรือไม่” เสวียนหรงหันไปถามอวี้ฮวา สีหน้ามึนตึงอยู่เล็กน้อย ตั้งแต่ที่อวี้ฮวาขอตัวออกมาดูน้องสาว เขาก็เริ่มไม่พอใจตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ยิ่งรู้ว่าอวี้ซื่อทำตัวเหลวไหล ให้อวี้ฮวามาคอยเป็นห่วง ยิ่งไม่พอตามากขึ้น เวลานี้แม้แต่เงาของนาง เขายังไม่อยากจะเห็นแล้วด้วยซ้ำ
“เจ้าค่ะ” อวี้ฮวาตอบรับ ได้เห็นเสวียนหรงแสดงความรังเกียจอวี้ซื่อออกมาเช่นนี้ นางรู้สึกดีจริงๆ เมื่อแผนการลุล่วง ย่อมไม่มีความจำเป็นต้องอยู่ต่อ
อวี้ซื่อหันไปยอบกายให้เสวียนหรงตามมารยาท เขาไม่รอให้นางยอบกายจนเสร็จ ก็หมุนตัวเดินหนีไป อวี้ฮวาลอบยิ้มมุมปาก ก่อนจะเดินจากไปพร้อมกับเขา
คนทั้งสองเดินห่างไปไกลแล้ว อวี้ซื่อยังยืนนิ่งค้างอยู่ตรงนั้น มองแผ่นหลังคนทั้งคู่ด้วยความรู้สึกหลากหลาย เจ็บปวด เสียใจ วูบโหวง น้อยเนื้อต่ำใจ ล้วนมีหมด กระทั่งน้ำตา ยังไหลออกมาแล้วเช่นกัน
“คุณหนู!” ซูหยุนรีบเข้ามาประคองด้วยความตกใจ นางไม่เคยเห็นเจ้านายเป็นเช่นนี้มาก่อน อยู่ด้วยกันมาเจ็ดปียังไม่เคยเห็นคุณหนูร้องไห้เลยด้วยซ้ำ ตั้งแต่มาถึงวัด นางเห็นน้ำตาของคุณหนูสองครั้งแล้ว
“ข้าไม่เป็นอะไร” อวี้ซื่อคล้ายพึ่งจะรู้สึกตัว รีบปาดน้ำตา “พวกเรากลับเข้าห้องกันเถิด ข้าอยากอาบน้ำ”
“เจ้าค่ะ” ซูหยุนรับคำ สีหน้าเต็มไปด้วยความกังวล
อีกด้านหนึ่ง หน้าเรือนพักตะวันตก เว่ยกงเยว่พึ่งจะโรยตัวลงมาจากต้นไม้ บ่าวชายมัวแต่ชะเง้อมองทาง จึงไม่เห็นว่าเจ้านายมายืนอยู่เบื้องหลัง
“เจ้ามองอะไรอยู่?” เว่ยกงเยว่ถามพลางขมวดคิ้ว ชะเง้อคอมองดูบ้าง
“ก็คุณชายน่ะสิ ไม่รู้หายไปที่ใดแล้ว คงมิใช่ว่าไปเผาเรือนใครเข้าแล้วกระมัง คราวนี้ข้าต้องซวยแน่ๆ”
“อืม เจ้าซวยจริงๆ นั่นแหละ”
“ถุย! ไฉนเจ้ามาแช่งข้า!” บ่าวชายผู้นั้นหันกลับมา ตั้งท่าจะด่าคนที่มาแช่งตน ครั้นเห็นว่าเป็นผู้ใด พลันตกใจจนถอยกรูด หัวเข่าสองข้างกระแทกพื้นดังตุบ “คุณชาย บ่าวผิดไปแล้วขอรับ อภัยให้บ่าวด้วยขอรับ บ่าวไม่ทราบจริงๆ ว่าเป็นท่าน บ่าว..”
