ตอนที่ 1
ท่ามกลางความสับสนวุ่นวายบนท้องถนน มีรถของโรงพยาบาล และหน่วยกู้ภัยจอดอยู่ยังจุดเกิดเหตุ ห่างออกไปเล็กน้อยมีเจ้าหน้าที่ตำรวจ กำลังกักบริเวณห้ามผู้คนเข้ามุงดูแล้วบางส่วนก็ปล่อยรถผ่านไปบริเวณสี่แยกไฟแดงของจังหวัดหนึ่งในเขตภาคใต้ของไทย
ร่างบางอรชรค่อนไปทางผอมของหญิงสาววัยยี่สิบห้า จบปริญญาโทด้านคอมพิวเตอร์ กำลังยืนมองดูความวุ่นวายนั้น เธอเห็นกัณรญา หญิงวัยยี่สิบหกปี ที่เป็นทั้งเพื่อนและพี่สาว ได้รับบาดเจ็บบริเวณใบหน้า ลำคอและแขนของหล่อนมีเลือดไหลอาบ
แต่ว่าร่างที่บุรุษพยาบาลกับคนของหน่วยกู้ภัยช่วยกันดึงออกมาจากรถด้านข้างคนขับนั้น มีสภาพเละจนจำแทบไม่ได้ว่าเป็นใคร แต่ว่าเสื้อผ้าที่เธอคนนั้นสวมใส่ มันเหมือนกับเสื้อผ้าของหญิงสาวที่เห็นเหตุการณ์นั้นราวกับเป็นชุดเดียวกัน
“เอ๊ะ !ผู้หญิงคนนั้นใครกัน”
เธอถามตนเองอยู่ในใจก่อนจะรีบวิ่งไปหาหมายจะดูหน้าของคนเจ็บที่ไม่รู้สึกรู้สาอะไรนั่น เพราะเธอถูกอัดอยู่ในรถที่มุดเข้าไปอยู่ในไม้ที่โผล่ออกมาจากกระบะรถคันหน้า
“เอ๊ะ!นี่มัน ตัวฉันนี่นา อะไรกันนี่”
เนริการู้สึกงงงันเมื่อเห็นชัดว่าผู้บาดเจ็บที่กำลังถูกหามส่งขึ้นรถพยาบาลคือตัวของเธอเอง เธอไม่รอช้ารีบก้าวขึ้นไปแล้วนั่งมองดูสภาพของตนเอง ซึ่งบุรุษพยาบาลต่างก็รีบช่วยปฐมพยาบาล เธอพยายามจะเข้าไปในร่างของตน แต่เหมือนมีพลังถีบเธอจนกระเด็นกระดอนออกไปจากรถ
เธอหันไปหากัณรญาหมายจะถามว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กัณรญาก็หันหลังให้ แล้วกดโทรศัพท์ไปหานายดิเรกฤทธิ์ชายวัยห้าสิบห้าปี พ่อของเธอ
“พ่อขา”
กัณรญากรอกสายโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงที่สั่นเครือ เมื่อนายดิเรกฤทธิ์รับสาย ทำให้ เนริการีบก้าวไปใกล้ ๆ แต่กัณรญาก็หันหลังให้เธออีก
“พ่อขาทำใจดี ๆ นะคะ ตอนนี้กัณกับเนประสบอุบัติเหตุค่ะ รถเสียหลัก พุ่งเข้าชนรถบรรทุกไม้ ทำให้เนบาดเจ็บสาหัส”
กัณรญารีบบอกพ่ออย่างไม่คิดจะปิดและไม่คิดที่จะหาคำพูดอะไรที่ทำให้เขาตกใจน้อยลง
“กัณว่าอะไรนะลูก พ่อได้ยินไม่ชัด เนเป็นอะไรนะลูก”
นายดิเรกฤทธิ์ย้อนถามเพื่อให้แน่ใจว่าเขาฟังไม่ผิด
“เนบาดเจ็บสาหัสค่ะพ่อ กัณไม่แน่ใจว่า เนจะมีชีวิตรอดไปจนถึงโรงพยาบาลหรือเปล่า”
เนริกาเมื่อได้ฟังอย่างนั้นเธอโมโหมาก
“โกหก ฉันยังไม่ตาย และไม่มีวันตาย ฉันอยู่ตรงนี้”
เธอตะโกนก้อง ทำให้กัณรญาชะงักไปชั่วขณะเพราะเหมือนหูแว่วได้ยินเสียงของเนริกา ครั้นพอหล่อนพยายามจะเหลียวหา ก็กลายเป็นว่าหันหลังให้เนริกาที่พยายามเดินมาอยู่ตรงหน้าของหล่อนเสียทุกครั้ง
“มีอะไรคะคุณ”
เมื่อเห็นอาการของสามี สิริจรรยาหญิงวัยห้าสิบที่ดูสะอาดและเรียบร้อยเป็นผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว ก็รีบเอ่ยถามพร้อมกับรับโทรศัพท์ที่กำลังจะร่วงหล่นจากมือของสามีมาถือไว้พร้อมกับพยุงเขามานั่งที่โซฟา
“เนหรือลูก”
เมื่อสิริจรรยารับสาย กัณรญาก็หันหลังให้เนริกาที่เดินอ้อมไปหมายจะหยุดตรงหน้าของกัณรญา เพื่อให้หล่อนได้มองเห็นเธอ แต่กัณรญาก็หันหลังให้เธออีก
“กัณค่ะแม่ กัณโทรมาบอกว่า ตอนนี้เราสองคนประสบอุบัติ แต่เนอาการสาหัส อาจจะไม่รอด พ่อยังไม่ได้บอกแม่หรือคะ เนถูกส่งตัวไปโรงพยาบาลแล้วค่ะ แต่อาจจะไม่สามารถมีชีวิตรอดจนถึงโรงพยาบาล กัณว่าคุณพ่อกับคุณแม่ เตรียมทำใจไว้บ้างนะคะ”
“หา!”
