บทที่ ๒ ยินดีครับ
พยาบาลสาวเตรียมตัวจะกลับบ้าน แต่พอได้รับสายจากที่บ้านก็นั่งลงพิงผนังที่ชั้นล่างลานจอดรถก้มหน้าร้องไห้ ไม่รู้ต้องทำยังไงแล้วตอนนี้ เธอตันไปหมดแล้ว เงินเก็บที่มีก็ส่งให้พ่อกับแม่ไปหมดแล้ว แต่เมื่อกี้พ่อกับแม่บอกว่าเจ้าหนี้นอกระบบที่ท่านทั้งสองได้กู้มาส่งเสียเธอเรียนได้เข้ามาทวงหนี้ทั้งๆ ที่จ่ายเป็นประจำ
ฮือๆๆๆ
เสียงร้องไห้ทำให้คนที่เพิ่งเดินออกมาจากลิฟต์ต้องหยุดเท้าที่กำลังเดินไปยังรถตนเองแล้วเดินหาเสียงร้องไห้ที่ได้ยิน พอเดินมาเห็นคนตัวเล็กคุ้นเคยที่ตนเจอเป็นประจำนั่งพิงผนังก้มหน้าร้องไห้อยู่
ฮือๆๆ
“พยาบาลนิ่มใช่ไหมครับ” ทัชชกรถามคนที่ก้มหน้าร้องไห้แล้วก็ใช่ เมื่อนวิยาเงยหน้าเปื้อนนองน้ำตาขึ้นมองเขา
“เกิดอะไรขึ้น ทำไมมาร้องไห้ตรงนี้ หรือโดนกระชากกระเป๋า แต่ก็ไม่น่าใช่ กระเป๋ายังอยู่นี่” เขาเอ่ยเองตอบเอง
นวิยา คำแสง วัย 25 ปี พยาบาลวิชาชีพ ทำงานสายตัวแทบขาด แต่ใช้หนี้เงินกู้นอกระบบไม่หมดสักที อยู่อย่างประหยัดอดออม เพื่อนที่จบรุ่นเดียวกันมีรถยนต์ขับ แต่เธอมีมอเตอร์ไซค์ที่ขับตั้งแต่เรียนมหา’ลัยจนตอนนี้ซ่อมแล้วซ่อมอีกจนไม่รู้จะซ่อมยังไงแล้ว แต่ดีหน่อยที่กู้ซื้อคอนโดผ่าน ผ่อนเดือนละไม่กี่พันเท่ากับค่าเช่าจึงตัดสินใจยื่นกู้ พอผ่านแต่ก็ผ่อนแบบถูๆ ไถๆ เพราะเงินเดือนก็แบบเดือนชนเดือน เงินเดือนสามหมื่นห้าพันบาท บางเดือนสี่หมื่นก็โอนให้ที่บ้านหมด ตัวเองเก็บไว้แค่ค่าผ่อนคอนโดกับไว้ใช้เดือนละห้าพันเท่านั้น
“เกิดอะไรขึ้นพยาบาลนิ่ม บอกหมอได้นะ” ทัชชกรจับไหล่เล็กที่สั่นไหวสะอื้นของพยาบาลสาวให้ลุกขึ้นยืนคุยกับตนเอง
นวิยาพยายามกลั้นน้ำตาและกลืนเสียงสะอื้นไว้ในลำคอพร้อมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาที่ไหลอาบเปื้อนแก้มนวลเนียนตนเองออกทิ้งแล้วเงยหน้าสบตานายแพทย์หนุ่มครู่หนึ่งก็รีบก้มหน้าหลบสายตาที่มองจ้องตนเองอยู่ก่อนของเขา
“มะ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะ พอดีที่บ้านมีปัญหานิดหน่อยค่ะ อึก!” เธอเอ่ยเสียงสั่นเครือ
“ไม่นิดหน่อยมั้ง ร้องไห้เป็นเผาเต่าขนาดนี้”
เขาผละมือออกจากไหล่เล็กพร้อมกับยื่นมือมาเชยคางมนเล็กสวยของพยาบาลสาวให้แหงนเงยขึ้นสบตาตน
“เล่ามาสิ ปัญหาอะไรที่บ้าน หนักหนาถึงต้องนั่งฟุบหน้าร้องไห้แบบนี้ฮึ”