“พอได้แล้ว!” เว่ยกงเยว่ตวาดไปคำหนึ่ง บ่าวผู้นั้นถึงกับนั่งคอตก ท่าทางราวกับคนกำลังจะโดนประหารอย่างไรอย่างนั้น ยังดีว่าเว่ยกงเยว่อารมณ์ดี จึงมิได้ตัดคอเขาจริงๆ เพียงกระดิกนิ้วเรียก “เจ้ามานี่”
“ขะ..ขอรับ” เฉียวแปดไม่คิดไม่ฝันว่าตนจะได้รับการอภัยโทษ รีบคลานเข้ามาหาอย่างกระตือรือร้น หากว่าเจ้าตัวมีหาง คงได้เห็นมันสะบัดไปมาเป็นแน่
“ข้ามีงานให้เจ้าไปทำ”
เมื่อคิดไปถึงใบหน้างดงามปานล่มเมืองของใครบางคน แววตาของคุณชายสี่จวนอันหย่งโหวพลันทอประกายลึกซึ้ง หากเป็นคนไม่รู้จักได้เห็น คงคิดไปว่าเขามีความรักเสียแล้ว แต่หากเป็นคนที่รู้จักดี ความคิดจะเหมือนเฉียวแปดในตอนนี้
ไม่รู้ว่าเป็นบุตรสาวบ้านใดถึงคราวเคราะห์อีกแล้ว ปีนี้คนที่ห้าได้แล้วกระมัง เห็นเจ้านายมีสายตาเช่นนี้ทีไร เฉียวแปดรู้สึกขนลุกทุกที
“เจ้ากำลังคิดอันใดอยู่” เว่ยกงเยว่หรี่ตามอง คล้ายจะรู้ว่าถูกนินทา
เฉียวแปดรีบส่ายหน้าเป็นพัลวัน “ไม่ได้คิดอันใดเลยขอรับ”
เว่ยกงเยว่คร้านจะถือสาหาความกับเขา จึงกล่าวสั่งงานเสียงเบา เฉียวแปดเติบโตมากับเจ้านาย ย่อมรู้ใจเป็นธรรมดา ไม่จำเป็นต้องเอ่ยวาจามากความ เขาก็รู้ว่าต้องทำอย่างไร
จะว่าไป ที่เฉียวแปดยังอยู่กับเว่ยกงเยว่ได้จนถึงทุกวันนี้ ก็เพราะความรู้ใจนี่เอง เดิมที บ่าวที่ถูกส่งมารับใช้คุณชายสี่มีถึงเฉียวสิบเอ็ด แต่ตอนนี้เหลือเพียงสองเฉียวแล้ว
เว่ยกงเยว่เป็นคนขี้เกียจตั้งชื่อบ่าว จึงเรียกพวกเขาไปส่งๆ ตามชื่อเรือน เอาที่จำง่ายที่สุด ฉะนั้นไม่ว่าบ่าวคนใดจะถูกส่งมา ก็จะเป็นเฉียวตามลำดับทั้งสิ้น
เฉียวแปดได้รับคำสั่งให้ไปสืบเรื่องคุณหนูจวนเซียวหยางป๋อ เร่งออกจากที่พำนักไปอย่างรวดเร็ว
ตกเย็น ฮูหยินผู้เฒ่าพาหลานสาวกลับมายังที่พัก แต่ละคนล้วนมีใบหน้ายิ้มแย้มสดใส คล้ายคนอิ่มบุญเหลือประมาณ
ทว่าหลังจากที่แยกย้ายกันเข้าห้องแล้ว สภาพแต่ละคน ช่างเกินบรรยายจริงๆ อวี้จิ้นแทบจะคลานขึ้นเตียง บ่นด่าเทพยดาฟ้าดินไม่หยุดปาก ปวดเมื่อยมากเท่าใด นางก็ด่ามากเท่านั้น
อวี้เจียวกับอวี้หลุนนับว่าดีกว่าเล็กน้อย พวกนางยังรู้จักเตรียมน้ำมันมาให้สาวใช้นวดให้ ส่วนทางด้านอวี้หรัวดูจะสงบกว่าผู้อื่น
“คุณหนู ให้บ่าวนวดให้ดีหรือไม่เจ้าคะ” เสี่ยวเตี๋ยถามเจ้านายอย่างนึกเป็นห่วง ดีว่าการไปนั่งสวดมนต์ภาวนา สาวใช้มิได้รับอนุญาตให้ติดตามเข้าไป พวกนางจึงยังมีเรี่ยวแรงดูแลเจ้านาย หาไม่แล้ว.. เสี่ยวเตี๋ยไม่อยากจะคิดถึงสภาพตนเอง
“เรื่องที่ข้าให้เจ้าไปสืบ ได้ความอย่างไรบ้าง” อวี้หรัวเดินมาหยุดยืนข้างเตียง เสี่ยวเตี๋ยรีบตามมาช่วยปลดอาภรณ์ พลางกล่าวเสียงเบา “ไท่จื่อประทับอยู่ลำพังเจ้าค่ะ เห็นว่ามาชมดอกบัวอู่ตี้”
