ชะตาชีวิตอันแสนเศร้า
หมู่บ้านที่เธออยู่มันแร้นแค้นเหลือเกิน แห้งแล้ง ไม่ค่อยมีช่องทางทำมาหากินนัก ปกติแล้วทุกปีจะมีเถ้าแก่ใหญ่มาจากคนละจังหวัด จะเอารถหกล้อสิบล้อมารับคนงานไปทำนาไปตัดอ้อยตามฤดูกาล บัวไม่เคยไปไหนเพราะเป็นห่วงยาย
แต่มาปีนี้ แม่ของบัวพาชายร่างใหญ่ท้วม อายุอานามน่าจะร่วมหกสิบได้มาที่บ้าน ท่าทางภูมิฐาน แต่สายตากรุ้มกริ่มที่จ้องมองบัวตลอดอย่างกระหายนั้นมันปิดไม่มิด ใบหน้างดงามสวยหวาน ผิวขาวนวลแม้จะทำงานตากแดดตากลมอยู่เสมอ รูปร่างอรชรอ้อนแอ้น เนื้อขาวกำลังแตกสะพรั่งในวัยสิบเก้าขวบปีนั้นยั่วใจชายแก่หัวงูเหลือเกิน
แม่บอกว่า คนคนนี้ชื่อกำนันเทิ้ม เป็นเจ้าของไร่อ้อยร่วมห้าพันไร่ที่เมืองเพชรบูรณ์ แถมยังมีกิจการอย่างอื่นอีกมากมาย อยากให้บัวไปทำงานกับท่านเป็นเวลาหกเดือน บัวไม่อยากไป ปฏิเสธอย่างไรแม่ก็ไม่ยอม แม่บอกแต่ว่ายังไงบัวก็ต้องไปทำ เพราะแม่รับเงินของกำนันเทิ้มมาแล้ว
และแล้วสาวน้อยผู้ใสซื่อก็ต้องกลับไปกับเฒ่าหัวงูวัยดึก หารู้ไม่ว่าการไปครั้งนี้เธอไม่ได้ไปในฐานะลูกจ้าง แต่ไปในฐานะลูกสาวที่ถูกแม่ขายเพื่อไปเป็นนางบำเรอชายแก่ในราคาสามหมื่นบาท
ดอกบัวที่กำลังผลิบานแรกแย้ม กลีบงามถูกเด็ดร่วงผล็อยชอกช้ำคามือชายแก่อย่างไม่ทะนุถนอม ความสวยสาวสะพรั่งถูกกระหน่ำย่ำยี พรหมจารีถูกกระชากขาดวิ่นอย่างไม่ใยดี
กระนั้น บัวก็ยังยึดคำสอนของยายที่พร่ำบอกอยู่เสมอ เมื่อมีผัว จงรักเดียวใจเดียว อย่าได้ทำตัวสำส่อนแบบที่แม่เป็น แม้บัวจะเสียตัวให้กับกำนันเทิ้มโดยไม่ได้เต็มใจแต่เธอก็ได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมีย กำนันเทิ้มเป็นผัว บัวจึงมอบความจงรักภักดีให้อย่างเต็มหัวใจ
กำนันนั้นเป็นคนกว้างขวาง มีหน้ามีตา มีฐานะ แต่เลิกกับเมียไปนาน เมียและลูกนั้นเห็นว่าย้ายไปอยู่ที่อื่นพร้อมแบ่งสมบัติคนละครึ่ง เพราะทนพฤติกรรมสำส่อนของกำนันไม่ได้
แม้จะอยู่เป็นหนุ่มใหญ่โสด กำนันก็ทำบ้านหลังใหญ่ที่มีห้องสำหรับแขกมากร่วมสิบห้อง ส่วนเรือนคนงานนั้นมีต่างหาก บัวพึ่งรู้ทีหลังว่าทำไมต้องมีหลายห้อง เพราะจะได้สะดวกต่อการเอาผู้หญิงมานอนค้างแล้วสนุกสุขสมในการมั่วกาม แรกเริ่มเดิมทีบัวก็ได้นอนห้องเดียวกับกำนันเทิ้มเนื่องจากยังติดใจในรสคาวสาวสด แต่เมื่อนานไป ก็โดนด่าขับไล่ไสส่งออกมาจากห้องให้ไปนอนห้องริมสุด
