บทที่ 4 ลงโทษ
บทที่ 4 ลงโทษ
เมื่อหลี่รั่วหานจากไปแล้ว ฮูหยินหลิวอิ๋งจึงหันมาเอ่ยกับองค์หญิงหงลี่ทันที
"องค์หญิงอย่าได้ทรงเป็นกังวล เดิมทีนี่ก็เป็นความผิดของไป๋ไป๋เช่นกัน อย่างไรข้าคงมิอาจฝืนใจซื่อจื่อให้เขาต้องลำบากมาแต่งงานกับไป๋ไป๋เป็นแน่ หากนางมิสามารถแต่งออกจากจวนได้อีก ตระกูลจ้าวย่อมต้องส่งนางออกบวชเพื่อลบล้างความผิดในครานี้"
จ้าวไป๋ลู่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ตื่นตระหนกเป็นอย่างยิ่ง นางมุ่ยหน้าลงราวกับเด็กน้อย ในใจครุ่นคิดไปต่าง ๆ นานา
ไปอยู่อารามหรือ ออกบวชหรือ!!! ข้าไม่อยากถือศีลกินเจนะ ข้าชอบกินเนื้อที่สุดเลย ฮือออ!!!
แต่จะว่าไปอาหารเจก็รสชาติดีมิใช่หรือ?
แถมไม่ต้องเสียเงินสักอีแปะด้วย!
องค์หญิงหงลี่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็รีบเอ่ยห้ามปรามสหายสนิทของตนทันที
"ไม่ได้เด็ดขาด!!! นางอายุเพียงเท่านี้จะให้ออกบวชได้อย่างไร ข้าน่ะเอ็นดูนางยิ่งนัก นางน่ารักและไร้เดียงสาถึงเพียงนี้ข้าคงทำใจให้เจ้าพานางออกบวชมิได้ อิ๋งเอ๋อร์ หากเจ้าจะส่งนางออกบวช มิสู้ให้นางแต่งเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ข้ามิดีกว่าหรือ"
ฮูหยินหลิวอิ๋งที่ได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง เมื่อได้เห็นสายตาที่องค์หญิงหงลี่มองจ้าวไป๋ลู่ด้วยความเอ็นดู นางก็เริ่มใจอ่อนลง
"อย่างไรข้าคงต้องขอกลับไปปรึกษาหารือกับสามีของข้าเสียก่อน"
"ได้ เช่นนั้นอีกสามวันข้าจะส่งแม่สื่อไปที่จวนตระกูลจ้าว"
"เหตุใดจึงรวดเร็วเช่นนี้เล่า"
"นี่ยังถือว่าช้าไปเสียด้วยซ้ำ"
เมื่อหมดหนทางจะทัดทานวาจาขององค์หญิงหงลี่ ฮูหยินหลิวอิ๋งจึงทำได้เพียงถอนหายใจออกมาอย่างปลงมิตก ในใจนึกเป็นห่วงบุตรสาวยิ่งนัก การได้พบหน้าว่าที่สามีและยังเกิดเรื่องราวเช่นนี้ ย่อมไม่ส่งผลดีต่อจ้าวไป๋ลู่เป็นแน่
ด้านหลี่รั่วหานนั้น เมื่อออกมาจากเรือนใหญ่ เขาก็มุ่งหน้าไปหาหนิงเสวี่ยที่กำลังจะเดินทางกลับจวนตระกูลหนิงทันที เขารีบยื่นมือไปคว้าแขนของนางเอาไว้
หนิงเสวี่ยเสแสร้งทำทีเป็นปัดมือเขาออก ทั้งที่ในใจของนางนึกด่าทอเขาเป็นพันครั้ง
นางรอเขา รอแล้วรอเล่า แต่เขาก็ไม่ยอมออกมาพบนาง!!!