“บัวอู่ตี้?” อวี้หรัวประหลาดใจยิ่ง หว่างคิ้วถึงกับย่นเข้าหากัน
“ใช่แล้ว เจ้าค่ะ”
“ที่วัดมีบัวอู่ตี้ตั้งแต่เมื่อใด ไฉนข้าจึงไม่รู้” ดอกบัวอู่ตี้นับเป็นบัวที่หากยากที่สุด ส่วนใหญ่จะพบเห็นในทะเลสาบ ที่วัดไม่ได้มีทะเลสาบ เหตุใดถึงมีบัวชนิดนี้ได้ อวี้หรัวยิ่งคิดก็ยิ่งสงสัย “เจ้าไปสืบดูใหม่ ข้าสังหรณ์ว่าไท่จื่อจะมิได้เสด็จมาชมดอกบัว”
“เจ้าค่ะ” เสี่ยวเตี๋ยรับคำ
อวี้ซื่อเป็นเพียงคนเดียวในเรือนทางใต้ ที่ยังนั่งอ่านตำราได้อย่างสบายใจ บรรยากาศในวัดค่อนข้างร่มรื่น อากาศในห้องจึงพลอยสดชื่นตามไปด้วย บางครั้งบางคราจะมีลมพัดโชยผ่านหน้าต่างเข้ามาเบาๆ
อวี้ฮวากลับมาได้ครู่หนึ่งแล้ว ไม่ได้มีความคิดที่จะเสแสร้งปั้นหน้าพูดคุยกับอวี้ซื่อ เพียงหยิบตำราแพทย์ที่ท่านตาให้ไว้ขึ้นมานั่งอ่านเงียบๆ
อวี้ซื่อนั่งอยู่บนตั่ง อวี้ฮวานั่งอยู่ที่โต๊ะ ต่างคนต่างจดจ่ออยู่กับตำราในมือ ได้ยินเพียงเสียงพลิกหน้ากระดาษดังขึ้นเป็นครั้งคราว
ต้องยอมรับว่าอวี้ฮวาคาดไม่ถึงกับท่าทางไม่สนโลกล้าของอวี้ซื่อในเวลานี้อยู่บ้าง ความรังเกียจของเสวียนหรงจะไม่มีผลกับนางบ้างเลยเชียวหรือ นางไม่เชื่อเด็ดขาด บางทีเด็กนี่อาจจะเก็บความรู้สึกเก่ง อวี้ฮวาคิดเช่นนี้
ส่วนอวี้ซื่อนั้น กลับไม่ได้คิดอันใดเลย ความเจ็บช้ำที่มีต่อเสวียนหรงจะเกิดขึ้นต่อเมื่อได้เห็นเขาเท่านั้น หากเป็นในยามปกติ แทบจะลืมเขาไปเลยด้วยซ้ำ
ณ. เรือนตะวันออก
“หวังเชี่ยนเซ่อ?” เสวียนหรงเลิกคิ้วอย่างนึกฉงน “ถ้าอย่างนั้น ดอกบัวอู่ตี้ที่ว่า?”
“เป็นนาง” หลี่จื้อตอบอย่างซังกะตาย
ลางสังหรณ์ของอวี้หรัวช่างแม่นยำยิ่งนัก ที่แท้องค์รัชทายาทมิได้เสด็จมาชมดอกบัวจริงๆ แต่เป็นหญิงงามคนหนึ่ง
‘เชี่ยนเซ่อ’ คืออีกชื่อหนึ่งของดอกบัวอู่ตี้
ข่าวองค์รัชทายาทเสด็จมาชมดอกบัวอู่ตี้ ไม่รู้ว่าหลุดออกมาจากปากผู้ใด ถึงได้ดังไปทั่ววัดเช่นนี้ แต่สาเหตุย่อมเกิดจากเจตนาในการเสด็จ เสวียนหรงเองได้ยินมาเช่นกัน ในฐานะพระสหายคนสนิท เขาย่อมต้องมาถามไถ่
ปีนี้องค์รัชทายาทอายุได้สิบเจ็ด เดิมทีควรจะมีคู่หมั้นคู่หมาย แต่เป็นเพราะยังคัดเลือกเด็กสาวที่เหมาะสมมิได้ จึงรั้งรอมาจนถึงป่านนี้ เมื่อฮองเฮามีรับสั่งถึงธิดาของฝูกั๋วกง หลี่จื้อจึงมาดูนาง
“ไท่จื่อทรงพบนางแล้ว?” เสวียนหรงถามต่อ
“อืม” หลี่จื้อพยักหน้า “เสด็จแม่รับสั่งถึงนางเมื่อหกวันก่อน”
ก่อนหน้านี้ หลี่จื้อคิดว่าตนเองเป็นองค์รัชทายาท เรื่องคู่ครอง ย่อมต้องให้พระมารดาเป็นผู้จัดการ ทว่าหลังจากที่พบอวี้ฮวา เขาเริ่มไม่แน่ใจแล้ว วันนี้ ตอนที่ดูนางฝังเข็ม เขาแทบจะละสายตาจากนางมิได้ มิใช่เพราะนางงดงาม แต่เป็นบุคลิกท่าทางสุขุมเยือกเย็นของนางที่ดึงดูดเขา เมื่อนำนางไปเปรียบกับเซียนเช่อแล้ว ช่างแตกต่างกันลิบลับ