เมื่อฟังอย่างนั้น สิริจรรยาถึงกับเป็นลมล้มพับลง ทำให้นายดิเรกฤทธิ์ต้องรีบเข้ามาประคองแล้วรับโทรศัพท์นั้นไปถือไว้
“ไปโรงพยาบาลไหนลูก”
เขาถามกัณรญาก่อนจะรีบกดเบอร์ไปยังโรงพยาบาลนั้นเพื่อถามอาการของเนริกาแล้วก็รีบติดต่อโรงพยาบาลเอกชนชื่อดังแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ให้ส่งเฮลิคอปเตอร์ไปรับเธอมารับการรักษาอย่างเร่งด่วน
“ไม่มีทางรักษาได้หรอก ยังไงมันก็ต้องตาย”
กัณรญาเปรยออกมาเบา ๆ เมื่อวางสายจากนายดิเรกฤทธิ์ ทำให้เนริกาถึงกับอ้าปากค้าง เพราะไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดแบบนั้นออกมาจากปากของกัณรญา อีกทั้งเธอยังได้เห็นสีหน้าที่อมยิ้มของหล่อน ก็ทำให้เกิดความงุนงงสงสัย ครั้นอยากจะถามให้รู้เรื่อง กัณรญาก็ไม่ยอมหันมามองเธอ
เนริกาวิ่งเข้าไปหาพ่อกับแม่ เมื่อร่างของเธอถูกเข็นลงจากเฮลิคอปเตอร์แล้วพาเข้าไปยังห้องไอซียู โดยมีกัณรญาที่ได้เข้ารับการรักษายังโรงพยาบาลแห่งเดียวกับเธอ
“พ่อขา แม่ขา เนอยู่นี่ค่ะ เนยังไม่ตาย เนอยู่ตรงนี้”
เนริกาโผเข้าไปหมายจะกอดพ่อกับแม่ แต่ก็เหมือนกอดความว่างเปล่า เธอไม่สามารถแตะต้องพวกท่านได้ และท่านทั้งสองนอกจากจะไม่เห็นเธอ ก็ยังไม่ได้ยินอีกด้วย
“นี่มันอะไรกัน! ทำไมเป็นแบบนี้”
เนริกาถามตนเองอยู่ในใจก่อนจะรีบวิ่งตามพ่อกับแม่ไป แต่ระหว่างทางเธอก็ต้องรู้สึกยุ่งยากเมื่อมาเจอกับ ก้องภูมี ชายหนุ่มวัยสามสิบปีที่หล่อเหลาขั้นเทพ ดูคมคายหมดจด
ซึ่งเขากำลังเข็นรถนั่งที่มีร่างบางอรชรของหญิงสาววัยยี่สิบห้า นามว่าอิงตะวันออกจากโรงพยาบาล เนื่องมาจากอาหารเป็นพิษ ต้องมานอนรักษาตัวอยู่สามวัน ห้อมล้อมด้วย ทวีวุฒิพี่ชายของหล่อนและวาทิต ทั้งสามคนมีวัยไล่เลี่ยกัน จึงเป็นเพื่อนรักกันมานานเนิ่น
แต่วาทิตกับก้องภูมีมาผิดใจกันบ้างตอนที่แย่งกันจีบอิงตะวัน แล้วอิงตะวันก็ยอมตกลงเป็นแฟนกับวาทิต ทำให้ก้องภูมีอกหัก และเขาเริ่มมีความหวังขึ้นอีกครั้งเมื่ออิงตะวันบอกเลิกกับวาทิต แต่วาทิตยังคงวนเวียนมาอยู่ใกล้ ๆ อย่างน่ารำคาญ
ระหว่างทาง เมื่อเนริกาวิ่งมาด้วยอาการรีบร้อนก็ต้องมาเจอกับก้องภูมีที่กำลังเข็นรถนั่งของอิงตะวันไป หมายจะไปที่รถ แต่เมื่อมาถึงบริเวณที่เนริกาก้าวมาถึง เขาก็รู้สึกเหมือนมีอะไรมาขวางกั้นจนขยับไปทางไหนไม่ได้
เช่นเดียวกับเนริกาเมื่อมาถึงจุดที่ก้องภูมีมาถึง เธอรู้สึกเหมือนมีอะไรมาขวางจนเดินไม่ได้ แต่สายตาก็ไม่ได้สนใจใครนอกจากมองไปที่พ่อกับแม่ของเธอ
