ตอนที่ 2
เมื่อก้องภูมีขับรถมาส่งอิงตะวันถึงที่บ้านสุปัณณรัตน์ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ทำให้เขากดรับ ในขณะที่วาทิตรีบเสนอตัวเตรียมเข้าประคองอิงตะวันให้เดินเข้าไปด้านใน แต่เจ้าหล่อนหันมาตวัดสายตามองเขาอย่างไม่พอใจ ก่อนจะส่งมือเรียวบางไปหาทวีวุฒพี่ชายให้ประคองหล่อนเข้าไป
“ครับพี่”
ก้องภูมีรับสาย
“นี่พ่อเลี้ยง ทิ้งงานทิ้งการไปทำอะไรอยู่ที่ไหน เมื่อไหร่จะกลับจ๊ะ”
อัจฉรา หญิงวัยสี่สิบ พี่สาวคนเดียวของก้องภูมีกรอกเสียงตามสายมาทันที
“ผมอยู่กรุงเทพฯครับพี่ คุณอิงไม่สบาย”
“พ่อเลี้ยงเป็นหมอเฝ้าไข้ไปแล้วหรือจ๊ะ”
เสียงที่ย้อนกลับมาทำให้เขาลอบระบายลมหายใจออกมาเบา ๆ
“พี่ครับ ผมรักเธอ พี่ก็รู้ แล้วเธอป่วย ผมแทบขาดใจ หากผมไม่ได้มาดูแลเธอ”
คำตอบของเขาทำให้อัจฉราขบกรามกรอด ๆ อย่างไม่สบอารมณ์
“แล้วสวนส้มของพ่อ พ่อจะทำอย่างไรจ๊ะ หือ ให้พี่บอกขายเลยไหม ทั้งหมดมันก็แค่ พันกว่าไร่ แล้วไอ้ที่ซื้อเพิ่มและกำลังลงส้ม ก็บอกขายหรือให้เป็นของแถมดีล่ะ พ่อจะได้ย้ายไปอยู่กรุงเทพฯเสียเลย”
อัจฉราพูดประชด
“ผมจะรีบกลับภายในสามชั่วโมงครับ เพราะตอนนี้คุณอิงเธอปลอดภัยแล้ว ผมมาส่งเธอที่บ้านแล้วครับ”
ก้องภูมีตอบกลับ
“เย็นนี้ผมอยากทานกุ้งเผาตัวโต ๆ กับสะเดารวก น้ำปลาหวานจังเลย พี่ช่วยทำให้ผมทานได้ไหมครับ ผมจะกลับไปทานกับพี่ที่บ้าน”
เมื่อเขาเปลี่ยนท่าทีด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลงจนติดจะอ้อนเล็กน้อย ก็ทำให้พี่สาวต้องผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ
“พี่จะให้หนานเมืองเอารถไปรอที่สนามบิน ในอีกสองชั่วโมงจะมีเที่ยวบินจากกรุงเทพฯมาถึง”
“ครับผม รักพี่ครับ”
ก้องภูมีกรอกเสียงตามสายก่อนอัจฉราจะวางสาย แม้จะไม่ชอบหน้าอิงตะวัน หญิงสาวที่ดูถือตัวและเย่อหยิ่งคนนั้นนัก แต่ก็ไม่อาจจะขัดใจน้องชายที่หล่อนรักได้ เมื่อรู้ว่าเขากำลังจะกลับแล้วอยากทานอะไร หล่อนรีบให้คนไปหามาอย่างรวดเร็ว
เมื่อวางสายจากพี่สาว ก้องภูมีก็รีบตามอิงตะวันเข้าไป แต่ต้องผิดหวังเมื่อหล่อนขึ้นห้องไปแล้ว ยากที่เขาจะตามขึ้นไปได้
“ขอบใจมากนะคุณก้องที่ช่วยดูแลคุณอิงของเรา”
นายตรัยจักรบิดาของทวีวุฒิและอิงตะวันบอกกับเขาเมื่อเขาก้าวเข้าไปและนั่งลงยังโซฟาใกล้กับวาทิต
“ด้วยความยินดีครับ”
เขาตอบอย่างสุภาพ
“เย็นนี้ทานข้าวด้วยกันนะคะคุณก้อง”
นงนภสร มารดาของอิงตะวันก็บอกกับเขา