ท่าทีหวงเนื้อหวงตัว ใบหน้าสวยหวานที่มีหยดน้ำตาเอ่อคลอ ชวนให้น่าทะนุถนอม ทำให้หลี่รั่วหานใจอ่อนยวบ
"เสวี่ยเอ๋อร์ข้าทำผิดต่อเจ้ายิ่งนัก"
"ท่านไม่ผิดเจ้าค่ะ เป็นข้าเองที่ไม่ดีพอ"
"ไม่จริง!!! เจ้าดีทุกอย่าง เจ้าดีทุกอย่างในสายตาของข้า"
หนิงเสวี่ยยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาอย่างน่าสงสาร ก่อนจะเอ่ยกับหลี่รั่วหานด้วยน้ำเสียงตัดพ้อ
"พี่รั่ว ท่านจะต้องแต่งกับนางจริง ๆ หรือเจ้าคะ"
"ไม่มีทาง ข้าจะแต่งกับเจ้าเพียงเท่านั้น แต่งเพียงแค่เจ้า"
"พี่รั่ว ขอเพียงได้อยู่ข้างกายท่าน ต่อให้ลำบากข้าก็ยอมเจ้าค่ะ"
"เสวี่ยเอ๋อร์ของข้าดีที่สุด"
หลี่รั่วหานยื่นมือไปลูบไล้แก้มสวยของนาง ก่อนจะประคองนางขึ้นรถม้า เขามองส่งนางจนรถม้าจวนตระกูลหนิงลับสายตา เมื่อเขาหันกายกลับมาก็พบกับจ้าวไป๋ลู่ที่เดินออกมาจากจวนพอดี ท่านแม่ให้นางออกมารอที่รถม้าก่อน เพราะมีเรื่องอยากเอ่ยกับองค์หญิงหงลี่อีกสักสองสามประโยค
แววตาที่มองเด็กสาวตรงหน้าแฝงแววดูแคลนอย่างไม่ปิดบัง
"หน้าตาเจ้าก็ดูเรียบร้อยดี ไม่น่าเชื่อว่าจะเจ้าแผนการถึงเพียงนี้"
จ้าวไป๋ลู่ที่ได้ยินเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น ก่อนจะหันไปมองสุนัขตัวหนึ่งที่กำลังหยุดจ้องมองมาที่พวกนาง ก่อนจะสลับมองไปที่หลี่รั่วหานอีกครา
หลี่รั่วหานที่ได้เห็นเช่นนั้นโทสะในใจก็ปะทุทันที
"ถูกด่าแล้วยังหน้าด้านหน้าทนอีก!!!"
"ซื่อจื่อพูดกับข้าหรือเจ้าคะ?"
จ้าวไป๋ลู่เอียงคอมองหลี่รั่วหานด้วยใบหน้าที่ไร้เดียงสา
"ใช่สิ!!! พูดกับเจ้า จะให้ข้าพูดกับสุนัขหรือ!!!"
"อ้อออ ข้าก็คิดว่าท่านพูดกับสุนัขเสียอีก ข้าเห็นมันมองหน้าท่าน"
"นี่เจ้า!!!"
โฮ่ง ๆ ๆ!!!
"ฮ่า ๆ ๆ ๆ ดูสิเจ้าคะ มันตอบรับท่านด้วย ไหนเจ้าส่ายหางสิ โอ้ววว!!!"
"เด็กผี!!!"
เขาเอ่ยเพียงเท่านั้นก่อนจะสะบัดชายเสื้อเดินกลับเข้าไปในจวนอย่างหัวเสีย จ้าวไป๋ลู่เบ้ปากคราหนึ่งก่อนจะส่งเสียงหัวเราะออกมา
ท่านสิผี!!!
เมื่อเดินทางกลับมายังจวนตระกูลจ้าว ฮูหยินหลิวอิ๋งก็ลงโทษจ้าวไป๋ลู่ทันที
เพียะ เพียะ
เสียงไม้เรียวฟาดกระทบกับเรียวขางามของนางอย่างต่อเนื่อง ฮูหยินหลิวอิ๋งเป็นคนใช้ไม้ตีสั่งสอนบุตรสาวเองกับมือ
"อ๊า ท่านแม่!!!"
"หยุดร้องนะ!!! เจ้ารู้ตัวหรือไม่ว่าเจ้าทำให้ตระกูลจ้าวต้องอับอาย ทำให้ข้าเสียหน้า อีกทั้งยังทำให้ผู้อื่นดูแคลนตระกูลเราเช่นไร!!!"
"ฮือ ข้าไม่ได้ตั้งใจนี่ท่านแม่ อ๊า แสบ ๆ ๆ!!!"