เสวียนหรงย่อมไม่รู้ความคิดขององค์รัชทายาท เมื่อคิดไปถึงหวังเชี่ยนเซ่อ กลับคิดว่าเหมาะสมที่จะเป็นพระชายาอยู่บ้าง
คุณหนูหวังผู้นี้ อายุรุ่นราวคราวเดียวกับอวี้ฮวา ถึงไม่ได้งามเท่าอวี้ฮวา แต่ก็นับได้ว่าเป็นหญิงงามคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาหมดจด กิริยามารยาทเรียบร้อย อยู่ในกรอบจารีต อีกทั้งยังเป็นตระกูลเครือญาติสายเดียวกับฮองเฮา
“ไท่จื่อทรงคิดอย่างไรพ่ะย่ะค่ะ” เสวียนหรงถามขึ้นอีกครั้ง โดยมิทันสังเกตสีหน้าเหม่อลอยของหลี่จื้อ
“คงต้องแล้วแต่เสด็จแม่ ไม่รู้ว่าปีนี้ เสด็จแม่จะเชิญธิดาตระกูลใดมาคัดเลือกบ้าง” หลี่จื้อหวังเหลือเกิน ว่าในรายชื่อนั้นจะมีอวี้ฮวาอยู่ด้วย เพียงแต่มันก็เป็นได้แค่ความหวัง อวี้ฮวาเป็นแค่ลูกอนุ ไม่มีสิทธิ์เข้ารับการคัดเลือก
การจะเป็นพระชายาขององค์รัชทายาทได้นั้น ต้องงามพร้อมทั้งหน้าตา กิริยามารยาท นิสัยใจคอ และที่สำคัญที่สุดคือชาติตระกูล หวังเชี่ยนเซ่อนับว่ามีพร้อมทุกอย่าง ไม่แปลกที่ฮองเฮาจะเทพระทัยมาที่นาง
เสวียนหรงพูดคุยกับองค์รัชทายาทอีกพักหนึ่ง ถึงได้ขอตัวกลับ ระหว่างทาง พลางคิดไปถึงเรื่องของตนเอง ตัวเขานั้นถึงวัยต้องหมั้นหมายแล้วเช่นกัน ท่านพ่อกับท่านแม่เคยเปรยถึงเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้ง ไม่รู้ว่าท่านแม่มองคุณหนูตระกูลใดไว้แล้วบ้าง จะเป็นไปได้หรือไม่ ที่จะมีนางอยู่ในใจของท่านแม่
‘นาง’ ที่เสวียนหรงคิดถึง ย่อมเป็นอวี้ฮวา ชัดเจนแล้วว่า บุรุษทั้งสอง กำลังพึงใจสตรีคนเดียวกัน
การคัดเลือกคู่หมั้นขององค์รัชทายาทจะมีขึ้นในเดือนหน้า เรื่องนี้อวี้ฮวาย่อมรู้อยู่ก่อนแล้ว เพราะชาติก่อนที่นางกลับจวนตอนอายุสิบห้า เวลานั้น องค์รัชทายาทหมั้นหมายกับหวังเชี่ยนเซ่อแล้ว และกำลังรอจะอภิเษกหลังจากที่เชี่ยนเซ่อปักปิ่น ไม่ว่าชาติไหนอวี้หรัวจะไม่ได้รับเลือก
อวี้ฮวานอนเอามือก่ายหน้าผาก การได้พบองค์รัชทายาทค่อนข้างมีผลกระทบต่อจิตใจ เพียงแต่ความตั้งใจในชาตินี้ของนางคือการอยู่เหนือบุรุษในใต้หล้า จึงไม่อยากคิดถึงเขาอีก แต่หากว่าสามารถกุมหัวใจองค์รัชทายาทไว้ได้ นั่นมิใช่เรื่องดีหรอกหรือ นางยิ่งคิดยิ่งรู้สึกตื่นเต้น จนพาลนอนไม่หลับ จึงตัดสินใจลุกจากเตียง
อวี้ซื่อยังคงนอนหลับเหมือนหมูตายตัวหนึ่ง
จิ่นเซียวกับซูหยุนที่นอนอยู่ข้างเตียงลุกขึ้นนั่งแทบจะพร้อมกัน เพราะไม่รู้ว่าเป็นเจ้านายของใคร
“พวกเจ้านอนต่อเถิด ข้าแค่จะออกไปรับลมสักครู่” หลังจากอวี้ฮวากล่าวขึ้น ซูหยุนถึงได้ล้มตัวนอนดังเดิม จิ่นเซียวมีท่าทางลังเล
“ไม่มีอะไร เจ้านอนต่อเถิด” กระทั่งอวี้ฮวาเอ่ยย้ำอีกครั้ง จิ่นเซียวถึงได้ยอมนอนลง