“ขอบคุณมากครับแต่ผมคงต้องขอเอาไว้เป็นโอกาสหน้า เพราะว่าพี่อัจฉราโทรมาให้ผมกลับไปดูแลสวนส้มโดยด่วนครับ”
นงนภสรหันไปมองหน้าสามีอย่างนึกเสียดาย ในขณะที่วาทิตนึกกระหยิ่มว่าจะได้รับเชิญให้ร่วมวงอาหาร แต่เขาต้องผิดหวังเมื่อสองสามีภรรยาไม่เชิญ
“วันหลังผมจะมาเยี่ยม วันนี้ผมคงต้องกลับก่อนนะครับ”
ก้องภูมีบอกกับทุกคนก่อนจะมองไปยังบันได หมายจะได้เห็นอิงตะวันอีกสักครั้งแต่คงไม่มีโอกาส เพราะหล่อนถือตัวนักหนา ยิ่งรู้ว่ามีคนชอบก็ยิ่งต้องการหลบหน้าเพื่อหวังจะให้เขายิ่งอยากติดตาม
“ฉันไปส่ง”
ทวีวุฒร้องบอกเพื่อนรักแล้วลุกขึ้น เดินนำไปที่ประตูทางออก ในขณะที่ก้องภูมียกมือไหว้พ่อกับแม่ของทวีวุฒิอย่างสุภาพ แล้วเดินตามทวีวุฒิออกไป
“วาทิต ไม่ไปหรือ”
ก้องภูมีหันไปเรียกเพื่อนรักที่ยังนั่งนิ่งเหมือนกำลังจะรอคำเชื้อเชิญจากสองสามีภรรยาที่ร่ำรวยอย่างมหาศาลเพราะเป็นถึงเจ้าของธนาคารที่มั่นคงระดับชาติ
“กระผมต้องขอกราบลาคุณพ่อกับคุณแม่ไปก่อนนะขอรับ วันหลังผมจะมาเยี่ยมคุณอิงใหม่”
วาทิตพูดจบก็คุกเข่าลงนั่งพับเพียบแล้วกราบลงแทบเท้าของทั้งสองคน
“ตามสบายเถอะ”
ตรัยจักรเอ่ยออกมาเมื่อวาทิตเงยหน้าขึ้นแล้วส่งยิ้มให้ ก่อนจะก้าวตามทวีวุฒิกับก้องภูมีที่ก้าวขึ้นรถแล้วจากไป ทำให้เขารีบสตาร์ทรถแล้วขับตามออกไปทันทีท่ามกลางสายตาของอิงตะวันที่แอบแหวกม่านมองลงมาจากด้านบน
เนริกามองตรงไปยังร่างของตนเองหลังจากผ่าตัดเสร็จ ใบหน้าและศีรษะมีผ้าสีขาวพันไว้ มีสายของเครื่องช่วยหายใจ สายน้ำเกลือ สายเลือด ยาฆ่าเชื้อ เธอพยายามจะเข้าไปใกล้ร่างของตน แต่ก็เหมือนมีพลังผลักจนกระเด็นกระดอนออกมา
ครั้นพอเข้าใกล้พ่อกับแม่ พูดคุยกับท่าน เธออยากบอกท่านว่าเธออยู่ตรงนี้ ยังไม่ตาย พ่อกับแม่อย่าเสียใจไปนักเลย แต่ไม่สามารถทำได้
“หรือว่าเราตายไปแล้ว! ตายแล้วจริงหรือ”
เนริการู้สึกใจหาย หวนให้เธอนึกถึงเหตุการณ์ที่เธอได้ไปเที่ยวกับกัณรญา...วันนั้นเธอไปที่ภาคใต้ท่องเที่ยวไปในที่ที่อยากไปแล้วก็กำลังจะกลับ วันนั้นเธอได้รับโทรศัพท์จากแม่
“อยู่ไหนลูกจ๋า”
“เนกำลังจะกลับค่ะแม่ เนถ่ายภาพสวย ๆ ไปฝากแม่ด้วยนะคะ”
“เดินทางปลอดภัยนะลูกจ๋า แม่ใจคอไม่ดียังไงไม่รู้”
เนริการได้ยินคำแม่แล้วก็หัวเราะอย่างสดใส
“ไม่ได้ทานข้าวหรือเปล่าคะแม่ แม่กำลังจะเป็นลมใช่ไหมคะ รีบทานข้าวซะนะ”
เธอสัพยอกแม่
“รักแม่กับพ่อที่สุดในโลกเลยค่ะ แล้วเจอกันนะคะแม่ขา ฝากหอมแก้มพ่อด้วย”
“จ้ะลูก”
เมื่อเธอวางสายโทรศัพท์จากแม่ ก็หยิบกล้องขึ้นเมื่อมองเห็นวิวที่สวย
“อุ๊ย..”