จ้าวไป๋ลู่ส่งเสียงโอดครวญด้วยความเจ็บปวด จ้าวเยียนผู้เป็นบิดาและจ้าวเฉียนผู้เป็นพี่ชายที่เพิ่งกลับมาจากวังหลวง เมื่อได้ยินเสียงร้องโวยวายของจ้าวไป๋ลู่จึงรีบเร่งมาที่เรือนใหญ่ทันที
"ฮูหยินยั้งมือเถิด เกิดสิ่งใดขึ้น!!!"
"ปล่อยข้านะ ข้าจะสั่งสอนนางให้หลาบจำ!!!"
จ้าวเยียนรีบรั้งมือของภรรยาตนเอาไว้ ก่อนจะส่งสายตาให้จ้าวเฉียนพาจ้าวไป๋ลู่กลับเรือนนอนไปก่อน
"ฮูหยิน เจ้าสงบสติอารมณ์ก่อนเถิด ไป๋ไป๋ตัวเล็กบอบบางเพียงนั้น เจ้ามิสงสารนางบ้างเลยหรือ!!!"
"ก็เพราะสงสารอย่างไรเล่าเจ้าคะ ข้าจึงต้องสั่งสอนนาง!!!"
"เอาเถิด ไหนเจ้าลองเล่าให้ข้าฟังเถิดว่าเกิดสิ่งใดขึ้น มิใช่ว่าวันนี้พวกเจ้าสองแม่ลูกไปชมดอกเหมยที่จวนโหวมาหรอกหรือ"
ฮูหยินหลิวอิ๋งโยนไม้เรียวในมือลงพื้น ก่อนจะสั่งให้เหล่าสาวใช้ออกไปให้หมด แล้วจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ผู้เป็นสามีฟัง
จ้าวเยียนเมื่อได้ยินเช่นนั้นก็ถอนหายใจคราหนึ่ง
"ในเมื่อข้าวสารกลายเป็นข้าวสุกไปเสียแล้ว เราคงต้องตอบรับการแต่งงานนี้แล้วละฮูหยิน"
"แต่ท่านพี่ ไป๋ไป๋มิใช่คนฉลาด ข้าเกรงว่าความใสซื่อของนางจะทำให้ถูกรังแกเอาได้นะเจ้าคะ"
"ใครว่าไป๋ไป๋ของข้าโง่ แท้จริงนางฉลาดยิ่งนัก ฮูหยินหากนางแต่งเข้าจวนโหวย่อมดีกว่าแต่งกับตระกูลอื่น ยิ่งมีข่าวลือว่านางตกน้ำไปพร้อมซื่อจื่อเช่นนี้ ยังจะมีบุรุษตระกูลใดอยากจะแต่งนางเข้าไปเป็นภรรยากัน เจ้าวางใจเถิด ข้าเชื่อว่าเจ้าจะสามารถอบรมสั่งสอนไป๋ไป๋ให้เป็นภรรยาที่ดีได้"
ฮูหยินหลิวอิ๋งหมดวาจาจะเอื้อนเอ่ย นางทำได้เพียงสั่งให้สาวรับใช้ไปตามหมอมาตรวจดูบาดแผลของจ้าวไป๋ลู่
เมื่อเห็นว่าภรรยาเริ่มใจเย็นลงแล้ว จ้าวเยียนจึงยื่นมือไปสะกิดแขนนาง ฮูหยินหลิวอิ๋งที่เห็นเช่นนั้นก็ขมวดคิ้วมุ่น
"ท่านจะทำสิ่งใด?"
"ฮูหยิน นานแล้วนะ ที่พวกเราไม่ได้..."
"ข้าจะไปดูไป๋ไป๋!!!"
"หืม อย่าเลย นางมีท่านหมอดูแลอยู่แล้ว มิสู้เรามาทำลูกกันดีกว่า เผื่อจะได้บุตรสาวที่แสนน่ารักเพิ่มมาอีกสักคน เจ้าว่าดีหรือไม่? วะฮ่า ๆ ๆ ๆ"
"นี่ ท่าน!!!"
จ้าวเยียนจับภรรยากดลงบนเตียงก่อนจะส่งเสียงหัวเราะอย่างอารมณ์ดี นานแล้วที่เขาต้องใช้มือมาตลอด ยามนี้จะได้พุ่งเข้าสู่ถ้ำสวรรค์เสียที