“อะไรหรือก้อง”
ทวีวุฒิเอ่ยถามเพื่อนรัก เมื่อเห็นว่าเขาทำท่าเหมือนมีอะไรยุ่งยาก พยายามจะเข็นรถของอิงตะวันหลบซ้ายย้ายขวา
“ไม่มีอะไรหรอก”
ก้องภูมีร้องบอก ทำให้วาทิตรีบก้าวเข้าไปหมายจะรับช่วงต่อจากก้องภูมี
“ไม่ต้องค่ะ”
แต่อิงตะวันหญิงสาวแสนสวยร้องห้ามวาทิตแล้วทำท่าจะก้าวลงจากรถนั่ง แต่ก้องภูมีรีบยกมือผลักอะไรที่เขามองไม่เห็นให้หลีกทางก่อนจะเข็นรถพาอิงตะวันไป
กลับกลายเป็นว่าเนริกา ถูกก้องภูมีผลักจนกระเด็นล้มไปด้านข้าง แล้วเขาก็เข็นรถนั่งของอิงตะวันเดินจากไป ทำให้เนริกาลุกขึ้นมาแล้วหันกลับไปมอง แต่ทันเห็นเพียงด้านหลังของก้องภูมีเท่านั้น
“ผู้ชายบ้าอะไร ไม่เป็นสุภาพบุรุษเอาซะเลย เรื่องอะไรมาผลักฉัน บ้าที่สุด”
เนริกาบ่นอุบก่อนจะมองไปหาพ่อกับแม่ที่หายไปซะแล้ว
“ตายล่ะ พ่อกับแม่หายไปไหนนี่ แล้วร่างของฉันล่ะ ฉันอยากไปหาร่างของฉัน..”
เพียงแค่เธอบอกว่าอยากไปหาร่างของตนเองเท่านั้น ก็มาโผล่ในห้องไอซียู ซึ่งมีหมอ และผู้ช่วยในแผนกต่าง ๆ กำลังสาละวนอยู่กับร่างกายของเธอ ซึ่งถูกตัดเสื้อผ้าออกจนหมดแล้วทำความสะอาดร่างกาย
“ตายล่ะ ฉันอายนะ ดูทำเข้าสิ นี่ฉันมีชีวิตนะ ฉันเจ็บนะ โอ๊ย”
เนริกาพยายามยกมือปิดป้องของสงวนต่าง ๆ แต่ดูเหมือนว่าพวกเขาจะไม่สนใจไยดีกับเนื้อหนังของเธอเลย เมื่อจัดการทำความสะอาดเสร็จ ก็สอดท่อ ให้เลือด ให้น้ำเกลืออย่างรวดเร็ว จากนั้นหมอผ่าตัดก็เข้ามาสามคน หยิบมีด หยิบกรรไกร
“โอ๊ย..ฉันกลัว ฉันเจ็บ”
เนริกาพยายามร้องบอกทุกคน และพยายามห้ามไม่ให้พวกเขาผ่าตัดและเย็บบาดแผล แต่ไม่เป็นผล มิหนำซ้ำเธอยังไม่รู้สึกเจ็บแม้แต่น้อย
“นี่มันอะไร หน้าตาฉันทำไมเละแบบนี้ เนื้อตัวฉันก็เละ อะไรทิ่มตำร่างกายฉัน ถึงได้น่าทุเรศแบบนี้ ปกติฉันก็ขี้เหร่อยู่แล้ว นี่อะไรกันอีก”
เนริกามองดูหมอผ่าร่างกายของเธอออกมาเพื่อตัดอวัยวะภายในที่เละใช้การไม่ได้ออก ทำให้เธอไม่กล้ามอง เพราะหวาดกลัว จึงนึกถึงพ่อแม่แล้วออกมา
“นึกถึงใครก็มาหาได้ทันที ดีจังเลย อยากไปไหนก็ไปได้สิถ้าอย่างนี้”
เนริการู้สึกพอใจในระดับหนึ่ง ก่อนจะมองไปหาพ่อกับแม่ที่นั่งร้องไห้อยู่หน้าห้อง
“พ่อขา แม่ขา”
เธอเข้าไปกอดพ่อกับแม่ แต่ก็ไม่สามารถสัมผัสแตะต้องท่านได้ และท่านทั้งสองก็มองไม่เห็นเธอ ไม่ได้ยินเสียงเธอ ทำให้เธอได้แต่นั่งอยู่ข้าง ๆ มองดูท่านแล้วก็ร้องไห้เพราะสงสารท่าน