“ โอ๊ย อีบัว อีห่า อีจั๊ดง่าว มึงนี่แข็งพอ ๆ กับท่อนไม้ นอนเกร็งอย่างกับศพ เอาทีไรก็ร้องไห้ จะเอาท่าโน้นท่านี้ก็ทำหน้าซีดหน้าเขียว หมดอารมณ์ ”
กำนันแหกปากด่าอยู่บ่อยครั้งก่อนลุกขึ้นฟึดฟัดเดินจากไป หญิงสาวไม่มีปากเสียง ก็เธอเจ็บกับการกระทำของเขาทุกครั้ง กำนันเทิ้มไม่เคยเล้าโลมมีแต่รุนแรง หญิงไม่เคยมือชายอย่างเธอยิ่งไม่ประสา ยิ่งหวาดกลัว ยิ่งหวาดระแวงขึ้นทุกครั้งที่จะได้ร่วมรักกับเขา
สุดท้าย ผ่านไปเพียงหกเดือน ดอกไม้งามที่โดนกระหน่ำย่ำยีจนสาแก่ใจก็เหี่ยวเฉาชอกช้ำ ร่วมเดือนแล้วที่กำนันเทิ้มไม่ได้ชายตาแล แถมทำท่าที่รังเกียจมากมาย ถึงขนาดถูกเนื้อต้องตัวไม่ได้ ราวกับเธอเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจเดียดฉันท์นักหนาทั้งที่ตอนแรกทั้งรักทั้งหลง บัวจึงถูกลดหน้าที่ให้ไปทำอาหารเลี้ยงคนงาน
หญิงสาวเคยคิดจะหนีไป แต่จะหนีไปทางไหนได้เล่าหนอ คนเป็นแม่หรือก็อย่าไปหวังพึ่งพา แม่แท้ ๆ ที่ใจร้ายยิ่งกว่ายักษ์มาร แม่ไม่เคยรักเคยห่วงเธอเลย หวังฝากชีวิตไว้กับผัว ผัวก็มาเมินหน้าหนี
บัวได้แต่คิดน้อยเนื้อต่ำใจและร้องไห้สะอึกสะอื้นกับหมอนจนกระทั่งเผลอหลับไป
***
“ บัว เอ็งทำไมดูหน้าตาหมองคล้ำชอบกลวะ ไม่สบายหรือเปล่า ” พี่เดือน อันเป็นเพื่อนร่วมหมู่บ้านเอ่ยถามเมื่อถึงวันพระ ที่บัวจะต้องไปวัดอยู่ประจำ เธอจะอยู่จนกระทั่งพระฉันเสร็จแล้วคอยล้างถ้วยล้างชามปัดกวาดเช็ดถูศาลาให้เรียบร้อย ส่วนเดือนนั้นมาเอาเศษอาหารไปเลี้ยงหมู จึงกลายเป็นว่าสองคนจะช่วยกันล้างถ้วยล้างชามอยู่เสมอ และเดือนก็เอ็นดูบัวอยู่มากโข แม้ว่าจะเพิ่งรู้จักได้ไม่นาน เพราะเป็นคนสวยหน้าซื่อ จิตใจดี
“ ไม่ได้เป็นไรหรอกจ้ะพี่เดือน ” หญิงสาวตอบพลางฝืนยิ้ม
“ นังบัว ไม่ต้องมาโกหกพี่หรอก คนอย่างเอ็งมันโกหกยาก หน้าเอ็งน่ะมันฟ้องเสียขนาดนั้น ไม่สบายอกสบายใจอะไรก็เล่าให้พี่ฟังได้ ระบายมันออกมาบ้าง จะได้ไม่ต้องทุกข์อยู่คนเดียว อกแตกตายห่านะมึง ” เดือนพูดตรง ๆ แบบบ้าน ๆ แต่บัวก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายเป็นห่วง จริงอย่างที่เดือนพูด หากเธอได้ระบายออกมาบ้าง อะไร ๆ มันอาจจะดีขึ้นก็ได้ แม้ว่าจะแก้ไขปัญหาไม่ได้ก็ตามที