๑ ไม่เจอกันนาน สบายดีไหม (๒)
เพียงแค่ชื่อบริษัทใจก็เผลอนึกถึงใบหน้าคมของคนรักเก่า เปิดประตูห้องด้วยน้ำตาคลอเบ้า ถอดรองเท้าใส่ไว้ในตู้ด้านหน้าอย่างล่องลอย แม้จะได้ไปถ่ายละครที่นั่นแต่คงไม่ได้เจอกันหรอก เขาหนีหน้ามาแปดปีคงเกลียดเธอเข้ากระดูกดำ
เค้นยิ้มสมเพชตนเอง ทิ้งชายแสนดีเช่นนั้นเพื่ออนาคตที่ดี...
ทรุดกายลงนั่งที่โซฟากว้าง ล้มตัวลงบนเบาะนิ่มแล้วยกโทรศัพท์ขึ้นมองภาพที่ไม่เคยทำใจลบออกจากโทรศัพท์ได้เลยสักครั้ง เธอเก็บซ่อนมันเอาไว้ในบันทึกของความทรงจำ
ชายหญิงที่สวมชุดนักศึกษากำลังยิ้มให้กล้อง มือหนาพาดผ่านไหล่เล็กก่อนจะชูสองนิ้ว น้อยครั้งที่เขาจะยิ้มแย้มจนเห็นฟันสวยเรียงตัวกัน ผู้ชายที่ถูกขนานนามว่าเป็นเสือยิ้มยาก กลับมอบรอยยิ้มสดใสให้หล่อนอย่างง่ายดาย
“ถ้าตอนนี้ดาวจะกลับไปขอคืนดี พี่เอื้อจะยอมไหม” ถามคนในรูปเสียงสั่น รู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้แต่เธอก็ยังหวังแม้อัตราความสำเร็จจะน้อยเพียงหนึ่งเปอร์เซ็นต์
น้ำตาเม็ดโตไหลลงเปื้อนแก้ม หล่อนยกหมอนขึ้นมากอดแล้วนอนขดตัวอยู่อย่างนั้น ภาพในอดีตที่ไม่น่าจดจำผุดขึ้นตอกย้ำถึงความโง่เขลา แต่ละวันคืนผ่านไปอย่างอ้างว้าง เธอคิดถึงรอยยิ้มอ่อนโยน คำพูดปลอบปะโลม คำหวานที่คอยแทะโลม มือหนายามลูบศีรษะ อ้อมกอดที่มอบให้ตนผู้เดียว จุมพิตแสนหวาน
และการทำรักที่เร้าร้อน...
ทุกอย่างที่เป็นเอื้ออังกูร เธอคิดถึงเหลือเกิน
ยูทีแอลที-มี คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) บริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ ที่รับใช้ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน ก่อตั้งมาแล้วร่วมหกสิบปีตั้งแต่ผู้บริหารคนเก่ายังดำรงตำแหน่ง เปลี่ยนผ่านมือมายังลูกชายและตอนนี้ก็ลาออกจากตำแหน่งประธานบริษัท เหลือเพียงการถือครองหุ้นสูงสุด
คนที่บริหารงานจึงมาจากการไต่เต้าด้วยความสามารถ ตอนนี้ประธานบริษัทคือคุณวิบูลย์ กิตติกรรณ อายุ 51 ปีที่ผ่านงานมาอย่างโชกโชน เก่งในงานบริหารและงานวิศวกรรม มองขาดทุกอย่างอีกทั้งยังมีเส้นสายกับกลุ่มคนหลากหลายอาชีพ
ท่านพาบริษัทรับงานใหญ่มาทั้งสิ้นกว่าร้อย หุ้นเติบโตขึ้นอย่างมาก ผลประกอบการเป็นที่พึงพอใจและดูท่าบริษัทจะไปได้อีกไกล
“ดูเหมือนจะได้อยู่ยาวเลยว่ะพี่” การถูกเรียกตัวมาครั้งนี้ เหมือนประธานบริษัทเพียงใช้ข้ออ้างการก่อสร้างอาคารใหญ่มาเป็นเหตุผล ทั้งที่ความจริงอยากให้พวกเขาทั้งสามมาช่วยงานอื่น นำเหล่าวิศวกรหัวกะทิกลับมาไว้ที่ส่วนกลาง หลังงานของแต่ละจังหวัดค่อนข้างคงที่