ครั้นเมื่อเธอยื่นมือไปหยิบกล้องก็ทำกระเป๋าตกลงไปที่พื้น เธอโน้มตัวหยิบกระเป๋าขึ้นมาได้แต่ลูกกุญแจกับกระเป๋าสตางค์เหรียญตกลงไปยังซอกข้างเบาะนั่ง
“เดี๋ยวค่อยเก็บ”
เธอบอกตัวเองแล้วก็เอากล้องมาถ่ายภาพต่าง ๆ ตลอดทางที่รถแล่นมุ่งหน้าเข้าสู่กรุงเทพฯ ในขณะที่กัณรญาเป็นคนขับรถ หล่อนก็ขับมาด้วยความเร็วสม่ำเสมอ จนกระทั่งมาถึงสถานที่หนึ่ง มีรถบรรทุกไม้แล่นอยู่หลายคันที่นำหน้าหล่อนไป
แวบหนึ่งของความคิดทำให้หล่อนปลายตามามองดูเนริกาที่กำลังเพลิดเพลินกับการถ่ายภาพ โดยไม่สนใจว่ารถจะติดหรือจะมีรถอะไรแล่นอยู่บนท้องถนนบ้าง
“มีภาพอะไรสวยหรือเน ถ่ายไม่หยุด”
เนริกาหันไปยิ้มกับกัณรญา
“ภาพวิวสวยมากเลย เค้าจะเอาไปลงเฟซบุ๊กอวดเพื่อนว่าได้มาเที่ยว ภาคใต้ของไทย สวยไม่แพ้เมืองนอกเหมือนกัน”
เธอพูดกับกัณรญาพลางกดทวนดูภาพที่ถ่ายไป เป็นเวลาเดียวกับที่กัณรญาขับรถตามหลังรถบรรทุกไม้คันหนึ่งมาและเบื้องหน้าคือสี่แยกที่มีสัญญาณเตือนให้ชะลอความเร็ว
แต่ในวินาทีนั้นกัณรญากลับเร่งความเร็วแล้วพุ่งเข้าเสยท้ายรถบรรทุกไม้ที่มีไม้ยื่นออกไปนอกกระบะ โดยหักพวงมาลัยหลบด้านของตนเอง กะให้ไม้ที่ยื่นเลยกระบะออกมากระแทกมายังร่างของเนริกาได้พอดิบพอดี
“กัณระวัง!..โอ๊ะ”
เนริกาหลับตาลงเมื่อนึกถึงเหตุการณ์นั้น เหตุการณ์ที่เธอไม่เคยรับรู้ถึงความเจ็บปวด นั่นเพราะเธอมองเห็นภาพของตนเองที่จมอยู่ในกองเลือดที่มีไม้กระแทกเข้าร่างของตนอย่างจัง
เนริกานึกถึงคำพูดของกัณรญา ตอนที่โทรบอกเหตุการณ์กับพ่อและแม่ของเธอ
“ไม่มีทางรักษาได้หรอก ยังไงมันก็ต้องตาย”
เนริกาลอบผ่อนลมหายใจออกมาเบา ๆ ก่อนจะมองตรงไปยังห้องพักของตนอีกครั้งในขณะที่พ่อกับแม่ไปซักถามอาการและการรักษาของเธอจากหมอ กัณรญาก็เข้ามาที่ห้องนั้นแล้วตรงมาหาร่างของเธอที่นอนนิ่งเป็นเจ้าหญิงนิทรา กัณรญายื่นมือไปรั้งหมายจะดึงเครื่องช่วยหายใจออกจากปากของเธอ แต่หล่อนก็รั้งมือกลับมาอย่างชั่งใจ
“แกต้องไม่รอด แกต้องไม่มีชีวิตอยู่นะเนริกา แกไม่น่าดวงแข็งรอดมาได้เลย แต่ไม่ว่าจะอย่างไร แกต้องตาย หากแกไม่ตาย ฉันจะไม่ได้อะไรเลย”
คำพูดของกัณรญาดังชัดเจนมากสำหรับเนริกาที่เดินมาหยุดอยู่ด้านหลังของกัณรญาเพื่อดูว่าหล่อนเข้ามาทำไม ทั้งที่หล่อนก็ยังบาดเจ็บอยู่
“อย่าอยู่เลยเนริกา อโหสิกรรมให้ฉันเถอะ”
กัณรญาพูดพร้อมกับยื่นมือหมายจะรั้งเครื่องช่วยหายใจออกจากปากของเนริกา
“จะทำอะไรน่ะยัยกัณ!”
เนริกาก็กระชากแขนของกัณรญาไว้หมายจะถามว่า ทำแบบนี้ทำไม พยายามฆ่าเธอทำไม แต่ยังไม่ทันที่ กัณรญาจะทันได้หันมา ชายร่างสูงใหญ่สองคนก็รั้งร่างของเนริกาออกมาจากห้อง และเป็นเวลาเดียวกับนายดิเรกฤทธิ์กลับเข้าห้องไปหาเนริกาแล้วเห็นกัณรญา
“กัณ”