“คือ...ไม่มีอะไรหรอกค่ะหมอหมา ขอบคุณนะคะที่เป็นห่วง นิ่มขอตัวนะคะหมอ” แล้วเธอก็ปัดมือของเขาออกเบาๆ เพื่อถนอมน้ำใจที่เขาหยิบยื่นให้
“แล้วเนี่ยกลับยังไงนั่น” ทัชชกรถามพยาบาลสาว
“นิ่มขับมอเตอร์ไซค์มาค่ะ อึก!” เธอเอ่ยตอบเสียงแผ่วพร้อมชี้มือไปยังที่จอดรถมอเตอร์ไซค์
“อือ...ขับรถดีๆ ล่ะ หมอก็จะกลับเหมือนกัน มีอะไรที่หมอพอจะช่วยได้บอกได้นะ หมอกับนิ่มก็ใช่คนอื่นคนไกล เราทำงานด้วยกันมาสองปีก็เป็นเหมือนเพื่อนกันว่าไหม” นายแพทย์หนุ่มบอกพยาบาลสาว
“ขอบคุณนะคะหมอหมา นิ่มขอตัวก่อนนะคะ นิ่มไม่เป็นไรจริงๆ ค่ะ จัดการได้”
จริงๆ เธอมืดแปดด้าน เพราะเงินเก็บก้อนสุดท้ายเพิ่งโอนให้พ่อแม่ไป ตอนนี้มีติดตัวสองร้อยบาทและติดบัญชีแปดร้อยบาทเอง ตอนนี้ได้แต่เฝ้าหวังให้สิ้นเดือนไวๆ แต่ยังเหลืออีกตั้งสิบวันถึงจะเงินเดือนออก
ต่างคนต่างเดินแยกกันไปคนละทาง เพราะรถจอดคนละโชน นวิยาเดินมาถึงรถพอเสียบกุญแจรถ สตาร์ทรถเท่าไหร่ก็สตาร์ทไม่ติด จนต้องถอดกุญแจออกเพื่อจะไปนั่งรถเมล์ที่หน้าโรงพยาบาลกลับเหมือนทุกครั้งเวลารถมอเตอร์ไซค์เกเรกับตนเอง และก็เป็นแบบนี้ประจำ แต่ยังไม่ทันได้เดินออกพ้นชั้นใต้ดินลานจอดรถ รถยนต์คันหรูที่ขับผ่านไปก็จอดแล้วเจ้าของรถก็เปิดประตูรถลงมาจากรถ
“หมอหมา” เธอเรียกคนที่ลงจากรถเดินมาหาตัวเอง
“ทำไมยังไม่กลับอีกครับนิ่ม”
“กำลังจะกลับค่ะ พอดีรถนิ่มเสียเลยว่าจะเดินไปขึ้นรถเมล์หน้าโรงพยาบาลค่ะ”
“ขึ้นรถสิ เดี๋ยวหมอไปส่งเอง” เขาเดินมาหยุดตรงหน้าพร้อมชี้มือให้พยาบาลสาวที่สะพายกระเป๋าผ้าไปขึ้นรถตนเอง
“ไม่เป็นไรค่ะหมอหมา นิ่มกลับเองได้ นั่งรถเมล์แค่ป้ายเดียวเองค่ะ”
“พักอยู่ไหนล่ะ ถ้าทางเดียวกันก็กลับกับหมอ” เขาบอกหญิงสาว
“พักที่คอนโด...ค่ะ”
“ทางผ่านหมอกลับบ้านพอดี งั้นไปกลับด้วยกันไม่เสียเวลาหรอก อีกอย่างประหยัดค่ารถเมล์ด้วย หมอไม่คิดค่าน้ำมันหรอกน่า”
“แต่...” เธอยังพูดไม่จบ เสียงทุ้มก็ดังแทรกขึ้น
“ไปเถอะครับ เราใช่คนอื่นที่ไหน เราก็คนทำงานด้วยกันทั้งนั้น”
“ก็ได้ค่ะ ขอบคุณนะคะหมอหมา”
“ยินดีครับ ไปกันเถอะ” แล้วเขาก็เดินล้วงกระเป๋ากางเกงกลับไปยังรถที่จอดอยู่
นวิยาเดินตามไปเปิดประตูข้างคนขับขึ้นไปนั่งรัดเข็มขัดนิรภัย
“รบกวนหมอหมาด้วยนะคะ”
“ครับ” แล้วทัชชกรก็รัดเข็มขัดนิรภัยแล้วขับเคลื่อนรถออกไป