กลุ่มเฉพาะกิจเหมือนจะเป็นกลุ่มถาวร หนุ่มเมืองเหนือผิวขาวเจ้าสำอางทินภัทร กรเมฆาพึมพำกับคนที่นั่งใกล้อย่างวเรณย์ สมุทรนวล พวกเขาเข้าขากันเป็นอย่างดีเพราะอายุใกล้เคียงทั้งยังชอบสนุกสนาน
ถึงวเรณย์จะแต่งงานมีลูกแล้ว ก็มักไปสังสรรค์กับเพื่อนเสมอ สองคนนี้จึงเหมือนฝาแฝดตัวติดกันได้ฉายาหยินหยาง ขณะที่หนุ่มเหนือขาวปานหยวกกล้วย อีกคนก็ผิวเข้มเป็นตอตะโก ช่างเป็นคนที่แตกต่างอย่างลงตัวเสียจริง
“กูทำใจตั้งแต่ถูกเรียกมาแล้ว ยังไงก็ไม่ให้กลับหรอก” กระซิบกลับเสียงเบา นอกจากงานสร้างห้องสมุดขนาดใหญ่ พวกเขายังมีหน้าที่ดูแลงานก่อสร้างบ้านอีกด้วย
เรียกได้ว่าใช้ให้คุ้มทั้งงานเล็กงานใหญ่ สองหนุ่มมักบ่นกันสองคนเพราะอีกสามคนในกลุ่มคุยด้วยไม่ได้ คนแรกคือหัวหน้าวโรดม พินพิมาน อายุการทำงานมากกว่าประธานบริษัทซะอีก เคยนั่งบอร์ดบริหารแต่ไม่รู้ทำอีท่าไหนถึงถูกลดขั้นมาเป็นหัวหน้ากลุ่มเฉพาะกิจได้
เขาว่าอีกฝ่ายไปแหย่รังแตน ยื่นมือสอดเรื่องไม่ควรจนโดนเด้ง
“แต่ก็ดีนะ อยู่กรุงเทพฯ สาวสวยเยอะ ฝ่ายบัญชีน้องอ้อนน่ะพี่ เห็นแล้วใจละลาย” แค่คิดถึงใบหน้าหวานยามยิ้มให้ตนก็เคลิ้ม คนตัวติดกันรีบพยักหน้าเห็นด้วยทันที
เขาว่าสาวบัญชีนั้นหน้าตาดีนักหนา สาวการตลาดก็สวยไม่แพ้กัน แต่ที่ต้องหนีให้ไกลคือสาววิศวกรด้วยกันเอง เห็นหน้าตาดีแต่หมัดหนักจนไม่อยากลองของ
“เห็นเอื้อไหม” กำลังพูดคุยระหว่างทำงาน หัวหน้าก็ออกมาจากห้องพลางสอดส่ายสายตาเพื่อหาหนุ่มเงียบขรึมประจำทีม
พวกเขารีบช่วยกันหาทันที แต่กลับไม่พบคนที่ถูกกล่าวถึง ทุกสายตาจึงหันไปมองผู้ช่วยที่ติดสอยห้อยตามอีกฝ่ายตลอด ทำเอากฤติน วาดมงคลน้องเล็กของทีมสะดุ้งเพราะตนก็ไม่รู้ว่าลูกพี่หายไปไหน
เขาหันซ้ายมองขวา เพราะถูกจัดมาอยู่ในทีมที่มีแต่คนเก่ง ทำให้ตนเหมือนเบ๊กิตติมศักดิ์ ถูกเรียกให้ไปช่วยงานคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง จนเอื้ออังกูรต้องบอกว่าชายหนุ่มก็เป็นวิศวกรคนหนึ่งเหมือนกัน จะทำเหมือนคนรองมือรองเท้าไม่ได้
วินาทีนั้นกฤตินเหมือนเห็นพ่อพระมาโปรด มองเอื้ออังกูรเป็นยิ่งกว่าพ่อซะอีก ยกตำแหน่งลูกพี่ให้ทันที
“ผะ ผมไม่เห็นครับ” ตอบเสียงสั่น ยิ่งหัวหน้าจ้องนิ่งก็ทำเอาเหงื่อตก
“บอกเอื้อมาพบผมด้วย” สั่งจบก็เดินเข้าห้องทำงานของตัวเอง คนที่เหลือจึงรับคำแล้วค่อยแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตนเอง
เอื้ออังกูรกลับมายังห้องทำงานอีกครั้งหลังไปเคลียร์รายละเอียดเรื่องค่าใช้จ่ายและงบประมาณ ตอนนี้เขาถูกโยกย้ายให้มาดูแลการก่อสร้างอาคารคอนโดมิเนียม ที่ร่วมทุนกับต่างประเทศและมีค่าใช้จ่ายบานปลายมากกว่าที่ลูกค้ากำหนดงบ กว่าจะจัดการลงตัวก็กินเวลาพอสมควร
การทำงานที่กรุงเทพฯ ไม่ได้แย่เสมอไป เพราะตารางชีวิตของร่างสูงวุ่นวายจนกลับถึงคอนโดก็หลับเป็นตาย ตื่นเช้ามาทำงานไม่ก็ออกไซต์ก่อสร้าง สามเดือนกับการอยู่ที่นี่ไม่น่าหนักใจเท่าไหร่
อาจเพราะเริ่มชินกับการเดินทางที่รถติด ต้องเผื่อเวลาเสมอ นาฬิกาชีวิตปรับเปลี่ยนพอสมควร แต่เหมือนได้ยินกลับไปช่วงมัธยมศึกษา
เขาเป็นเด็กต่างจังหวัดที่สอบติดโรงเรียนที่เมืองหลวง ทุกอย่างแปลกตาไปหมด พ่อกับแม่ซื้อคอนโดให้อยู่คนเดียว พอขึ้นมหาวิทยาลัยก็ใกล้ที่พักจึงไม่ต้องย้ายไปไหน แถมท่านยังซื้อรถยนต์ให้ขับเพื่อความสะดวกสบายแก่ลูกชายคนโต
พอเรียนจบจึงตอบแทนด้วยผลการเรียนยอดเยี่ยม เป็นที่ภาคภูมิใจของครอบครัว
“พี่เอื้อครับ หัวหน้าเรียกไปพบ” เข้ามาในห้องก้นยังไม่ทันถึงเบาะ กฤตินก็เข้ามาบอกเสียงเบาพอให้ได้ยินกันสองคน
จำต้องวางเอกสารแล้วเดินเข้าไปในห้องเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคงมีเรื่องสำคัญคุยด้วย เคาะประตูสามครั้งแล้วเปิดเข้าไปข้างใน
ห้องของหัวหน้าไม่ได้ใหญ่มาก มีเพียงโต๊ะตรงกลางและตู้เก็บเอกสารและโซฟายาวเท่านั้น และตอนนี้มันก็ค่อนข้างรกพอสมควรเพราะมีหลายงานต้องจัดการ
“หัวหน้าเรียกผมเหรอครับ” ฝ่ายนั้นเงยหน้าจากเอกสาร ถอดแว่นสายตาออกแล้วพยักหน้า
“พรุ่งนี้ว่างไหม” น้ำเสียงราบเรียบไม่บ่งบอกอารมณ์ ทำให้เขาเดาไม่ถูกว่าอีกฝ่ายมีเรื่องอะไรถึงถามเช่นนั้น แต่เขาก็ตอบไปตามความจริง
“ไม่ว่างครับ ผมต้องออกไซต์งาน” ถ้าไม่ใช่วันอาทิตย์เขาก็ไม่เคยว่างเลย งานรัดตัวจนกระดิกไปไหนไม่ได้ ตอนแรกที่มายังบริษัทใหญ่ก็คิดว่าคงอยู่ประมาณหนึ่งปีก็ได้กลับบ้าน แต่ดูท่าอาจจะได้อยู่นานกว่านั้น
“อือ ให้สองไปแทนแล้วกัน คุณวิบูลย์เรียกนายเข้าพบตอนเช้า” สั่งการตามความเหมาะสม คิ้วหนาขมวดเข้าหากันไม่ชอบใจเท่าไหร่กับคำสั่งนั้น
“แต่สองไม่เหมาะ” เอ่ยถึงกฤตินตามความคิดเห็นของตน ฝ่ายนั้นอายุยี่สิบเจ็ดแต่ก็เพิ่งเข้าทำงานไม่กี่ปี ประสบการณ์ด้านอาคารไม่มาก กังวลว่าอาจมีจุดบกพร่องจึงยืนยันเสียงเข้ม ไม่เกรงกลัวสายตาคมกริบที่จ้องมา
ถึงหัวหน้าจะอายุมากกว่า แต่ถ้าสิ่งใดที่เขาเห็นว่ามันไม่ถูกต้อง ชายหนุ่มก็พร้อมชนเสมอ จึงไม่ค่อยมีใครอยากมีเรื่องด้วย
“แค่ไปตรวจดูไม่ใช่เหรอ นายก็บอกเด็กมันสิว่าต้องเช็คตรงไหนบ้าง” คนตำแหน่งต่ำกว่าผ่อนลมหายใจเสียงเบา ดูท่าว่าพุ่งชนไปตนก็บาดเจ็บเสียเปล่า เขาจึงสงสัยว่าเบื้องบนมีเรื่องอะไรเร่งด่วนจนต้องนัดพบ
“ท่านประธานมีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ” ท่านส่ายหน้าแล้วก้มทำงานส่วนของตน
“ไม่รู้เหมือนกัน พรุ่งนี้ไปก็รู้เองนั่นแหละ” วิศวกรหนุ่มพูดไม่ออก จึงทำเพียงค้อมศีรษะแล้วออกจากห้อง
ใบหน้าเข้มทมึงถึงจนคนที่เหลือไม่กล้าถามว่ามีเรื่องอะไร ต่างทำงานของตนแล้วเหลือบมองเอื้ออังกูรไปพลาง อยากรู้ใจแทบขาดว่าเกิดอะไรขึ้น
สองคู่หูถึงได้เกี่ยงกันให้เดินเข้าไปถาม ทั้งที่เอื้ออังกูรอายุน้อยกว่าพวกเขา แต่กลับน่ากลัวจนไม่กล้าเข้าใกล้ ถึงจะหล่อเหลาเหมือนพระเอก แต่เวลาทำหน้าดุและสายตาเรียวที่มองมาเหมือนสาดกระสุนนั่นอีก
คิดแล้วก็ขนหัวลุกแล้ว ไม่กล้าเข้าไปยุ่งหรอก
วันต่อมาร่างสูงเข้าบริษัทแต่เช้าเพื่อสะสางงานในส่วนของตน ไม่ลืมโทรถามกฤตินว่าถึงไซต์งานหรือยัง ถ้าเสร็จจากทางนี้เร็วอาจจะตามไปสมทบ วางสายเรียบร้อยก็ไปเข้าห้องน้ำ เช็คตัวเองในกระจกอีกครั้งเพื่อตรวจตราความเรียบร้อย
ผมยาวถูกจัดเป็นทรง เสื้อเชิ้ตสีเข้มกับกางเกงสแลคและร้องเท้าหนัง คิดว่าตนเองแต่งตัวเป็นทางการที่สุดแล้ว ปกติจะใส่ยีนส์และรองเท้าผ้าใบ
ค่อยก้าวออกจากห้องน้ำแล้วสวนทางกับสาวแผนกการตลาดที่มาเข้าห้องน้ำพอดี หลายคนแอบชอบชายหนุ่มและยกเขาเป็นบุคคลหน้าตาดีที่สุดของบริษัท สาวๆ อยากทำความรู้จักแต่เอื้ออังกูรไม่เปิดโอกาสเลย
งานกินเลี้ยงไม่เคยไป สาวส่งสายตาก็ยังนิ่งเงียบ ทอดสะพานเสริมคอนกรีตยังถูกเขาทำลายทิ้งในพริบตา แต่มันกลับเป็นเสน่ห์ที่ทำให้ใครหลายคนอยากลองพิชิตใจที่แข็งดั่งหินนั่นดูสักครั้ง
ร่างสูงขึ้นลิฟต์มายังชั้นผู้บริหาร ตรงไปยังห้องของประธานบริษัทก่อนเลขานุการจะผายมือเชิญ เขาจึงเปิดประตูเข้าไปข้างในโดยไม่คิดอะไรมาก เคยเจอคุณวิบูลย์ที่งานสัมมนาสมัยมหาวิทยาลัยเป็นครั้งแรก
อีกฝ่ายเห็นความสามารถของเขาจึงเชิญมาร่วมทำงานที่บริษัทตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ พอจบก็ตัดสินใจมาทำงานที่นี่ เขาไปได้สวยและมีชื่อเสียงในวงการก่อสร้างพอสมควร เป็นอีกหนึ่งคนที่ผู้ปลุกปั้นพึงพอใจ
“นี่ไงมาพอดี มานั่งสิเอื้อ” ขายาวก้าวเข้ามาที่โซฟารับแขกของห้องกว้างด้วยใบหน้าเรียบเฉย เขาเห็นว่าท่านประธานนั่งอยู่กับผู้หญิงสองคน แต่เห็นเพียงด้านหลังของหล่อนเท่านั้น
ร่างหนาเดินอ้อมมาอีกฝั่งโดยที่หัวโต๊ะมีคุณวิบูลย์จับจองไว้แล้ว จังหวะการก้าวปกติทุกอย่างกระทั่งเห็นหน้าของคู่สนทนา ม่านตาเบิกกว้างไม่คิดว่าจะพบคนที่ไม่เจอกันนานกว่าแปดปี
ภาพของเธอมีให้เห็นทุกวันตามโทรทัศน์ ห้างสรรพสินค้า หรือกระทั่งสินค้าอุปโภคบริโภคเพราะหล่อนเป็นถึงนักแสดงมีชื่อเสียง เขาเลี่ยงมาโดยตลอด นึกเกลียดทุกครั้งที่เห็นรูปใบหน้าหวานแย้มยิ้มที่อาบยาพิษ
คิดถึงวันที่ตนเองเจ็บเจียนตายก็ทำได้เพียงกำหมัดแน่น ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นเหมือนหิน
“นี่เอื้อ วิศวกรที่ผมภูมิใจในตัวเขามาก” รอยยิ้มของประธานบริษัทบ่งบอกให้รู้ว่าเอ็นดูชายหนุ่มมากแค่ไหน
ใบหน้าหวานผินไปมองก่อนจะฉีกยิ้มกว้าง ดวงตาคลอด้วยน้ำสีใสขณะมองใบหน้าคม ขนาดเตรียมใจมาก่อนแล้วยังอดใจสั่นไม่ได้ยามเจอหน้าเขา
ลำคอตีบตันพูดอะไรไม่ออก จนคนที่มาด้วยอย่างผกาพรรณต้องกระทุ้งเข้าที่สีข้างของดาราสาว หล่อนจึงได้สติและเอ่ยถามเสียงแผ่ว
“สวัสดีค่ะพี่เอื้อ ไม่เจอกันนาน สบายดีไหมคะ” โทนเสียงหวาน รูปประโยคที่แสดงให้เห็นถึงความสนิทสนม จนเจ้าตัวกัดกรามแน่นไม่อยากผรุสวาทใส่หล่อนในที่ทำงาน และต่อหน้าประธานบริษัทให้ต้องโดนด่าตอนหลัง
ช่างน่าไม่อายซะเหลือเกิน
หล่อนเป็นคนทิ้งเขา แต่กลับฉีกยิ้มกว้างแล้วถามว่าสบายดีไหม ทำหน้าซื่อตาใสเหมือนคนไร้เดียงสาจนน่าโมโห ไม่น่าเล่าทำไมพวกผู้ชายในวงการถึงชอบกันนัก เพราะตีสองหน้าเก่งแบบนี้เอง
ทำร้ายกันขนาดนั้นยังพูดคำนี้ลงอีกเหรอ การกระทำของพันดารายิ่งกว่าเอามีดนับสิบเล่มมาแทงเขาเสียอีก
เขามันโง่ที่เคยหลงเชื่อหล่อน คบกันห้าปีอยากรู้เหมือนกันว่าเคยพูดความจริงบ้างไหม
“อ้าว รู้จักกันเหรอ” คุณวิบูลย์เห็นหล่อนทักทายเช่นนั้นก็สงสัย พันดาราหันมาหาท่านแล้วพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม
“ค่ะ เราเรียนมหา’ลัยเดียวกัน แล้วก็เคยไปเข้าค่ายอาสาด้วยกัน พี่เอื้อคอยช่วยเหลือดาวตลอดเลย” วันวานถูกกล่าวถึง ภาพเหล่านั้นยังไม่จางหายจนเขาต้องตีสีหน้าเรียบกว่าเดิมจนกลายเป็นเคร่งขรึม อยากออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด
ไม่ต้องการใช้อากาศหายใจร่วมกับผู้หญิงคนนี้แม้แต่วินาทีเดียว